หนานกงมั่วเองก็ไม่ได้เกรงใจแต่อย่างใด เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “เช่นนั้นข้าก็ไม่อ้อมค้อมแล้ว ข้าตั้งใจจะมายืมเสบียงอาหารจากท่านจำนวนหนึ่ง”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของผู้ว่าการโยวโจวขึ้นมาทันใด เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “จวิ้นจู่…เรื่องนี้มิใช่ว่าข้าไม่ให้เกียรติท่าน แต่จวิ้นจู่ท่านเองก็ทราบดีว่ายามนี้ที่ด่านชายแดนมีการแจ้งสัญญาณไฟรอบทิศ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าพึ่งจะส่งเสบียงอาหารจำนวนหนึ่งไปที่ค่ายทหารของแม่ทัพเซี่ย ภาษีของโยวโจวในแต่ละปี จวนเยี่ยนอ๋องเป็นคนดูแลจัดการทั้งหมด ในมือของข้า…ไม่ได้มีเสบียงอาหารมากมายขนาดนั้น”
หนานกงมั่วได้ยินแล้วก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใจแต่อย่างใด จ้องมองจิ้งจอกเฒ่าที่กำลังเล่นละครอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นหนานกงมั่วใจเย็นเพียงนี้ ผู้ว่าการโยวโจวจึงรู้สึกไม่สนุกอีกต่อไป เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ข้าน้อยเอ่ยตามตรงไม่อ้อมค้อม สำนักผู้ว่าการหยาเหมินเมืองโยวโจวไม่มีเสบียงอาหารที่จวิ้นจู่ต้องการจริงๆ”
หนานกงมั่วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพลางเอ่ย “ทางฝั่งข้าจะคืนเสบียงอาหารภายในครึ่งเดือน จวนเยี่ยนอ๋องไม่เคยมีปัญหาเรื่องเสบียงอาหารกับท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว ท่านจะไม่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือเลยหรือ ใต้เท้าไม่เชื่อใจเยี่ยนอ๋องหรือไม่เชื่อใจข้ากันแน่”
“มิกล้า มิกล้า” ผู้ว่าการโยวโจวรีบตอบกลับ “ข้าไม่มีเจตนาจะทำให้จวิ้นจู่ลำบากอย่างแน่นอน เมื่อสองวันก่อนข้าพึ่งจะส่งเสบียงอาหารสองแสนหาบไป ยามนี้จวิ้นจู่จะมาขอยืมเสบียงอาหารจากข้า แม้จะฆ่าข้าทิ้ง ข้าก็ไม่สามารถจัดหาเสบียงส่วนนี้ออกมาได้อยู่ดี ฝ่ายราชการมีคลังเสบียงอยู่หลายจุดก็จริง แต่ว่า…หากจะส่งเสบียงอาหารไปต้องใช้เวลารวบรวมและขนส่งราวเจ็ดถึงแปดวันเห็นจะได้ อีกอย่าง…เกรงว่าปริมาณของเสบียงอาหารก็คงจะไม่มากเท่าใดนัก”
หนานกงมั่วขมวดคิ้วแน่น “สองเดือนที่แล้วท่านพึ่งจะส่งเสบียงอาหารจำนวนเจ็ดแสนสือไปที่กองทัพของแม่ทัพเซี่ย สองวันก่อนก็ส่งไปอีกสองแสนสือ ค่ายบัญชาการหยาเหมินเมืองโยวโจวมีทหารและม้าไม่ถึงแสนนาย ข้าอยากจะรู้ว่าเหตุใดถึงได้ใช้เสบียงอาหารมากมายถึงเพียงนี้”
“เรื่องนี้…” ผู้ว่าการโยวโจวชะงักไปชั่วขณะ รีบส่ายหน้าพลางเอ่ย “เรื่องนี้ข้าไม่ทราบรายละเอียด แต่แม่ทัพเซี่ยมาด้วยคำสั่งของเยี่ยนอ๋อง อย่าว่าแต่เสบียงอาหารสองแสนสือเลย ถึงแม้จะมาเอาหัวข้าน้อยไป ข้าน้อยก็ไม่กล้าที่จะขัดขืนอยู่ดี”
หนานกงมั่วขมวดคิ้วแน่น ในหัวเหมือนคิดอันใดบางอย่างออก
เมื่อเห็นว่าหนานกงมั่วไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ผู้ว่าการโยวโจวก็เอ่ยต่อไปว่า “จวิ้นจู่ เรื่องนี้…ข้าช่วยอันใดท่านไม่ได้จริงๆ ขอจวิ้นจู่และเยี่ยนอ๋องโปรดให้อภัยข้าด้วย”
หนานกงมั่วไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด เพียงแค่ยิ้มพร้อมกับเอ่ย “ใต้เท้าฉีกล่าวเกินไปแล้ว ในเมื่อใต้เท้าฉีเอ่ยมาเช่นนี้…งั้นข้าก็ฝากไปบอกกับแม่ทัพเซี่ยที ว่าสงครามชายแดนกับเป่ยหยวนที่จะถึงนี้ก็ลำบากเขาแล้ว”
“หา!” ผู้ว่าการโยวโจวอึ้งไปชั่วครู่ จ้องมองหนานกงมั่วด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ หนานกงมั่วจึงเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นว่า “ใต้เท้าฉีคงจะได้ยินมาบ้างแล้ว ว่าคลังเสบียงอาหารของจวนเยี่ยนอ๋องเสียหายจนหมด ไม่มีเสบียงอาหารก็ไม่สามารถทำสงครามได้ สงครามที่จะถึงนี้ก็ย่อมจำเป็นต้องลำบากแม่ทัพเซี่ยอยู่แล้ว”
“แต่ว่า…แต่ว่า…”
“เรื่องนี้มีอันใดให้ ‘แต่ว่า’ กัน” หนานกงมั่วไม่เข้าใจ “ทหารที่หิวโหยจะเอากำลังที่ไหนไปสู้รบเล่า ถึงแม้เสด็จลุงจะไม่ได้รับสั่งให้ถอนกำลัง แต่ทหารทั้งหมดที่ประจำการอยู่ด่านชายแดนก็ไม่สามารถต้านทานกองกำลังของเป่ยหยวนได้อยู่ดี ท่านว่าจริงหรือไม่”
ผู้ว่าการโยวโจวจึงค่อยได้สติกลับคืนมา รีบเอ่ยขึ้นเสียงขรึมว่า “จวิ้นจู่บอกว่าจะถอนกำลังทหารอย่างนั้นหรือ ท่านจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน โยวโจวเป็นดินแดนในปกครองของเยี่ยนอ๋องเชียวนะ!” แม้เยี่ยนอ๋องจะเป็นถึงโอรสก็แบกรับความผิดฐานละทิ้งดินแดนไม่ได้อยู่ดี
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “โยวโจวมิใช่หนึ่งในดินแดนของต้าเซี่ยหรืออย่างไรกัน”
ผู้ว่าการโยวโจวย่อมไม่กล้าปฏิเสธอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหากจวนเยี่ยนอ๋องถอนกำลังทหารไปทั้งแบบนี้ แม่ทัพเซี่ยลี่จะต้องแย่แน่ๆ
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่ ท่านอย่าได้ลืมเชียว…ว่าตอนนี้สามีของท่านเองก็อยู่ในกองทัพของแม่ทัพเซี่ยด้วย” หากถอนกำลังทหารไป ไม่ใช่เซี่ยลี่คนเดียวเท่านั้นที่จะถูกฝังทั้งเป็น แม้แต่เว่ยจวินมั่วก็จะถูกฝังไปด้วย
หนานกงมั่วโบกมือพลางเอ่ยขึ้นด้วยความจนใจ “แล้วใต้เท้าฉีว่าควรจะทำอย่างไรดี ข้าอายุน้อยด้อยประสบการณ์ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะจัดการกับปัญหาเช่นนี้อย่างไรดี”
ผู้ว่าการโยวโจวเอ่ยอันใดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ไม่มีเสบียงอาหาร ถึงแม้ว่าจะไม่ถอนกำลังทหารก็สู้รบไม่ได้อยู่ดี ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงถามขึ้นด้วยความกระอักกระอ่วนใจว่า “แล้วจวิ้นจู่คิดเห็นอย่างไร”
หนานกงมั่วยิ้มกว้างขึ้นมาทันที “เสบียงอาหารที่ข้าต้องการนั้นไม่มาก ในเมื่อใต้เท้าฉีไม่มี เช่นนั้นก็ไปขอยืมกับแม่ทัพเซี่ยมาสักห้าหมื่นสือ ท่านเห็นควรอย่างไร ข้ายังคงยืนยันคำเดิมว่าจะคืนเสบียงอาหารภายในครึ่งเดือน”
“เรื่องนี้…แม่ทัพเซี่ย…” ผู้ว่าการโยวโจวยังคงลังเลใจ
หนานกงมั่วฉีกยิ้มเล็กน้อย แต่แววตากลับไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่นิดเดียว “ใต้เท้าฉี ถึงแม้แม่ทัพเซี่ยจะประจำการอยู่ในกองทัพ และข้าเองก็ได้เจอหน้าเขาเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ใต้เท้าฉี ท่านพำนักอยู่ในเมืองโยวโจว วันข้างหน้าจะต้องเจอกันบ่อยครั้งอย่างแน่นอน ท่านว่าใช่หรือไม่”
นี่คือการข่มขู่หรือ!
สายตาของผู้ว่าการโยวโจวจ้องมองไปยังสตรีที่กำลังยิ้มอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาที่มืดมิด แต่ทว่า เขาไม่สามารถที่จะปฏิเสธการข่มขู่ในครั้งนี้ได้ สิ่งที่ซิงเฉิงจวิ้นจู่เอ่ยมานั้นถูกต้องทุกคำ เซี่ยลี่ประจำการอยู่ในค่ายทหารที่ล้อมรอบไปด้วยการคุ้มกันของทหารและม้าหลายหมื่นนาย เขาย่อมต้องประจำการอยู่ในเมืองโยวโจวต่ออยู่แล้ว หากฮ่องเต้ไม่รับสั่งให้ปลดข้าราชการ เยี่ยนอ๋องก็ยังคงอยู่เหนือหัวเขาขึ้นไป วันใดวันหนึ่งเยี่ยนอ๋องเกิดโทสะสั่งประหารเขาด้วยอารมณ์ชั่ววูบขึ้นมาก็ถือว่าตายเปล่า
บรรยากาศเงียบงันอยู่พักใหญ่ ผู้ว่าการโยวโจวก็เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “ข้าจะส่งคนไปปรึกษาหารือกับแม่ทัพเซี่ย”
หนานกงมั่วหัวเราะเสียงเบา “ปรึกษาหารือหรือ ใต้เท้าฉี เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นความตายของทหารและม้านับแสนชีวิตเชียว หากท่านปรึกษาหารือไม่ลงตัวขึ้นมา ชีวิตของทหารเหล่านั้นไม่สามารถที่จะนำกลับมาได้อีกแล้ว”
ผู้ว่าการโยวโจวขบกรามแน่น “ข้ารับประกันว่าแม่ทัพเซี่ยจะต้องผ่อนผันอย่างแน่นอน หากมีข้อผิดพลาดประการใดเกิดขึ้น จวิ้นจู่เอาชีวิตข้าไปชดใช้ได้เลย”
หนานกงมั่วหลุบตาลงต่ำ พลางเอ่ยขึ้นเสียงเบา “มิบังอาจ เช่นนั้นก็รบกวนใต้เท้าแล้ว ฝากบอกแม่ทัพเซี่ยแทนข้าด้วยว่าการกระทบกระทั่งและความบาดหมางนั้นเป็นอีกเรื่อง แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสงบสุขของด่านชายแดนและชีวิตของทหารนับแสน ขอแม่ทัพเซี่ยโปรดทบทวนให้ดี”
“ข้าเข้าใจดี เชิญจวิ้นจู่เถิด” ผู้ว่าการโยวโจวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก หนานกงมั่วที่ถูกไล่กลับซึ่งๆ หน้าไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด เพียงไหวไหล่เบาๆ จากนั้นจึงขอตัวลากลับ
รอให้แผ่นหลังของหนานกงมั่วลับตาไปแล้ว ผู้ว่าการโยวโจวก็คว้าถ้วยน้ำชาเขวี้ยงลงพื้นด้วยความเดือดดาล “เจ้าพวกหน้าโง่! กล้าหาเรื่องข้าเชียวหรือ!”
…
“จวิ้นจู่ เหตุใดท่านถึงต้องเกรงใจตาเฒ่านั่นด้วย” ที่หน้าประตูสำนักผู้ว่าการเมืองโยวโจว หลิ่วหันหันกลับไปมองป้ายประตูใหญ่ของสำนักผู้ว่าการพลางขมวดคิ้วแน่น “เสบียงอาหารที่เสียหายจำนวนนั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับใต้เท้าฉีอย่างแน่นอน เหตุใดท่านถึงยัง…” หนานกงมั่วส่ายหน้าเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “ผู้ว่าการโยวโจวมิใช่คนโง่ การที่เขาตัดสินใจทำเรื่องเช่นนี้ย่อมต้องรู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีทางที่เขาจะหนีความผิดไปได้ คนในตระกูลของเขาไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือคนเฒ่าคนแก่ล้วนพำนักอยู่ในโยวโจวทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น…ตอนนี้มิใช่เวลาที่จะมานั่งสืบค้นความจริงว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือรีบจัดการกับปัญหาเสบียงอาหารโดยเร็วที่สุด”
“แต่ว่า หลังจากนี้อีกครึ่งเดือน เราจะไปหาเสบียงอาหารมาจากไหนกัน”
หนานกงมั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าเยี่ยนอ๋องจะไม่ถามไถ่ถึงเรื่องนี้เลยหรือ”
“เรื่องนี้…” หลิ่วหันหันไปมองชวีเหลียนซิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ชวีเหลียนซิงยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “คงจะไม่หรอก เรื่องใหญ่เช่นนี้ หากเยี่ยนอ๋องไม่ถามไถ่เลยละก็…” คงจะไม่ใช่แค่การหลงสตรีจนหัวปักหัวปำ แต่เป็นเพราะสติฟั่นเฟือนแล้วอย่างแน่นอน
หนานกงมั่วเอ่ยขึ้น “เยี่ยนอ๋องถึงขั้นรับสั่งให้กงเสี่ยวเตี๋ยมาขัดขวางเราไว้ แสดงว่าเยี่ยนอ๋องเองก็รู้ไม่น้อยไปกว่าเราเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจจะรู้มากกว่าเราเสียด้วยซ้ำ”