“เฮ้อ”
อินซอบถอนหายใจทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง
คงไม่เป็นอะไรหรอกใช่ไหม ก็อีกฝ่ายไม่ได้ทำตัวเย็นชา หลีกเลี่ยงการแตะเนื้อต้องตัว หรือบอกเลิก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังทำตัวอ่อนโยนมาก
“ไม่เป็นไร จะต้องไม่เป็นไร”
อินซอบพึมพำเบาๆ
แม้เขาจะอดทนอย่างสุดความสามารถ แต่เขากลับรู้สึกไม่ดีอยู่ตลอดเวลา การคบกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ ต้องใช้ความกล้ามากกว่าที่คิด
ในตอนที่เขาตัดสินใจตามอีอูยอนมาที่เกาหลี เขาไม่เพียงแต่รู้สึกดีใจเท่านั้น แต่ยังรู้สึกกลัวมากด้วย เขากลัวมากกว่าตอนที่ตัดสินใจว่าจะแก้แค้นจนเอาตัวไปนั่งบนเครื่องบินเสียอีก เพราะตอนนั้นเขาเชื่อว่าเมื่อทุกอย่างจบลง เขาจะไม่เป็นไร ทว่าการมาเกาหลีครั้งนี้ต่างออกไป เมื่อทุกอย่างจบลง เขาจะรับสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นได้หรือไม่
“…ไม่เป็นไร”
อินซอบกำเสื้อคลุมตัวนอกของอีอูยอนด้วยมือที่สั่นเทา และนึกถึงช่วงเวลาที่ได้เจอกับอีอูยอนครั้งแรกหลังจากกลับมาที่เกาหลีอีกครั้ง
อีกฝ่ายจับข้อมือของอินซอบลากไปโดยไม่มีแม้แต่คำพูดที่ว่า ‘ขอบคุณที่กลับมา ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ’ ด้วยซ้ำ แม้จะถามอีกฝ่ายว่าจะไปที่ไหน แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา อีอูยอนพรมจูบเขาทันทีที่ขึ้นมาบนรถที่จอดอยู่ในลานจอดรถ พวกเขาจูบกันอย่างเร่าร้อน รีบเร่ง และลึกซึ้งโดยไม่คิดด้วยซ้ำว่าอาจจะมีใครเห็น
ตอนที่ได้สติ เวลาก็ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงแล้ว พอพวกเขาหยุดจูบและสบตากัน อีอูยอนก็หัวเราะ ความกลัวที่ลืมเลือนไปถาโถมเข้ามาอีกครั้งในตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายนั้นเอง
ถ้าความรักครั้งนี้จบลง เราจะเป็นยังไง…
แม้อาจจะฟังดูน่าหัวเราะเยาะว่าโง่เง่า แต่อินซอบก็อ่านหนังสือทฤษฎีเกี่ยวกับความรักมานับสิบเล่มก่อนที่จะมาเกาหลี เช่น ‘วิธีรักษาความสัมพันธ์ให้ยาวนาน’ ‘ทฤษฎีการคบกันอย่างมีความสุข’ ‘การคบที่ไม่มีวันเลิก’ ‘แค่อ่านหนังสือเล่มนี้ คุณเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักได้’
เขาเรียบเรียงส่วนที่ขีดเส้นใต้ไว้เพื่อท่องจำโดยเฉพาะและศึกษาเกี่ยวกับมัน
สถิติบอกว่ายิ่งเป็นคนที่พึ่งตัวเองได้ และเคารพในพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันมากเท่าไร ระยะเวลาที่คบกันก็จะยาวนานขึ้นเท่านั้น พอเห็นดังนั้นอินซอบก็ตัดสินใจที่จะไม่อยู่ด้วยกัน และออกมาอยู่ด้วยตัวเอง เขาอยากเลี่ยงตัวเลือกที่ทำให้เกิดผลลบในการคบกันโดยไม่มีเงื่อนไข ถึงอีอูยอนจะชวนให้อยู่ด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ส่ายหัวอย่างดื้อรั้นด้วยกลัวว่าจะเลื่อนตอนจบที่ไม่ดีให้เกิดเร็วขึ้น
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยทะเลาะกันหลังจากที่มาที่เกาหลี บางครั้งอีอูยอนก็โมโหด้วยเหตุผลที่เขาไม่เข้าใจ แต่เขากลับไม่เคยสงสัยในความรักของอีกฝ่ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาเชื่ออย่างนั้น และคิดว่าต่อให้ไม่เข้าใจหรือรู้สึกเหมือนกันไปหมดทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีการโกหกที่จะทำให้เสียใจแน่นอน
“ถ้าพยายาม ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”
อินซอบพูดปลอบใจตัวเองซ้ำๆ
ปัญหาก็คือเขาจับจุดไม่ถูกเลยว่าจะต้องพยายามแบบไหน
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาจะตั้งใจเรียน
อินซอบเงยหน้ามองจอแสดงหมายเลขชั้นของลิฟต์ด้วยสีหน้าเซื่องซึมและหมุนตัวไป เขาคิดว่าจะเดินขึ้นไปพลางออกกำลังกายไปด้วย ขณะที่เปิดประตูฉุกเฉิน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น วินาทีที่เห็นชื่อบนหน้าจอ อินซอบก็ทำตาลุกวาว ยุนอารึม เธอแทบจะไม่โทรศัพท์หาเขาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“ฮัลโหล ชเวอินซอบครับ”
เขารีบโทรศัพท์ ขณะเดียวกันหัวใจก็เต้นตึกตักด้วยกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกแมว
[รีบรับทันทีเลยนะคะ ตอนนี้สะดวกคุยหรือเปล่าคะ]
“ครับ ได้ครับ มีอะไรเหรอครับ”
อินซอบเอ่ยตอบขณะที่จงใจเดินขึ้นบันไดช้าๆ
[พวกเด็กๆ ได้คนรับเลี้ยงแล้วค่ะ อาเธอร์กับไอแซก ทั้งสองตัวเลยค่ะ]
“จริงเหรอครับ ได้ยังไงครับ”
[ดูเหมือนว่าพ่อจะไม่ยอมยกเด็กๆ ให้ใครเลยค่ะ ขนาดตอนเลือกคนที่ฉันจะแต่งงานด้วยยังไม่ยุ่งยากขนาดนี้เลยนะคะ…]
เขาเอ่ยถามอย่างตกใจ เพราะจำข้อความที่ยุนอารึมส่งมาเมื่อไม่นานมานี้ได้อย่างแม่นยำ
[ดูเหมือนไม่ว่ายังไงท่านก็ไม่ยอมยกให้คนที่ไม่รู้จักเด็ดขาด ก็เลยเลือกคนที่รู้จักและติดต่อส่งโปรไฟล์ของเด็กๆ ไปให้ดูด้วยตัวเองถึงตัดสินใจได้ค่ะ ได้ยินว่าท่านถึงขนาดไปเยี่ยมครอบครัวนั้นคนเดียวเลยนะคะ อ้อ อาเธอร์กับไอแซกจะไปบ้านเดียวกันค่ะ]
“ดีครับ ดีจริงๆ”
[ในเมื่อคุณพ่อเลือกเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไรนะคะ ส่วนจอห์นกับโลอิสจะอยู่ต่ออีกสักพักแล้วค่อยยกให้คนอื่นค่ะ]
“ขอบคุณครับ ขอบคุณคุณพ่อด้วยนะครับ”
อินซอบก้มหัวขอบคุณอากาศว่างๆ
[…แต่มีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่งค่ะ]
ยุนอารึมพูดต่อหลังจากถอนหายใจไปเฮือกหนึ่ง
[เพราะคุณพ่อไม่อยากปล่อยเด็กๆ ไปถึงได้เอาแต่ปฏิเสธความจริงอยู่เรื่อย แล้วก็เพิ่งมาบอกวันนี้เองค่ะว่าจะพาเด็กๆ ไปพรุ่งนี้แล้ว]
“ครับ? พรุ่งนี้เหรอครับ”
[จะทำยังไงกับคุณพ่อดีคะ วันนี้ท่านเอาแต่กอดพวกเด็กๆ ไว้ และไม่ยอมออกจากห้องทั้งวันเลย เอาเป็นว่าวันนี้คุณพอจะมีเวลาว่างไหมคะ]
“วันนี้เหรอครับ”
[ค่ะ คิดว่าคุณควรจะมาเจอพวกเด็กๆ นะคะ พวกคนที่รับเลี้ยงเขากลับไปอยู่บ้านนอกน่ะค่ะ ก็เลยขึ้นมารับจากต่างจังหวัด]
นั่นหมายความว่าถ้าไม่ใช่วันนี้ เขาก็จะเจออาเธอร์กับไอแซกอีกครั้งได้ยากแล้ว แม้ยุนอารึมจะเป็นคนช่วยเหลือแมวและรับเลี้ยงเอง แต่อินซอบกลับรู้สึกว่านี่เป็นความรับผิดชอบของตัวเองทั้งหมด
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะไปวันนี้ครับ”
[ห้ามซื้อของขวัญมาเด็ดขาดเลยนะคะ พ่อบอกว่าถ้าซื้ออะไรมาอีกจะไม่ให้ข้าวแล้ว]
ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมแมว อินซอบมักจะซื้อของขวัญไปด้วยจนเต็มไม้เต็มมือทุกครั้ง เขาอยากจะตอบแทนอะไรสักอย่าง เพราะได้รับกับข้าวมาจากแม่ของยุนอารึม
“แต่…”
[เดี๋ยวเจอกันนะคะ ฉันจะไปจัดการของที่จะต้องส่งไปวันพรุ่งนี้นิดหน่อย]
อินซอบวางสายเมื่อกล่าวขอบคุณจบ และมองหน้าต่างตรงบันไดที่เชื่อมไปยังทางเดิน อากาศดีเหมาะสำหรับการเดทจริงๆ
“…คงต้องเก็บไว้คราวหน้าซะแล้ว”
เขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า และกลืนความเสียดายลงไป โชคดีที่เขาไม่ได้คุยเรื่องไปกินข้าวกับอีอูยอน เพราะเขาไม่สามารถเลื่อนนัดได้อีกแล้ว หลังจากที่เลื่อนไปคราวก่อน
อินซอบตั้งใจว่าจะแวะไปยืมหนังสือเกี่ยวกับความรักที่ห้องสมุดในระหว่างทางกลับบ้านก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป พอเข้ามาในออฟฟิศ ผู้ช่วยโจก็ทักทายอินซอบ
“คุณอินซอบมาด้วยเหรอคะ”
“สวัสดีครับ คุณผู้ช่วย”
“ถึงฉันจะดีใจที่ได้เห็นหน้าคุณอินซอบก็เถอะนะ แต่จะมาให้ยุ่งยากทำไมทุกครั้งล่ะคะ”
ผู้ช่วยโจยิ้มอย่างอบอุ่นพร้อมกับยื่นตารางงานของอีอูยอนให้
ตารางงานเกือบทั้งหมดของนักแสดงระดับอีอูยอนจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าหนึ่งเดือน แม้จะสามารถแทรกการสัมภาษณ์ หรืองานเล็กๆ น้อยๆ เข้าไปได้ แต่งานที่สำคัญๆ ส่วนใหญ่จะถูกนัดหมายไว้ก่อนหน้าแล้ว
“นอกจากงานในช่วงเช้าวันพฤหัสหน้าที่ถูกเลื่อนออกไปก็ไม่มีอะไรแล้วค่ะ”
“วันพฤหัสเหรอครับ”
อินซอบหยิบสมุดโน้ตออกมาดู เพราะคิดว่าตัวเองจำผิด ตารางงานของวันพฤหัสที่แล้วก็โดนเลื่อนออกไปเหมือนกัน
“ค่ะ คุณอีอูยอนขอร้องไม่ให้ลงตารางงานในช่วงเช้าวันพฤหัสไปสักพักน่ะค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมจะลองเช็กดูแล้วจะมาบอกนะครับ เรื่องนี้ผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน”
เขาย้ายเวลาออกกำลังกายเหรอ
อินซอบเอียงคอพลางเก็บสมุดโน้ตใส่กระเป๋า
“ดูเหมือนตารางงานวันนี้จะเสร็จเร็ว ไม่ไปที่ดีๆ เหรอคะ”
“วันนี้…”
เสียงที่ได้ยินตรงทางเข้าเรียกให้อินซอบที่กำลังจะตอบหันหน้าไปมอง
“จะมาทำแบบนี้ที่นี่ไม่ได้นะครับ”
พนักงานรักษาความปลอดภัยทำหน้าไม่พอใจ และขวางผู้ชายคนหนึ่งเอาไว้
“ทำไมจะไม่ได้ มีอะไรที่ไม่ได้เหรอ ฉันมาหาคนที่ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นเลยเหรอ แค่ขอให้เรียกอีอูยอนให้หน่อยเท่านั้นเอง มีอะไรไม่ได้กันล่ะ!”
สีหน้าของอินซอบซีดเผือด
“คังยองโมไม่ใช่เหรอ เขามาหาคุณอีอูยอนทำไม”
ผู้ช่วยโจทำหน้ารังเกียจพลางกระซิบกระซาบกับอินซอบ ส่วนอินซอบกลับตัวแข็งเป็นน้ำแข็งจนไม่สามารถตอบอะไรได้
ทำยังไงดี ทำไมคนคนนั้นถึงมาที่นี่ล่ะ ก่อนอื่นต้องบอกอีอูยอนไม่ให้มาที่ออฟฟิศ ไม่สิ ถ้าติดต่อไป เขาน่าจะมาทันทีแน่…
ระหว่างที่กำลังทำอะไรไม่ถูก อินซอบก็สบตากับคังยองโม
“เฮ้ย! นาย!”
คังยองโมจำอินซอบได้จึงเดินเข้ามาหาด้วยแววตาน่าหวาดหวั่น อินซอบชะงักและพยายามจะถอยหนี แต่นั่นก็เป็นหลังจากที่คังยองโมเข้ามาใกล้แล้ว
“อีอูยอนอยู่ไหน พาเขามาเดี๋ยวนี้”
“ตะ ตอนนี้เขาไม่อยู่ที่นี่ครับ”
อินซอบตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา การมองเห็นของเขาสว่างวาบ คังยองโมตบหัวของอินซอบอย่างแรง บรรดาคนที่มองอยู่กลั้นหายใจดังเฮือก
“ไม่อยู่ที่นี่อะไรล่ะ ฉันเห็นว่ารถจอดอยู่หรอกถึงได้ขึ้นมา”
“เขากลับบ้านไปก่อนแล้วครับ”
อินซอบตอบอย่างใจเย็นและสุขุมที่สุดเท่าที่จะทำได้ คังยองโมแย่งเสื้อคลุมตัวนอกที่อินซอบถืออยู่ในมือมากางออก
“นี่เสื้อนายเหรอ ไซซ์มันใหญ่เกินกว่าที่นายจะใส่ไปไหนมาไหนหรือเปล่า”
“…”
“ฉันยังพูดดีๆ อยู่นะ นี่นายเมินฉันเหรอ”
คังยองโมตะโกนเสียงดัง และโยนเสื้อคลุมตัวนอกใส่หน้าอินซอบ
“ถ้าทำแบบนี้ ฉันจะเรียกตำรวจนะคะ”
แม้ผู้ช่วยโจจะลุกขึ้นมาพยายามห้ามคังยองโมไว้ แต่ก็เปล่าประโยชน์
“ตำรวจเหรอ เรียกเลย ถ้าเรียกตำรวจมาใครจะดูแย่กว่ากันล่ะ”
อินซอบส่ายหน้าให้ผู้ช่วยโจ ถ้าตำรวจเข้ามาเอี่ยวก็มีแต่จะทำให้เรื่องราวใหญ่โตมากขึ้นเท่านั้น
“ผมจะพาไปที่ห้องประชุมด้านในก่อนนะครับ”
ก่อนอื่นเขาจะต้องพยายามทำให้คังยองโมไม่เจออีอูยอน อินซอบซ่อนมือที่สั่นระริกไว้ข้างหลัง และพูดอย่างใจเย็นที่สุด คังยองโมแสยะยิ้ม
“ฉันสั่งให้เรียกอีอูยอนมา อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำๆ นะ”
“เมื่อคุณเข้าไปรอด้านในแล้ว ผมจะติดต่อกรรมการผู้จัดการ…”
คังยองโมเงื้อมือขึ้นก่อนที่อินซอบจะพูดจบ เมื่อเห็นอินซอบตกใจห่อไหล่ คังยองโมก็หัวเราะคิกคักพร้อมกับแตะแก้มเขาเบาๆ คล้ายจะดันออก
“กลัวเหรอ ทำไมนายถึงยุ่งไม่เข้าเรื่องอย่างนี้ล่ะ กรรมการผู้จัดการคิมไม่ได้สั่งสอนพวกผู้จัดการส่วนตัวเหรอ”
เนื่องจากทุกคนต่างรู้ถึงชื่อเสียงแย่ๆ ของคังยองโมดี คนที่อยู่ในออฟฟิศจึงไม่สามารถออกตัวสุ่มสี่สุ่มห้าได้
“ฉันจะไม่พูดเยิ่นเย้อแล้ว ไปพาอีอูยอนมา”
มือที่ตบเบาๆ ในตอนแรกค่อยๆ แรงขึ้นทีละนิด แปะ แปะ เสียงฟาดที่ชวนให้อารมณ์ไม่ดีดังขึ้นในออฟฟิศ อินซอบกัดริมฝีปากแน่น แม้เขาจะไม่เจ็บเท่ากับที่โดนต่อยก่อนหน้านี้ แต่ความรู้สึกว่าโดนดูถูกก็ตีตื้นขึ้นมา
“ต้องบอกผมก่อนครับว่ามีธุระอะไร”
อินซอบกลั้นน้ำตาไว้อย่างสุดความสามารถ เขาไม่สามารถร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องปกปิดเรื่องนี้ไว้ทุกวิถีทางในฐานะผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอน
“คนดูอยู่เยอะนะครับ ถ้าทำแบบนี้ที่นี่ มันจะไม่ดีกับตัวคุณคังยองโมเอง รบกวนด้วยครับ”
เมื่อเห็นอินซอบไม่สะทกสะท้าน รูปปากของคังยองโมก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ จากนั้นกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้างก็โผล่เข้ามาในครรลองสายตา คังยองโมผลักอินซอบออกไปก่อนจะหยิบกาแฟขึ้นมา อินซอบหลับตาแน่นด้วยความตกใจและหันหน้าไปด้านข้าง แต่สถานการณ์ที่เขาคาดการณ์ไว้กลับไม่เกิดขึ้น แม้จะผ่านไปสักพักแล้วก็ตาม
รอบข้างเงียบจนเกินไป ความเงียบราวกับจะทำให้หายใจไม่ออกทำให้อินซอบค่อยๆ หันหน้ากลับมา
“…”
กาแฟส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว อีอูยอนซึ่งโดนกาแฟสาดใส่ยืนอยู่ตรงนั้น แม้จะโดนสาดกาแฟใส่ แต่เขาก็ไม่นิ่วหน้า หรือโกรธเลยสักนิด นี่เป็นภาพที่เงียบสงบจนถ้าใครตะโกนขึ้นมาว่า ‘คัท’ ก็คงจะเชื่อว่านี่เป็นแค่ฉากหนึ่งของภาพยนตร์ หรือโฆษณาไปแล้ว