ตอนที่ 212 โน้มน้าวต่งเค่อเฉียง
ด้วยการจราจรไม่สะดวกและฝนที่ตกหนัก วันนั้นหลินม่ายจึงไม่สามารถกลับไปได้ เธออยู่ที่อวิ๋นเจิ้นต่ออีกหนึ่งคืนและกลับไปที่เมืองซื่อเหม่ยในวันรุ่งขึ้น
แม้จะมีรสบัสทางไกลจากอวิ๋นเจิ้นไปเมืองซื่อเหม่ย แต่ก็ไม่ได้จอดที่เมืองซื่อเหม่ย แต่จอดที่ทางเข้าหมู่บ้านหยางหลิวซึ่งอยู่ห่างจากเมืองซื่อเหม่ยห้าลี้
หลินม่ายลงจากรถ กางร่มเดินไปที่เมืองซื่อเหม่ย พร้อมกับกำลังคิดว่าจะทำอะไรเป็นอาหารกลางวัน
คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางแก่แล้ว คนแก่ไม่ได้ต้องการอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือการกินดื่มที่ดี
ตราบใดที่เธออยู่ในเมืองซื่อเหม่ย เธอจะทำอาหารอร่อยๆให้คู่พ่อเฒ่าแม่เฒ่านี้กินเอง
จากหมู่บ้านหยางหลิวถึงเมืองซื่อเหม่ย ต้องผ่านแม่น้ำสายเล็กๆที่เรียกว่าแม่น้ำอวี้ไต้
แม่น้ำสายนี้กว้างไม่มากนัก มันกว้างเพียงสิบกว่าเมตรในช่วงฤดูน้ำหลากในฤดูร้อน และกว้างเพียงหกเจ็ดเมตรในฤดูแล้ง
มีการสร้างสะพานไม้ธรรมดาข้ามแม่น้ำ เพื่อให้คนเดินข้ามสะดวก
หลินม่ายเดินไปตามสะพานข้ามแม่น้ำอวี้ไต้ทีละก้าว
ด้านหน้ามีคนสองสามคนที่เพิ่งลงจากสะพานอวี้ไต้
คนมีอายุสองคนพูดคุยกันขณะเร่งฝีเท้าด้วยความกลัว
หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “สองวันที่ผ่านมาฝนตกน่ากลัวเกินไป จู่ๆแม่น้ำอวี้ไต้ก็ขยายความกว้างเป็นยี่สิบเมตร ดูน่ากลัวจริงๆ”
อีกคนพูดด้วยแรงอารมณ์ “ใช่ ฉันอยู่มามากกว่าห้าสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นแม่น้ำอวี้ไต้กว้างขนาดนี้”
ในใจของหลินม่ายเต้นรัวเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เธอจำได้ว่าในปีที่ผ่านมามีฝนตกหนัก และน้ำจากอ่างเก็บน้ำก็ไหลลงสู่แม่น้ำอวี้ไต้ ทำให้น้ำในแม่น้ำอวี้ไต้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขื่อนก็แตก ทำให้หมู่บ้านหยางหลิวและหมู่บ้านอวี้ไต้ซึ่งตั้งอยู่จุดต่ำสุดริมแม่น้ำอวี้ไต้น้ำท่วม
เนื่องจากเกิดอันตรายในตอนกลางคืน ชาวบ้านจึงไม่มีเวลาถอยหนี
หมู่บ้านหลายสิบครัวเรือนถูกน้ำท่วมฉับพลัน รวมทั้งคนชราและเด็กบางคนหายสาบสูญ
แม้แต่ต่งเค่อเฉียงเลขาธิการพรรคของหมู่บ้านอวี้ไต้ในสมัยนั้นก็เสียชีวิตขณะช่วยเหลือชาวบ้านที่น้ำท่วม
แม่น้ำอวี้ไต้อยู่ห่างจากหมู่บ้านอู๋เจียเพียงเล็กน้อย แม้หลินม่ายจะได้ยินเรื่องนี้ในชาติที่แล้ว แต่เธอก็ไม่ได้เห็นด้วยตา ดังนั้นเธอจึงไม่ได้จำฝังใจ
ตอนนี้ถ้าเธอไม่ได้ยินชาวบ้านพูดถึงเรื่องนี้และเห็นแม่น้ำอวี้ไต้ที่ปกติจะไหลเอื่อยกลับไหลเชี่ยวกรากเหมือนม้านับพันห้อทะยาน มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับหลินม่ายที่จะนึกถึงเหตุการณ์นี้
แม้ระดับน้ำจะยังคงห่างจากขอบสะพานอยู่บ้าง แต่เมื่อผู้คนเดินบนสะพาน ผืนน้ำอันงดงามด้านล่างของสะพานก็ยังทำให้ผู้คนตื่นตระหนก เพราะกลัวจะตกลงไปในแม่น้ำแล้วไม่มีวันได้กลับเข้าฝั่ง
หลินม่ายข้ามสะพานอวี้ไต้อย่างระมัดระวังในขณะที่จับราวสะพานและไปถึงอีกด้านหนึ่ง
แต่เธอไม่ได้จากไป ยังจ้องมองไปที่แม่น้ำอวี้ไต้อันเชี่ยวกรากมีม้วนคลื่นซัดเป็นเกลียวใหญ่
เธอนึกในใจว่าถ้าเสริมความแข็งแกร่งให้เขื่อนตอนนี้ ก็น่าจะหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมในชีวิตที่แล้วได้
จากนั้นต้องไปหาเลขาธิการพรรคของหมู่บ้านอวี้ไต้และหมู่บ้านหยางหลิวเพื่อขอให้พวกเขาระดมชาวบ้านเพื่อต่อสู้กับน้ำท่วม
หลินม่ายสอบถามและมาที่สำนักงานหมู่บ้านในหมู่บ้านอวี้ไต้
เจ้าหน้าที่หมู่บ้านอวี้ไต้หลายคนกำลังนั่งอยู่สูบบุหรี่อยู่ในสำนักงานของพวกเขา ปรึกษากันว่าฝนจะตกอีกนานแค่ไหน
หากเป็นอย่างที่พยากรณ์จริงๆ ในอีกสิบวันข้างหน้าเกรงว่าพืชผลจะไม่เหลือ
แม้ตอนนี้จะมีการทำสัญญากับครัวเรือนแล้ว แต่เมื่อน้ำท่วมพืชผล เจ้าหน้าที่หมู่บ้านก็คงไม่รู้เรื่องอะไร
อย่างไรก็ตามในปีแรกของการปฏิรูปที่ดินผลผลิตกลับล้มเหลว ทั้งหมู่บ้านต้องการเงินช่วยเหลือ แต่เจ้าหน้าที่หมู่บ้านเหล่านั้นกลับไร้ยางอาย
เจ้าหน้าที่หมู่บ้านคนหนึ่งยังกล่าวถึงครัวเรือนที่ค้ำประกันห้าคนในหมู่บ้าน
กล่าวว่าบ้านที่ครอบครัวเหล่านั้นอาศัยอยู่มีสภาพทรุดโทรม
หากฝนตกต่อเนื่อง บ้านของพวกเขาอาจได้รับอันตราย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องย้ายที่อยู่ใหม่ล่วงหน้า
หลินม่ายกำลังเคาะประตูสำนักงานหมู่บ้าน
ผู้ชายทุกคนในสำนักงานหันมามองเธอเป็นตาเดียว
วันนี้หลินม่ายไม่เพียงสวมชุดนำสมัยที่ฟางจั๋วหรานซื้อให้เธอในกว่างโจวเท่านั้น แต่บุคลิกของเธอก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน
ไม่มีความเป็นสาวชนบทในหมู่บ้านอีกต่อไป ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายของหญิงสาวจากมหานครใหญ่
ต่งเค่อเฉียงเข้าใจเธอผิดทันที โดยคิดว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ส่งมาตรวจงาน
เนื่องจากที่ดินถูกทำสัญญาเป็นครัวเรือน ผู้บังคับบัญชาจึงมักส่งคนไปตรวจสอบการทำงานในระดับรากหญ้า
เพราะเกรงว่าการทำนาแบบเหมาครัวเรือนจะไม่ส่งผลดีต่อการดำรงชีวิตของเกษตรกร
วัตถุประสงค์หลักของการทำสัญญาที่ดินในครัวเรือนของประเทศคือเพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของเกษตรกรและทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น
ต่งเค่อเฉียงสะดุ้งโหยงขึ้นจากเก้าอี้ทันทีและเอ่ยทักทายอย่างอบอุ่น “ยินดีต้อนรับสำหรับการมาตรวจงานนะครับ ผมควรเรียกคุณว่าอย่างไรดี ฮิๆ!”
หลินม่ายรู้สึกอายเล็กน้อย “ฉันไม่ได้ถูกหัวหน้าส่งมาตรวจสอบงานหรอกค่ะ ฉันแค่ผ่านมา”
ต่งเค่อเฉียงเสียหน้าไปโดยเปล่าประโยชน์ เขากลับไม่โกรธและถามอย่างใจดี “แล้วคุณมาหาพวกเรามีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
หลินม่ายพูดตรงไปตรงมา “ฉันมาจากหมู่บ้านหยางหลิวฝั่งตรงข้าม เพิ่งผ่านแม่น้ำอวี้ไต้แล้วก็พบว่าน้ำขึ้นเร็วเกินไป เลยอยากจะเตือนคุณให้เสริมเขื่อนให้แข็งแรงไว้น่ะค่ะ”
เจ้าหน้าที่หมู่บ้านหลายคนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
พวกเขาที่นี่จากรุ่นสู่รุ่นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการเสริมความแข็งแกร่งให้กับเขื่อนของแม่น้ำอวี้ไต้เลย
นี่คือคนที่ลูกสาวบ้านไหนทำงานในเมืองกลับมากระมัง ไม่รู้สถานการณ์ก็ตื่นตูมไปก่อนแล้ว
แต่เพื่อรักษาน้ำใจของเธอ ต่งเค่อเฉียงขอบคุณเธออย่างสุภาพ จากนั้นโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอกมั้งครับ เราได้ตรวจสอบแม่น้ำอวี้ไต้แล้ว แถมระดับน้ำยังอยู่ต่ำกว่าตลิ่งประมาณหนึ่งเมตร!”
หลินม่ายเตือนอย่างจริงจัง “ฉันกลัวว่าอ่างเก็บน้ำจะเปิดประตูเพื่อปล่อยน้ำและทำให้เกิดน้ำท่วมสูง พอน้ำท่วมตลิ่งก็ทำให้คันกั้นน้ำแตก ถึงตอนนั้นจะเป็นอันตรายนะคะ”
ต่งเค่อเฉียงยังคงนิ่งเงียบ
แม้ว่าความเป็นไปได้นี้จะน้อยมาก แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นหายนะสำหรับหมู่บ้านอวี้ไต้
หลินม่ายกล่าวต่อ “หลังจากฝนตกหนักนี้คาดว่านาจะเก็บเกี่ยวพืชผลทั้งหมดได้ หลังเก็บเกี่ยวพืชผลแล้วก็แค่รอปลูกในฤดูต่อไป แต่ถ้าเขื่อนแตก ชีวิตและทรัพย์สินของทั้งหมู่บ้านจะถูกคุกคามอย่างมาก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จะเป็นการดีกว่านะคะหากเตรียมตัวเสริมความแข็งแกร่งของเขื่อนตั้งแต่เนิ่นๆ”
ต่งเค่อเฉียงลังเลเล็กน้อย
หมู่บ้านอวี้ไต้ที่เขาอาศัยอยู่เป็นหมู่บ้านที่ต่ำที่สุดริมแม่น้ำอวี้ไต้ หากแม่น้ำอวี้ไต้ท่วมจริงๆ หมู่บ้านอวี้ไต้จะเป็นหมู่บ้านแรกที่เดือดร้อน
แต่ปัญหาก็คือ ที่ดินของหมู่บ้านไม่ใช่กรรมสิทธิ์รวมอีกต่อไป
หากยังเป็นของส่วนรวม เขาเพียงส่งคำร้อง และชาวบ้านทุกคนที่มีส่วนร่วมในการเสริมแนวกั้นแม่น้ำจะถูกนับเป็นแต้มงาน และชาวบ้านจะตอบสนองในเชิงบวกอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ไม่มีแต้มทำงานสำหรับชาวบ้าน และการขอให้พวกเขาเสริมเขื่อนกั้นแม่น้ำคือการปล่อยให้พวกเขาทำงานเปล่าๆ ใครจะรู้ว่าชาวบ้านเต็มใจหรือไม่?
ท้ายที่สุดอำนาจของคณะกรรมการหมู่บ้านก็น้อยลงมากและกลัวว่าชาวบ้านจะไม่เชื่อถือและรู้สึกว่ากรรมการหมู่บ้านกำลังก้าวก่ายพวกเขา
ต่งเค่อเฉียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “งั้นให้จัดเจ้าหน้าที่ประจำหมู่บ้านออกลาดตระเวน และเรียกชาวบ้านมาเสริมเขื่อนหากมีปัญหาใดๆ”
ไม่เคยมีสถานการณ์อันตรายในแม่น้ำอวี้ไต้มาก่อน และตอนนี้มันก็ยังไม่เกิดขึ้น
หากขอให้ชาวบ้านไปเสริมคันดิน คาดว่าจะมีชาวบ้านเพียงไม่กี่คนที่จะตอบรับ
หลินม่ายเตือนว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องระมัดระวังในการลาดตระเวนนะคะ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทั้งหมู่บ้าน”
ต่งเค่อเฉียงรู้สึกว่าท่าทางจริงจังของหญิงสาวตัวน้อยนั้นน่ารักเกินไป ดังนั้นเขาจึงยิ้มตอบตกลง
หลินม่ายแนะนำให้เขาติดต่อกับเลขาธิการพรรคของหมู่บ้านหยางหลิวฝั่งตรงข้าม และขอให้พวกเขาลาดตระเวนแม่น้ำอวี้ไต้ด้วย
เธอคงไม่ไปแนะนำกับเลขาธิการพรรคของหมู่บ้านหยางหลิวแล้ว
เธอไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับเลขาธิการพรรคคนก่อนของหมู่บ้านหยางหลิว และเธอไม่รู้ว่าเขาจะมีมโนธรรมเหมือนต่งเค่อเฉียงหรือไม่
ไม่เช่นนั้นถ้าเธอไปแนะนำ เขาจะหาว่าเธอคิดเองเออเองฝ่ายเดียวหรือเปล่า?
จะดีกว่าถ้าต่งเค่อเฉียงเป็นคนไปสื่อสาร ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกันและเลขาธิการพรรคหมู่บ้านของหมู่บ้านหยางหลิวควรไว้หน้าเขาบ้าง
ต่งเค่อเฉียงก็ตกลงอย่างง่ายดายเช่นกัน
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มีชีวิตผ่านมาชาตินึงมันดีอย่างนี้นี่เอง บางเรื่องที่ควรจะป้องกันไม่ให้สูญเสียก็ป้องกันไว้ได้
ไหหม่า(海馬)