บทที่ 202 ง่ายมาก ท่านเซียนต้องการให้เจ้าจัดการเรื่องทั้งหมดนี้!
จิตใจปั่นป่วน!
จิตใจของพวกเขาปั่นป่วนอย่างแท้จริง!
หยวนอีกับคนตระกูลหยวนที่เหลือล้วนตกตะลึงอย่างมาก
ภายใต้คันศรนั้น ขอบเขตราชันผู้เกริกไกรเหมือนกับคนไร้ค่า นี่มันจักน่ากลัวเกินไปแล้ว!
แม้แต่ผู้นำตระกูลหยวนของพวกเขาก็ทำไม่ได้!
“ข้าควรทำอย่างไรดี?”
พวกเขามองหน้ากัน โดยไม่รู้ว่าต้องทำอะไร…
พวกเขายังต้องไปขอดาบมารอมตะอยู่หรือไม่?
คนผู้นี้น่ากลัวมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เกี่ยวกับดาบมารอมตะ หากไปขอมา มันจะทำให้คนผู้นั้นไม่พอใจหรือไม่?
แม้ว่าภายใต้การสัมผัสของพวกเขา ขอบเขตของคนผู้นั้นเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋า
แต่ไม่มีใครเชื่อว่าอีกฝ่ายอยู่ในขอบเขตพรตเต๋าจริง
เพราะมันเป็นไปไม่ได้!
จำต้องรู้ว่ายิ่งอาวุธวิเศษทรงพลังมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องใช้พลังมากเท่านั้น หากความแข็งแกร่งของตัวเองไม่เพียงพอ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดใช้งานอาวุธที่ทรงพลังเช่นนี้
ยกพวกเขาเป็นตัวอย่าง
ขอบเขตของพวกเขาไม่ต่ำ แต่พวกเขาก็ยังอยู่ห่างไกลจากขอบเขตมหาจักรพรรดิ
ถึงพวกเขาจะได้รับอาวุธมหาจักรพรรดิจากตระกูลหยวน มันก็ยากสำหรับพวกเขาที่จะเรียกใช้พลังของมัน!
แม้ว่าพวกเขาจะเผาแก่นกำเนิดอย่างบ้าคลั่งและเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่มันก็ไร้ผล
อาวุธมหาจักรพรรดิไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถใช้งานได้
หากต้องการเปิดใช้งานอาวุธมหาจักรพรรดิ อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นนักบุญก่อน!
คันศรในมือของคนผู้นั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิ ทว่ากลับสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย และยิงคันศรหลายดอกติดต่อกัน ขอบเขตของคนผู้นั้นจะต้องไม่ใช่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าอย่างแน่นอน!
คนผู้นั้นน่าจะเป็นจักรพรรดิ!
หรืออาจเป็นมหาจักรพรรดิก็ได้!
เมื่อนึกถึงจุดนี้แล้ว พวกเขายิ่งรู้สึกหวั่นเกรงและหวาดผวาอยู่ในใจ!
สภาพแวดล้อมของโลกปัจจุบันนี้เลวร้ายมากนัก และเป็นเรื่องยากที่ขอบเขตนักบุญจะถือกำเนิดขึ้นได้ นับประสาอะไรกับจักรพรรดิและมหาจักรพรรดิ!
พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นจักรพรรดิหรือมหาจักรพรรดิผู้ที่นี่!
ในฐานะตระกูลจักรพรรดิ บรรพบุรุษของพวกเขาเคยมีมหาจักรพรรดิปรากฏขึ้นมาก่อน
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เนิ่นนานมากแล้ว…
อย่าว่าแต่จักรพรรดิหรือมหาจักรพรรดิ พวกเขาไม่มีแม้แต่จ้าวสูงสุด และมีเพียงนักบุญที่คอยปกป้องไม่กี่คนเท่านั้น!
ในความเป็นจริงพวกเขาพูดถูก
ยิ่งอาวุธวิเศษมีพลังมากเท่าใด ความต้องการของผู้ใช้ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
หากขอบเขตของผู้ใช้ไม่แข็งแกร่งพอ ย่อมเป็นการยากที่จะใช้งานพลังของศัสตราที่ทรงพลัง
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่กรณีของฝั่งเซี่ยเหยียน
คันศรราชันยอมรับเซี่ยเหยียนเป็นเจ้านายมานานแล้ว เซี่ยเหยียนจึงสามารถใช้พลังของคันศรราชันได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้พลังที่แข็งแกร่งใด ๆ
ที่สำคัญคือ คันศรราชันนี้แตกต่างจากศัสตราอื่น ๆ…
บนเรือ
หลี่จิ่วเต้าเห็นว่าเซี่ยเหยียนแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ และแม้กระทั่งฆ่าตัวประหลาดเหล่านั้น ก็คิดว่าเซี่ยเหยียน สมแล้วที่เป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักแห่งสำนักที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งความแข็งแกร่งของนางก็ทรงพลังเป็นอย่างมาก
หลี่จิ่วเต้าไม่รู้ว่าที่เซี่ยเหยียนทรงพลังมาก มันมาจากคันศรที่เขามอบให้กับนาง
ชายหนุ่มไม่เคยฝึกฝน จึงมีความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในโลกแห่งการฝึกตน
เขาไม่รู้ว่าทั้งห้าภูมิภาคของเหยียนโจว แดนบูรพาทิศนั้นอ่อนแอที่สุด เขาไม่รู้สถานะของสำนักไท่หัวในเหยียนโจว และเขาไม่รู้ว่าขอบเขตในการฝึกฝนคืออะไรบ้าง
ชายหนุ่มเข้าใจว่าพลังของทั้งห้าภูมิภาคของเหยียนโจวนั้นใกล้เคียงกัน และคิดว่าสำนักไท่หัวเป็นสำนักฝึกฝนที่แข็งแกร่งที่สุดในเหยียนโจว
มิหนำซ้ำ เขายังคิดว่าเซี่ยเหยียนที่เป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนัก ซึ่งมาจากสำนักที่ทรงพลังนั้นแข็งแกร่งกว่าหยวนอีและยอดฝีมือของตระกูลหยวน แล้วยังมีขอบเขตที่สูงกว่า!
“พวกเขาตามเจ้ามาหรือ?”
หลี่จิ่วเต้าถามเซี่ยเหยียน
เขาเป็นมนุษย์ จะคู่ควรได้รับความสนใจจากตัวตนประหลาด ๆ เหล่านั้นได้อย่างไร?
เช่นเดียวกับเขา หลิงอินก็เป็นมนุษย์เช่นกัน
คนกลุ่มนี้ตรงมาหาพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
ในไม่ช้าเขาก็คิดได้ว่าคนกลุ่มนี้อาจมีเป้าหมายมาที่เซี่ยเหยียน
ท้ายที่สุดที่นี่ก็มีเพียงเซี่ยเหยียนเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกตน
คนพวกนี้กำลังวางแผนเล่นงานสำนักไท่หัวหรือไม่?
ดังนั้นจึงคิดลักพาตัวเซี่ยเหยียนก่อน และใช้ชีวิตของเซี่ยเหยียนเพื่อข่มขู่สำนักไท่หัว?
เซี่ยเหยียนเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักไท่หัว หากนางถูกนำตัวไป มันจะเป็นการทำลายสำนักไท่หัวครั้งใหญ่
สตรีในชุดขาวและคนอื่น ๆ ที่มาที่นี่อาจสัมผัสได้ถึงแผนการของตัวประหลาดกลุ่มนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบมาหยุดมัน
ต้องอย่างนั้นแหละ!
หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ
“มาที่นี่เพื่อข้า?”
เซี่ยเหยียนรู้สึกสับสนเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าท่านเซียนหมายถึงอะไร
นางไม่รู้จักทั้งสองกลุ่มนี้…
หลิงอินที่อยู่อีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านเซียนพูด นางก็เข้าใจความหมายท่านเซียน
ท่านเซียนจะไม่รู้อะไรบ้าง?
ท่านเซียนรู้ทั้งอดีตและปัจจุบัน ดังนั้นเขาย่อมรู้ที่มาของทั้งสองกลุ่มนี้และเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่
เมื่อท่านเซียนพูดเรื่องนี้กับเซี่ยเหยียน เห็นได้ชัดว่าท่านเซียนไม่ต้องการแสดงตัว และต้องการให้เซี่ยเหยียนจัดการเรื่องทั้งหมดนี้
ทว่าเซี่ยเหยียนยังเด็กเกินไปและมีประสบการณ์น้อย…
“ข้าก็คิดว่าพวกเขามาเพราะเจ้า เจ้าลองไปถามพวกเขาดูว่าเกิดอันใดขึ้น…”
หลิงอินกล่าวกับเซี่ยเหยียน
นางเตือนเซี่ยเหยียนและตั้งใจเน้นคำว่า ‘มาเพราะเจ้า’ โดยหวังว่าเซี่ยเหยียนจะเข้าใจให้เร็วขึ้น
“อือ ข้าจะไปดู”
เซี่ยเหยียนพูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาพวกหยวนอี
หยวนอีและยอดฝีมือจากตระกูลหยวนรู้สึกประหม่าอย่างมาก พวกเขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับคนผู้นั้นอย่างไร และไม่รู้ว่าจะพูดกับคนผู้นั้นอย่างไร หากแต่คนผู้นั้นกลับเป็นฝ่ายมาหาพวกเขาเอง
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาพลันประหม่ายิ่งขึ้น!
“ผู้อาวุโส!”
ครั้นเผชิญหน้ากับใครบางคนที่เป็นจักรพรรดิ หรืออาจจะเป็นมหาจักรพรรดิ หยวนอีจึงรู้สึกกดดันอย่างมากในใจ
ร่างกายของนางสั่นเทาและฝ่ามือของนางก็เหงื่อออก
“ผู้อาวุโส?”
เซี่ยเหยียนมีสีหน้าแปลก ๆ นางคิดกับตัวเองว่านางเคยถูกเรียกว่าผู้อาวุโสหรือไม่!
ยามนี้เอง ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมท่านเซียนถึงไม่ต้องการถูกเรียกว่าผู้อาวุโส
เรียกว่าผู้อาวุโสเช่นนี้ดูแก่เกินไป!
ผู้ใดชอบใจสิ่งนี้กัน!?
ใคร ๆ ก็อยากดูเยาว์วัยทั้งนั้น…
‘ท่านเซียนยังเอ็นดูข้า!’
นางพูดด้วยอารมณ์ที่เปี่ยมล้น
ท่านเซียนไม่ต้องการถูกเรียกว่าเป็นผู้อาวุโส และไม่มีใครที่อยู่รอบ ๆ ท่านเซียนกล้าเรียกเขาว่าผู้อาวุโส แต่นางเป็นคนเดียวที่เรียกเขาว่าผู้อาวุโส
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยว่าท่านเซียนมีความรักเป็นพิเศษต่อนาง!
‘แต่ข้าโง่มาก ข้าไม่เคยนึกถึงมันเลย ทั้งยังเอาแต่เรียกท่านเซียนว่าผู้อาวุโส… ท่านเซียนไม่ต้องการและไม่ได้ทำให้ข้าอับอาย แต่เลือกที่จะอดทนกับข้า! ข้ามันตัวโง่งม โง่ยิ่งนัก!’ นางพูดในใจ ซึ่งยามนี้นางเข้าใจทุกอย่างแล้ว
และเด็กสาวก็ตัดสินใจที่จะไม่เรียกท่านเซียนว่าผู้อาวุโสอีกต่อไป แต่จะเรียกท่านเซียนว่าคุณชาย!
นางปล่อยให้ท่านเซียนอดทนกับนางตลอดเวลาไม่ได้!
“อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโส”
เซี่ยเหยียนกล่าวกับหยวนอี
อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโส!
หลังจากที่หยวนอีได้ยินคำพูดนี้ นางก็รู้สึกหวาดกลัวจนแทบจะทรุดลงกับพื้น
นางถึงกับล่วงเกินผู้อาวุโสทันทีที่เปิดปาก!
ใช่!
ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสผู้นี้ไม่สามารถหยั่งรู้ได้และขอบเขตของนางก็สูงมาก เห็นได้ชัดว่านางฝึกฝนมาไม่รู้ว่ากี่ปีแล้ว
แต่รูปลักษณ์ของผู้อาวุโสคนนี้ยังเด็กมาก อีกฝ่ายดูเด็กกว่านางซึ่งแสดงให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยว่า ผู้อาวุโสไม่ชอบความแก่ชรา!
นางเรียกผู้อาวุโสเช่นนี้ ผู้อาวุโสจะไม่โกรธได้อย่างไร!
ใครชอบแก่บ้าง
โดยเฉพาะกับผู้หญิง!
“โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!”
นางรีบกล่าวขอโทษผู้อาวุโส โดยไม่กล้าเอ่ยคำว่า ‘ผู้อาวุโส’ อีกเลย และเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ท่าน’
“ช่างเถอะ”
เซี่ยเหยียนถาม “เจ้าเป็นใคร? ตัวประหลาดกลุ่มนั้นคือใคร? และพวกมันมาทำไม?”