ไม่ต้องลำบากอีกต่อไป เพราะอะไรถึงไม่ต้องลำบากอีกต่อไป
สืออีเหนียงตกใจ
“สืออีเหนียง” สวีลิ่งอี๋เอ่ยเรียกชื่อนางเบาๆ เขามองนางด้วยสายตาที่เคร่งขรึม “ข้าอยากรับเลี้ยงเด็กคนนั้น!”
เมื่อครู่ฮูหยินสองบอกให้สวีลิ่งอี๋ยอมรับเฟิ่งชิง สวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยินไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร สืออีเหนียงจึงเตรียมใจเอาไว้แล้ว ตอนนี้ที่ได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดเช่นนี้ นางก็พยักหน้าโดยไม่คิดอะไร
เหมือนกับที่ฮูหยินสองพูด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีวิธีใดที่ดีไปกว่าการยอมรับเด็กคนนั้น ยิ่งไปกว่านั้น หากสวีลิ่งอี๋ยอมรับเฟิ่งชิง ต่อไปตนก็ต้องเป็นคนดูแลเขา เรื่องอื่นไม่กล้าพูดถึง แต่อย่างน้อยนางก็รับรองได้ว่าเฟิ่งชิงจะกินอิ่มนอนหลับ เขาจะไม่ต้องถูกตบตีโดยไม่มีเหตุผล สั่งสอนเขาเหมือนที่สั่งสอนสวีซื่ออวี้และจุนเกอ
“ข้าฟังท่านโฮ่วเจ้าค่ะ!” นางยิ้มให้สวีลิ่งอี๋
ลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ ด้วยสายตาที่ชื่นใจ
“มา!” เขาจับมือนางไปนั่งบนเตียงเตา “เรื่องนี้ เรามาปรึกษากันให้ดี”
ปรึกษา? มีอะไรต้องปรึกษา แค่ไม่รับเป็นบุตรในชื่อของนาง จะทำอย่างไรก็ได้!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วนั่งบนเตียงเตากับเขา
“ตั้งแต่คนของสกุลโอวถูกแต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟย ข้าก็รู้สึกหวาดระแวง ข้าเตรียมการอะไรบางอย่างเอาไว้” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเคร่งขรึม ไม่ได้พูดกับนางเรื่องของเฟิ่งชิง แต่กลับพูดความในใจ “แต่ข้าแค่คิดไม่ถึงว่าอำนาจของสกุลโอวจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทำอะไรก็เฉียบขาดเช่นนี้ แล้วยังพูดจริงลงมือทำจริง ไม่เหลือที่ว่างแม้แต่น้อย จะว่าไปแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้า ไม่เพียงแต่ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป แล้วยังนั่งดูท้องฟ้าอยู่ในบ่อน้ำ คิดว่าตัวเองเก่งกาจ หากไม่มีเรื่องเด็กคนนี้ หากสกุลหวังไม่บังเอิญเข้ามายุ่ง เกรงว่าตอนนี้ข้าก็คงยังไม่รู้ตัว” เขาทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง
“ท่านโหว…” สืออีเหนียงอยากจะปลอบใจเขา แต่กลับถูกสายตาของเขาขัดจังหวะ
“ความผิดเดิม ข้าจะทำผิดซ้ำสองไม่ได้” เขาพูดด้วยสายตาที่เย็นชา “ข้าคิดดูแล้ว ในเมื่อสกุลโอวเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว แทนที่เราจะคอยระวัง คอยรับมือพวกเขา ไม่สู้หลีกเลี่ยงก่อนชั่วคราวดีกว่า เพื่อแสดงความอ่อนแอ สร้างโอกาสที่ดีให้กับสกุลโอว หาวิธีทำให้พวกเขากระโจนออกมาเอง เปิดโปงตัวเอง ถึงแม้ว่าสกุลโอวจะยอมอดทนอดกลั้น ทำให้เราไม่บรรลุเป้าหมายนี้ แต่เราก็สามารถทำให้ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าสกุลโอวนั้นหยิ่งยโสโอหัง” เขาพูดช้าๆ ด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง “เราต้องรู้ว่า บางครั้งหากทำมากก็จะผิดพลาดมาก ตอนนี้เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น อยู่นิ่งๆ ก็พอ” พูดจบ เขาก็หัวเราะเบาๆ “สกุลโอวอยากให้เราขายขี้หน้าไม่ใช่หรือ เราก็แสดงละครให้ถึงที่สุด หญิงนางรำ หญิงคณิกา หญิงของหัวหน้าค่ายฝ่ายศัตรู ข้าจะยอมรับทุกอย่าง ดูว่าพวกเขาจะว่าเช่นไรอีก”
ใช่ คนเท้าเปล่าไม่กลัวการใส่รองเท้า
ก้มหัวคลุกฝุ่นขนาดนี้แล้ว หากยิ่งก้มหัวลงอีก แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงรีบเห็นด้วยกับสวีลิ่งอี๋ “แต่แค่รู้สึกว่ามันทำให้ท่านโหวลำบากใจ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “มันเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ลำบากใจ” พูดเช่นนี้แต่กลับยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นความทะเล้นของเขา
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกขบขัน นางจึงพูดออกไปอย่างใจกว้าง “สำหรับเรื่องของตรอกกงเสียน ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไปบอกกล่าวเองเจ้าค่ะ” นางพูด “พี่ใหญ่เป็นคนมีเหตุผล เขาได้ยินเช่นนี้ก็คงจะเข้าใจ”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ พลันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา จากนั้นก็ตบมือสืออีเหนียงเบาๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องออกหน้าแทนข้า ข้าจะไปพูดกับพ่อตาเอง”
“เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เพราะเรื่องของเฟิ่งชิงเราพูดตามความจริงไม่ได้ มีข้าอยู่ด้วย หากท่านพ่อไม่พอใจ ข้าจะได้ช่วยเกลี้ยกล่อมเขา”
มีสืออีเหนียงอยู่ สกุลหลัวคงจะไม่ว่าอะไร แต่เขาทำสิ่งใดล้วนไม่เคยให้สตรีต้องออกหน้ารับแทน แต่สืออีเหนียงนั้นมีเจตนาดี...เขาจึงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าดูลังเลใจ
สืออีเหนียงเข้าใจเป็นอย่างดี
คนที่มีความเป็นผู้นำล้วนแต่เป็นเช่นนี้ มีเรื่องอะไรก็ชอบแบกรับไว้คนเดียว ถึงแม้ว่าผู้หญิงจะมีชีวิตที่สงบสุข แต่ในระยะยาวนั้นพวกเขาสองคนก็จะสื่อสารกันน้อยลง มันอาจจะทำให้พวกเขาห่างเหินกันมากขึ้น นางไม่คัดค้านการตัดสินใจของสวีลิ่งอี๋ เพราะว่าสวีลิ่งอี๋เป็นคนหัวโบราญ เขาเข้าใจและชำนาญกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้มากกว่านาง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมจำนนต่อใครก็ตามอย่างไร้เหตุผล
“ท่านโหว สามีภรรยาต้องรักและสามัคคีกัน” นางพูดอย่างอ่อนโยน “นี่คือเรื่องของสกุลสวี เช่นนั้นก็คือเรื่องของเราสองคนเจ้าค่ะ”
“ก็ได้” สวีลิ่งอี๋ชอบคำพูดที่ว่า ‘สามีภรรยาต้องรักและสามัคคีกัน’ เป็นอย่างมาก จึงพูดว่า “เราไปด้วยกัน!”
“จะรอช้าไม่ได้ ในเมื่อจะยอมรับเขา ก็ต้องยอมรับก่อนปีใหม่ เด็กยังต้องมาบูชาบรรพบุรุษ แทนที่จะให้คนอื่นไปบอกท่านพ่อ ไม่สู้เราไปบอกเขาล่วงหน้าดีกว่า” สืออีเหนียงยิ้ม “เช่นนั้น ถือโอกาสช่วงบ่ายไม่มีเรื่องอื่นใด เราไปตรอกกงเสียนดีหรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋คิดไม่ถึงว่านางจะเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ พูดจริงทำจริง เขาตกใจไปครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน สกุลโอวกดดันเราขนาดนั้น เรื่องนี้จะล่าช้าไม่ได้” จากนั้นก็พูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้าคิดว่าเราจะเลี้ยงเด็กคนนี้ในนามของใครดี”
เรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่
หากเลี้ยงในนามของฉินอี๋เหนียง นางมีบุตรชายแล้วคนหนึ่ง หากมีอีกคน นางก็จะได้เป็นอี๋เหนียงที่มีสถานะสูงส่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย มีบุตรชายคือการเพิ่มสมาชิกให้สกุล มันคือการอุทิศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้สกุล เหวินอี๋เหนียงก็มีสกุลเหวิน หากเลี้ยงไว้ในนามของนาง ถึงแม้ว่าเหวินอี๋เหนียงจะไม่ได้คิดอะไร แต่เกรงว่าสกุลเหวินคงจะไม่อยู่นิ่ง สำหรับเฉียวเหลียนฝัง นางยังเด็ก ต่อไปนางจะต้องมีบุตรเป็นของตัวเอง ด้านหนึ่งคือนางจะยอมหรือไม่ อีกด้านหนึ่งคือ ตอนนี้ตนไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับนางมากนัก แต่ก็รับประกันไม่ได้ว่าต่อไปจะไม่มี ตีบุตรของคนอื่นไม่รู้สึกสงสาร หากถึงตอนนั้นนางใช้เฟิ่งชิงเป็นเครื่องมือ เช่นนั้นมันคงจะทำให้ตนปวดหัว!
ความคิดแล่นเข้ามาในหัว สืออีเหนียงตัดสินใจที่จะฟังสวีลิ่งอี๋ก่อน จะได้ถือโอกาสดูว่าอี๋เหนียงคนใดที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด
ต้องรู้ว่า อี๋เหนียงที่มีบุตรชายกับไม่มีบุตรชายนั้นแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว
“ท่านโหวคิดว่า…?” สืออีเหนียงมองหน้าสวีลิ่งอี๋
รอรับฟังความคิดเห็นของตน…เช่นนั้นก็หมายความว่า สืออีเหนียงคิดว่าเลี้ยงในนามของอี๋เหนียงคนไหนก็ไม่ดี
เขาครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เลี้ยงในนามของถงอี๋เหนียงดีหรือไม่”
สืออีเหนียงตกใจ
ถงอี๋เหนียงเสียชีวิตไปแล้ว…หากเลี้ยงในนามของนาง ก็เท่ากับว่าให้ตนเป็นคนดูแลเด็กคนนี้
สวีลิ่งอี๋พูดอย่างจริงจัง “ถึงแม้ว่าข้าบอกว่าจะยอมรับเด็กคนนี้ แต่ก็ควรหลอกตัวเองบ้าง บอกกับคนอื่นว่าถงอี๋เหนียงมาเข้าฝันข้า บอกว่าเสียชีวิตไปแล้วไม่มีคนจุดธูปเทียนให้ แล้วข้าก็ไปเจอเด็กคนนี้ที่วัดพอดี จึงพาเขากลับมาด้วย เลี้ยงเขาในนามของถงอี๋เหนียง เช่นนี้ มีคำอธิบายให้คนนอก เจ้าก็จะได้วางใจ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องของในจวน แต่หากเจ้าไม่เห็นด้วย ก็ทำตามที่เจ้าต้องการเถิด”
สำหรับสืออีเหนียงแล้ว ไม่มีวิธีไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว
“ท่านโหว…” นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋ แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
สืออีเหนียงไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน
การตัดสินใจเช่นนี้ของสวีลิ่งอี๋ อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าเขาเคารพตัวนาง
“เอาล่ะ” สวีลิ่งอี๋เห็นความซาบซึ้งในสายตาของสืออีเหนียง เขาก็อารมณ์ดี ยิ้มแล้วลุกขึ้น “เราไปบอกไท่ฮูหยินก่อน จากนั้นก็ไปที่ตรอกกงเสียนด้วยกัน แล้วยังต้องไปบอกท่านโหวผู้เฒ่าที่ตรอกหงเติง บอกน้องห้าให้ชัดเจน เราจัดการเรื่องวุ่นวายนี้ให้เขา เขาจะได้ไม่คิดว่าเราเลี้ยงเด็กอยู่ในจวนให้เขาเห็นทุกวัน แล้วยังมีฟั่นเหวยกัง หวังลี่ ก็ต้องเขียนจดหมายให้พวกเขา…วุ่นวายเสียจริง!”
เรื่องนี้จัดการแล้วไม่ใช่หรือ ไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายถึงฟั่นเหวยกังและหวังลี่กระมัง แล้วอีกอย่าง สวีลิ่งอี๋ก็ไม่เหมือนคนที่เจอปัญหาอะไรแล้วบ่นโอดครวญ!
สืออีเหนียงแปลกใจ
“หากเราไม่ทำอะไรจริงๆ เช่นนั้นมันคงไม่ต่างอะไรจากการหยุดข่าวลือ” สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงสงสัย เขายิ้มแล้วอธิบาย “เจ้าลองคิดดู เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแต่กลับไม่มีใครออกมาแก้ต่างให้เรา มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ บางทีหากฮ่องเต้ทรงคิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาอาจจะคิดว่าข้ากำลังถอยกลับไปตั้งหลัก หากเกิดอะไรขึ้นอีก มันคงจะยุ่งยากกว่าเดิม” พูดจบ เขาก็ถอนหายใจเบาๆ “ดังนั้นต้องเขียนจดหมายไปตำหนิพวกเขาสักหน่อย ด้วยมิตรภาพของเรา พวกเขารู้ว่าข้าถูกบังคับให้ยอมรับเด็กคนนี้ พวกเขาจะต้องช่วยข้าแก้ต่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสองคน คนหนึ่งเป็นนักปราชญ์ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นแม่ทัพ ล้วนแต่มีหน้าที่ที่แตกต่างกัน ไม่ได้ไปมาหาสู่กันบ่อยนัก แต่หากช่วยแก้ต่างเหมือนกัน ฮ่องเต้เห็นแล้วจะไม่ทรงสงสัย เช่นนี้ถึงจะทำให้ฮ่องเต้คิดว่าสกุลสวีจงรักภักดีเหมือนเดิม ต่อไปหากใครทำอะไรสกุลเรา ฮ่องเต้ก็จะทรงพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวเองได้”
สืออีเหนียงเข้าใจทันที
ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะไม่วางใจสกุลสวี ไม่วางใจสวีลิ่งอี๋ แต่ว่าสกุลสวีเป็นสกุลเดิมของฮองเฮา สวีลิ่งอี๋เป็นน้องภรรยาของเขา เขาสามารถทำลายสวีลิ่งอี๋ได้ แต่คนอื่นนั้นจะทำไม่ได้ ยิ่งสกุลโอวทำให้สกุลสวีจนตรอกมากแค่ไหน ตาชั่งของฮ่องเต้ก็ยิ่งจะเอนเอียงมาทางสกุลสวีมากเท่านั้น ความลำบากของสกุลสวีก็จะลดลง
นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ก็คือสิ่งที่ท่านบอกว่าไม่ต้องลำบากอีกต่อไปหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “มีแค่วิธีนี้ ที่สามารถทำให้ฮ่องเต้นั้นอยู่ข้างเรา” จากนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วพูดกับสืออีเหนียง “เรื่องดีๆ ไม่แพร่ออกไปข้างนอก แต่เรื่องแย่ๆ กลับแพร่กระจายไปทั่ว ประเดี๋ยวก็จะปีใหม่แล้ว ทุกคนล้วนแต่ต้องไปมาหาสู่กัน ถึงตอนนั้นพวกเขาคงจะถามถึงเรื่องของเฟิ่งชิง เจ้าก็ต้องเตรียมใจเอาไว้ด้วย”
“ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าคะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าจะรับมืออย่างระมัดระวัง” จากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่สวีลิ่งอี๋จะรีบไปสกุลซุนของติ้งหนานโหว นางก็พูดว่า “ท่านโหวจะไม่บอกเรื่องนี้กับน้องสะใภ้ห้าหรือเจ้าคะ”
“อืม!” สวีลิ่งอี๋พึมพำ “ในเมื่อข้ายอมรับแล้ว ก็ไม่ต้องทำให้เรื่องวุ่นวายไปกว่านี้ ที่ข้าไปหาท่านโหวผู้เฒ่าก็เพราะว่าไปเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง เขาจะได้รู้เรื่อง”
ดีเหมือนกัน เด็กโตขึ้นมาจะไม่ได้เสียใจ ให้เฟิ่งชิงคิดว่าตัวเองเป็นบุตรของสวีลิ่งอี๋ก็ดีเหมือนกัน
“ฝั่งของคุณชายห้า ข้าเกรงว่าท่านต้องไปบอกเขาเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงกังวลว่าจะพลาดตรงนี้
“แน่นอนอยู่แล้ว” สวีลิ่งอี๋ตอบรับ จู่ๆ ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินสองมาเจ้าค่ะ!”
พวกเขาทั้งสองตกใจ
ตั้งแต่พวกเขาแต่งงานกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินสองมาที่เรือนของพวกเขา
สืออีเหนียงรีบพูดว่า “รีบเชิญนางเข้ามา” จากนั้นก็บอกสาวใช้ไปนำเสื้อคลุมสีแดงมาต้อนรับฮูหยินสอง
แต่ฮูหยินสองยืนรออยู่ที่ห้องโถง “น้องสะใภ้สี่ไม่ต้องเกรงใจ ข้ามาบอกลา”
คำพูดของฮูหยินสองทำให้สืออีเหนียงแปลกใจ “วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสองแล้ว ลมหิมะปีนี้ก็ตกหนัก พี่สะใภ้สองไม่อยู่ขึ้นปีใหม่ก่อนแล้วค่อยกลับไปซีซานหรือเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าส่งคนไปรับเจินเจี่ยเอ๋อร์กลับมา”
“ข้าแค่เป็นห่วงท่านโหว จึงรีบกลับมาดู” นางยิ้ม “ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าท่านโหวมีวิธีรับมืออยู่แล้ว ข้าก็วางใจ น้องสะใภ้สี่ไม่ต้องเป็นห่วง รีบออกเดินทาง ครึ่งวันก็ถึง”
สืออีเหนียงยังเกลี้ยกล่อมนางอีกครั้ง แต่สวีลิ่งอี๋กลับพูดว่า “ในเมื่อพี่สะใภ้สองตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่รั้งพี่สะใภ้ไว้แล้วขอรับ” แล้วยังบอกให้สืออีเหนียงไปส่งแขก