“เหตุใดเยี่ยนอ๋องถึงไม่ทำสิ่งใดเลย” ชวีเหลียนซิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ทำ” หนานกงมั่วถามขึ้นพลางหัวเราะแผ่ว
ชวีเหลียนซิงส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยอันใดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“เรียนจวิ้นจู่ ท่านอ๋องเชิญท่านเข้าพบขอรับ” องครักษ์จำนวนหนึ่งของจวนเยี่ยนอ๋องเข้ามาหาหนานกงมั่วด้วยความรีบร้อน
หนานกงมั่วยิ้มพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง “หืม ตอนนี้เสด็จลุงกำลังถือศีลกินเจไม่พบปะคนนอกไม่ใช่หรือ”
องครักษ์นายหนึ่งลูบจมูกเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้…จวิ้นจู่ต้องไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องแล้วจะกระจ่างเองขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เชิญจวิ้นจู่”
หลิ่วหันจ้องมองเหล่าบรรดาองครักษ์อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าเป็นองครักษ์ของจวนเยี่ยนอ๋อง นางก็โบกมือส่งสัญญาณเบาๆ ชายชุดดำจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่หัวมุมของถนน จากนั้นก็พากันเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา ด้านหลังตามมาด้วยซิงเวยที่มีผมสีเทายาวเหยียดและใบหน้าที่เย็นชา
เหล่าบรรดาองครักษ์เห็นว่าชายชุดดำที่จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างกะทันหันนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด พวกเขาจึงไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก หนึ่งในองครักษ์ก็ได้ผายมือเชื้อเชิญหนานกงมั่วด้วยท่าทีนอบน้อม เดิมทีเว่ยจวินมั่วก็เป็นเจ้าของเดิมของวังจื่อเซียวที่มีชื่อเสียงอันเลื่องชื่ออยู่แล้ว หากเขาจะมีนักฆ่าฝีมือเก่งกาจในมือก็มิใช่เรื่องแปลก พวกเขาต่างก็รู้ข้อนี้ดี ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นองครักษ์ชั้นยอดของจวนเยี่ยนอ๋อง แต่พวกเขาก็ไม่อยากจะปะทะกับนักฆ่าฝีมือเหี้ยมโหดเหล่านี้
วัดหลิงเฉวียนตั้งอยู่บนเชิงเขาทิศตะวันตกของเทือกเขาหยางไถนอกเขตชานเมืองโยวโจว เดิมทีที่นี่มีชื่อว่าเรือนชิงสุ่ย เพราะกลางวัดมีสระมังกรอยู่ด้วย น้ำในสระใสสะอาดเป็นอย่างมาก ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดหลิงเฉวียนแทน หากเทียบกับวัดฮุ่ยจวี้และวัดจยาฝูที่มีชื่อเสียงแล้ว ที่นี่เหมาะแก่การภาวนาจิตและถือศีลกินเจมากกว่า
หลังวัดมีพลับพลาอยู่หนึ่งหลัง เยี่ยนอ๋องกำลังนั่งอยู่ในพลับพลาพลางจ้องมองกระดานหมากล้อมที่อยู่เบื้องหน้า ส่วนกงเสี่ยวเตี๋ยกำลังนั่งอยู่ข้างๆ พลางนวดไหล่ให้เยี่ยนอ๋องอย่างเบามือ ตรงข้ามเยี่ยนอ๋องคือพระภิกษุหนุ่มที่ห่มด้วยอาภรณ์ขาวทั้งชุดนั่งอยู่ เขาคือพระภิกษุพรรษาน้อยที่มีใบหน้างดงามและสะอาดหมดจด สีหน้าแววตาสุภาพอ่อนโยนและสง่างามเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะศีรษะที่เกลี้ยงเกลา เกรงว่าผู้คนคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นคุณชายทายาทของตระกูลหวังเซี่ยผู้ดีเก่าแก่ ไม่ใช่คนที่ปลีกวิเวกจากผู้คนมาจำวัดอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลเช่นนี้
เยี่ยนอ๋องเอื้อมมือวางหมากล้อมลงบนกระดานอย่างช้าๆ พระหนุ่มมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรบมือเบาๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “การเดินหมากของท่านอ๋องปราดเปรื่องกว่าเมื่อปีที่ผ่านมามาก หมากล้อมกระดานนี้ เกรงว่าอาตมาคงจะพ่ายเป็นแน่แท้”
เยี่ยนอ๋องมิได้สนใจ เลิกคิ้วพลางเอ่ยขึ้นว่า “ไต้ซือเนี่ยนหย่วนถ่อมตนเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้เชี่ยวชาญหมากล้อมแต่อย่างใด จะกล้าไปเทียบฝีมือกับไต้ซือเนี่ยนหย่วนผู้มีฝีมืออันเลื่องชื่อได้อย่างไรกัน”
เนี่ยนหย่วนส่ายหน้าเบาๆ “อาตมาจดจ่ออยู่กับหมากล้อม จึงได้ศึกษามาในระดับหนึ่ง จิตใจของท่านอ๋อง…รายล้อมไปด้วยเรื่องรุมเร้าต่างๆ นานา ย่อมไม่มีเวลามาจดจ่อกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ทว่า หมากล้อมตานี้ ท่านอ๋องชนะแล้ว เดินต่ออีกไม่กี่ช่องก็จะประจักษ์แพ้ชนะอย่างชัดเจน”
เยี่ยนอ๋องไม่ได้ยึดติดกับผลของการเล่นกระดานหมากล้อมเท่าใดนัก เมื่อได้ยินเขาเอ่ยมาเช่นนี้ก็ไม่ได้แข่งขันให้รู้แพ้รู้ชนะต่อ เพียงแค่เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้เจอกันไม่กี่ปี ไต้ซือเนี่ยนหย่วนดูอิสระและสบายใจกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่เหมือนข้าที่พัวพันด้วยเรื่องทางโลก วันๆ เอาแต่ยุ่งหัวหมุนอยู่กับงานราชการตั้งแต่เช้าจรดค่ำ กว่าจะหาเวลามาพักผ่อนได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญ”
เนี่ยนหย่วนหันไปมองกงเสี่ยวเตี๋ยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้ท่านอ๋องมีคนดีเช่นนี้เคียงข้างกาย จะไม่ยากเข้าไปใหญ่หรือ”
กงเสี่ยวเตี๋ยได้ยินแล้วก็รีบก้มหน้าลงต่ำทันที ใบหน้างามค่อยๆ แดงระเรื่อ เยี่ยนอ๋องจึงยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจนใจ “เนี่ยนหย่วน บางครั้งข้าก็รู้สึกว่านับวันท่านก็ยิ่งปลีกตัวออกจากผู้คนมากกว่าอาจารย์ของท่านเสียด้วยซ้ำ แต่บางทีข้าก็รู้สึกว่าท่านไม่ควรมาบวชเป็นพระเลยจริงๆ”
เนี่ยนหย่วนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เกิดในพุทธศาสนา การได้พบพานคือวาสนานำพาอย่างแท้จริง”
เยี่ยนอ๋องแตะปากให้เงียบเสียงลง จากนั้นก็นำเม็ดหมากในมือใส่ลงไปในกล่องเก็บเม็ดหมากล้อม พลางถามขึ้นว่า “ทางฝั่งเซียวเชียนชื่อและอู๋สยาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
กงเสี่ยวเตี๋ยชะงักไปชั่วขณะ จึงพึ่งจะเข้าใจว่าเยี่ยนอ๋องถามนาง ก่อนจะรีบตอบเป็นพัลวันว่า “จวิ้นจู่และซื่อจื่อไม่ได้ว่าอันใดเพคะ พวกเขาเพียงแค่นำตัวคนเหล่านั้นไปขังชั่วคราวก่อน เพียงแต่ว่า จวิ้นจู่ดูไม่ค่อยพอใจนัก”
เยี่ยนอ๋องไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เอ่ยขึ้นว่า “ไม่เลว ข้านึกว่านางจะฝ่าฝืนคำสั่งของข้าแล้วสั่งประหารคนเหล่านั้นทันที”
เนี่ยนหย่วนส่ายหน้าเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “ในเมืองหลวงโกลาหลวุ่นวาย เยี่ยนอ๋องกลับคอยดูความยุ่งเหยิงอยู่นอกเมืองเช่นนี้ หากจวิ้นจู่และซื่อจื่อทราบเรื่องเข้า…ซิงเฉิงจวิ้นจู่ปฏิบัติตามคำสั่ง ท่านอ๋องไม่รู้สึกดีใจหรืออย่างไรกัน”
เยี่ยนอ๋องถอนลมหายใจออกมาเบาๆ “อู๋สยายอมฟังคำสั่ง แสดงว่านางเข้าใจในเจตนารมณ์ของข้าแล้ว แต่เชียนชื่อ…ข้าเองหวังให้เขาฝ่าฝืนคำสั่งเสียมากกว่า ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
เนี่ยนหย่วนหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “ซื่อจื่อเคารพท่านอ๋อง ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่เหมาะควร แต่เขาก็ไม่มีทางที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของท่านอ๋องหรอกกระมัง”
เยี่ยนอ๋องสบถเสียงในคอเบาๆ “รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรทำแต่ก็ยังทำ ไต้ซือคิดเห็นอย่างไร”
“โง่เขลา”
เยี่ยนอ๋องเอ่ยขึ้น “โง่เขลา แต่ก็กล้าหาญในเวลาเดียวกัน เชียนชื่อขาดซึ่งไหวพริบที่เฉียบแหลมไป ข้าจึงอยากให้เขามีความกล้าหาญเพิ่มขึ้นก็เท่านั้นเอง” ช่างน่าเสียดาย…
“ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว” คนที่ไม่ค่อยฉลาดแต่มีความกล้าหาญ สู้เป็นคนธรรมดาที่มีความพอเหมาะพอดีย่อมเป็นการดีกว่า
“ทูลท่านอ๋อง จวิ้นจู่มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม รีบเชิญนางเข้ามา” เยี่ยนอ๋องเอ่ยขึ้นพลางพยักหน้าเบาๆ
เมื่อเห็นเนี่ยนหย่วน หนานกงมั่วค่อนข้างแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่เพียงชั่วอึดใจนางก็รีบดึงสติกลับคืนมา จากนั้นก็พยักหน้าทักทายเนี่ยนหย่วนที่กำลังพนมมือทำความเคารพนาง “เสด็จลุง”
“มาแล้วหรือ มานั่งคุยกัน” เยี่ยนอ๋องพยักหน้าเบาๆ พลางชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลมากนัก จากนั้นก็หันกลับไปรับสั่งว่า “ไปเอาเบาะรองนั่งมาให้จวิ้นจู่ที”
ในพลับพลาไม่มีสาวใช้ตามมาปรนนิบัติ กงเสี่ยวเตี๋ยจึงทำได้เพียงขานรับและรีบไปทำตามคำสั่งทันที ไม่นานนางก็กลับมาพร้อมกับเบาะรองนั่งและได้นำเบาะรองนั่งไปวางบนเก้าอี้ให้หนานกงมั่วด้วยตนเอง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “จวิ้นจู่ เชิญนั่ง”
“ขอบคุณชายารอง” หนานกงมั่วกล่าวขอบคุณเสียงเรียบ
เยี่ยนอ๋องพลันเอ่ยกับกงเสี่ยวเตี๋ยว่า “วิ่งไปกลับครั้งนี้ เจ้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถิด” กงเสี่ยวเตี๋ยเหลือบไปมองหนานกงมั่วพลางกัดริมฝีปากแน่น สุดท้ายนางก็ขอตัวลากลับแต่โดยดี
หนานกงมั่วค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงอย่างช้าๆ เยี่ยนอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไต้ซือเนี่ยนหย่วนผู้นี้ อู๋สยาเคยรู้จักแล้วใช่หรือไม่”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ เนี่ยนหย่วนก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อาตมาเคยเจอหน้ากับจวิ้นจู่อยู่หลายครั้ง ตอนนั้นถือว่า…ได้ร่วมผ่านเรื่องร้ายๆ มาด้วยกัน”
เยี่ยนอ๋องพยักหน้าเบาๆ เขาย่อมต้องรู้เรื่องที่หนานกงมั่วและเนี่ยนหย่วนหายตัวไปที่วัดต้ากวางหมิงอยู่แล้ว หนานกงมั่วอมยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “ตอนอยู่ที่จินหลิงไต้ซือบอกว่าจะเดินทางไปยังทิศเหนือ คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอไต้ซือที่นี่” เนี่ยนหย่วนยิ้มพลางตอบกลับไปว่า “อาตมาเดินทางท่องใต้หล้า ได้รู้จักกับเจ้าอาวาสและพระภิกษุของวัดหลิงเฉวียนแห่งนี้เมื่อนานมาแล้ว ก็เลยมาพำนักอาศัยอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว ได้ยินมาว่าช่วงนี้จวิ้นจู่และคุณชายเว่ยกำลังจะมีข่าวดีเช่นนั้นหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ยตอบ “ขายหน้าไต้ซือแล้ว”
เยี่ยนอ๋องก็เอ่ยขึ้นว่า “ตอนที่ข้าประจำการอยู่ที่จินหลิง มักจะไปฟังธรรมที่วัดต้ากวงหมิงอยู่เป็นประจำ ก็เลยค่อนข้างสนิทกับไต้ซือเนี่ยนหย่วน ไต้ซือเนี่ยนหย่วนเพียบพร้อมทั้งศิลปะและความรู้ เป็นผู้ที่ล้ำเลิศด้วยปัญญาธรรม มิใช่บุคคลที่ผู้น้อยเช่นพวกเจ้าจะเทียบเทียมได้” เนี่ยนหย่วนได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องยกยอเกินไปแล้ว คุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่ล้วนมากล้นไปด้วยความรู้ความสามารถ ข้าน้อยจะกล้าเทียบได้อย่างไรกัน”
เยี่ยนอ๋องฟังแล้วก็ทอดถอนใจ “อู๋สยาไม่เลวทีเดียว แต่เจ้าจวินมั่วรายนั้น นอกจากเก่งกาจเรื่องศิลปะการต่อสู้แล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอันใดที่พอจะใช้ได้เลย ยังต้องขอให้ไต้ซือช่วยสั่งสอนชี้แนะจึงจะถูก” ถึงแม้ว่าจะเอ่ยมาเช่นนี้ แต่ในน้ำเสียงของเยี่ยนอ๋องกลับไม่มีความผิดหวังแม้แต่นิดเดียว เห็นได้ชัดว่าเขาพึงพอใจในตัวเว่ยจวินมั่วหลานชายคนนี้เป็นอย่างมาก
เนี่ยนหย่วนเองย่อมต้องเข้าใจความคิดของเขาอยู่แล้ว ทั้งคู่ยิ้มให้แก่กัน เนี่ยนหย่วนเองก็ไม่ได้ขยายความคำเอ่ยของเขาแต่อย่างใด ไม่ว่าผู้อื่นจะดีแค่ไหน ก็ไม่อาจเทียบได้กับหลานชายคนสนิทในดวงใจเขาได้ และถึงแม้ว่าหนานกงมั่วและเนี่ยนหย่วนจะเก่งกาจกว่าเว่ยจวินมั่วร้อยเท่าพันเท่าก็ตาม เยี่ยนอ๋องก็ยังคงรู้สึกว่าเว่ยจวินมั่วดีที่สุดอยู่ดี เขาตำหนิติเตียนเองไม่เป็นไร แต่ผู้อื่นห้ามตำหนิติเตียนเว่ยจวินมั่วเป็นอันขาด