ซูเหยียนโม่เข้าใจดีกว่าใครว่าสาเหตุที่ทำให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้รับการปกป้องมากถึงเพียงนี้ ทั้งหมดนั้นล้วนมาจากข่าวลือที่ว่านางเป็นร่างกลับชาติมาเกิดของพระชายา
แม้ว่าคนที่กุมอำนาจของจักรวรรดิจ้านหลงเอาไว้จะเป็นราชวงศ์ แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่พวกเขาจำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสี่ตระกูลใหญ่ให้ดีเสียก่อน
นี่เป็นสิ่งที่ดำเนินมาตั้งแต่ก่อตั้งจักรวรรดิจ้านหลง มิมีผู้ใดสามารถล้มล้างได้
แต่หลังจากที่พระมหาเทวะทำนายว่าพระชายาจะลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป
บรรดาผู้อาวุโสจากสี่ตระกูลใหญ่ต้องการที่จะใช้พระชายาเพื่อปกครองราชสำนัก ดังนั้นพวกเขาจึงสั่งให้พระมหาเทวะรูปนั้นทำนายต่อว่าพระชายาจะปรากฏตัวขึ้นที่ไหน
พระมหาเทวะปฏิเสธ การเปิดเผยความลับสวรรค์เช่นนี้รังแต่จะนำหายนะมาให้
ย่อมไม่มีใครอยากตาย
หากบรรดาผู้อาวุโสไม่เอาชีวิตของพระสงฆ์ทั้งหมดมาเป็นตัวประกัน พระมหาเทวะรูปนั้นก็คงไม่ยอมทำนายต่อ
และแล้วหลังจากใช้เวลาไปถึงสามวันสามคืน ในที่สุดพระมหาเทวะรูปนั้นก็สามารถคำนวณหาสถานที่เกิดของพระชายาได้ แต่กลับกลายเป็นว่า ณ คฤหาสน์แห่งนั้น มีเด็กอยู่ถึงสองคน
พระมหาเทวะเองก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าเป็นเด็กคนไหนกันแน่ ซูเหยียนโม่จึงผลักบุตรสาวของตนออกไป และขังนังเด็กเหลือขอคนนั้นเอาไว้ในห้องเก็บของ ไม่ยอมปล่อยให้นางได้ออกมาข้างนอกอีก
เพียงเพื่อคำพยากรณ์นี้ อายุของพระมหาเทวะก็เพิ่มขึ้นอีกสิบปีในพริบตา และเขาไม่ปรารถนาที่จะข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอีกต่อไป
แต่ซูเหยียนโม่ก็ยังไม่อาจวางใจได้ คนเดียวที่รู้ว่าจริงๆ แล้วในเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นมีเพียงแค่พระมหาเทวะรูปนี้รูปเดียว มีแต่ต้องกำจัดเขาให้สิ้นซากเท่านั้น บุตรสาวของนางถึงจะได้เป็นพระชายาเพียงคนเดียวบนแผ่นดินนี้!
ดังนั้นนางจึงส่งนักฆ่าออกไปถึงสามครั้งติดกัน จนสุดท้ายพระมหาเทวะรูปนั้นก็ถูกบังคับให้ต้องกระโดดลงจากหน้าผา
ป่านนี้ภิกษุผู้แก่ชรารูปนั้นคงจะกลายเป็นกองกระดูกไปเรียบร้อยแล้ว
ในเมื่อตอนนี้เด็กทั้งสองก็เติบโตขึ้นทุกวัน ในไม่ช้าก็จะถึงเวลาตัดสินว่าใครกันแน่ที่เป็นพระชายาตัวจริง
แน่นอนว่า ซูเหยียนโม่ย่อมคิดว่ามีเพียงบุตรสาวของนางเท่านั้นที่เป็นพระชายากลับชาติมาเกิด
แต่กระนั้นนางก็ไม่สามารถยับยั้งสถานการณ์อื่นที่ยังมาไม่ถึงได้…
เนื่องจากเหตุการณ์ใส่ร้ายป้ายสีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ อดีตฮ่องเต้จึงดูอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นแม้แต่ธรรมเนียมที่ได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมาจากปีก่อนๆ ยังพลอยถูกยกเลิกไปด้วย
ทุกคนกลับไปที่ห้องของตนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพักผ่อน
แต่ยังมีใครบางคนที่ยังไม่ลืมงานหลักของตน
เวลานี้เจ้าอาวาสฟางจ้างนั่งสมาธิอยู่ภายในห้องของตน พร้อมกับนับลูกประคำในมือไปด้วย ความกดอากาศที่ค่อนข้างต่ำนั้น ทำให้สามเณรที่ยืนอยู่นอกห้องไม่กล้าก้าวขาเข้าไปแม้แต่น้อย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ภายใต้ใบหน้าเย็นชาร้ายกาจ และท่าทางเฉยเมยของเขามีบรรยากาศชั่วร้ายแฝงอยู่
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในวัดอันศักดิ์สิทธิ์ แต่บรรยากาศชั่วร้ายนั้นกลับยากที่จะสะกดเอาไว้ได้เป็นอย่างยิ่ง ตรงกันข้ามเพราะสภาพแวดล้อมเช่นนี้กลับยิ่งทำให้เขาดูหล่อเหลาไร้มลทินราวกับภูตผีปีศาจ
เจ้าอาวาสฟางจ้างโคลงศีรษะ พลางมองตาทั้งสองข้างของชายหนุ่ม
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อย ความเฉยเมยอันสง่างามฉายออกมาจากสายตาของเขา
“ข้ารู้ว่าทุกครั้งที่เจ้ามาที่นี่ เจ้าแทบจะไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แต่…” นิ้วไร้ซึ่งการแต่งแต้มของเจ้าอาวาสฟางจ้างชี้ออกไปนอกหน้าต่าง ”มีคนเป็นห่วงเจ้าอยู่ เบื้องหน้าอาจดูเหมือนชายชราผู้นั้นมาที่นี่ทุกปีเพื่อไหว้พระขอพร แต่ความจริงแล้วคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดก็ยังเป็นเจ้า”
“เจ้าต้องการให้ข้าพูดอะไรหรือ” น้ำเสียงไร้ซึ่งความกระตือรือร้นเป็นเสียงเดียวที่ดังก้องอยู่ภายในห้องที่ทั้งสองนั่งอยู่ มันแฝงไปด้วยความเย็นชา นิ้วเรียวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคาะที่วางแขนของเก้าอี้ไม้ เขาเอนกายไปด้านหลัง ขายาวข้างหนึ่งยกขึ้นนั่งไขว่ห้าง พร้อมกับมองตรงไปยังเจ้าอาวาสฟางจ้าง มุมปากที่ยกขึ้นของเขาทำให้คนที่เห็นนึกคำบริภาษขึ้นมาในหัวได้เป็นขบวน ยกตัวอย่างเช่นคำว่า ยโสโอหัง เย็นชาเฉยเมย…
เจ้าอาวาสฟางจ้างหลับตาลง แล้วถอนหายใจออกมา พร้อมกับใช้นิ้วนวดขมับของตัวเอง
เขากล้าเดิมพันเลยว่าการชำระล้างจิตใจทั้งหมดที่เขาทำเพื่อบูชาพระพุทธองค์ รวมถึงการนั่งสมาธิ และสวดมนต์ที่ได้ทำมาตลอดทั้งหมดนั้นล้วนแต่เสียเปล่า เพราะคนที่เขาอยากจะเยียวยาไม่มีความตั้งใจที่จะฟังในสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่นิดเดียว
หลายปีที่ผ่านมา อดีตฮ่องเต้ก็ยังทำเช่นนี้เหมือนเดิมทุกปี แล้วบอกให้เขาช่วยอบรมสั่งสอนองค์ชายสามให้
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นเป็นเหมือนกับบ่อน้ำนิ่ง เป็นบ่อน้ำอันลึกล้ำสงบนิ่งสุดแสนงดงาม
เมื่อใดที่เขาเผยรอยยิ้มอันไม่ใช่รอยยิ้มออกมา เมื่อนั้นจะเป็นช่วงที่เขาก้าวร้าวที่สุด
เมื่อใดที่เขาลืมตาขึ้น ก็ดูราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุเข้าไปถึงความคิดที่อยู่ข้างในตัวของอีกฝ่ายได้ในพริบตา การต้องสนทนากับคนเช่นนี้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยอย่างแท้จริง!
“อย่างเช่น ช่วงนี้อารมณ์เจ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง” เจ้าอาวาสฟางจ้างไม่มีทางเลือกอื่นแม้แต่น้อย ”เจ้าคงเข้าใจดีอยู่แล้วว่าเจ้าก็เหมือนกับอาวุธที่พร้อมจะระเบิด และสังหารผู้คนได้ทุกเมื่อ ช่วงนี้เจ้าน่าจะได้พลังปราณกลับมาแล้วมิใช่หรือ อย่าบอกนะว่าไม่มีสิ่งใดที่เจ้าอยากทำเลยสักอย่าง”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มออกมาเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นดูเหมือนดอกปี่อั้นที่เบ่งบานอยู่บนเส้นทางสู่นรก และยังเหมือนกับไฟป่าอันไม่อาจยับยั้งได้ ”นับเรื่องการฆ่าคนด้วยหรือเปล่า”
เจ้าอาวาสฟางจ้างแทบจะสำลักน้ำชาที่ตัวเองดื่มไปออกมา
เขาจะต้องเขียนเรื่องนี้ลงไป!
เพราะมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวว่าเจ้าเด็กตัวเหม็นนี่กำลังพูดความจริงอยู่!
สิ่งที่อดีตฮ่องเต้กลัวที่สุดคือกลัวว่าเขาจะหาเรื่องสนุกอย่างอื่นในชีวิตไม่ได้ นอกจากการเข่นฆ่าผู้คน
โอ้ๆๆ เช่นนี้หมายความว่าเขาก็มีโอกาสที่จะได้ตัดสินแพ้ชนะกับอีกฝ่ายแล้วมิใช่หรือ!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอนหลังพิงพนัก น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบราวกับสายน้ำอันนิ่งสงบ ”เจ้าดูตื่นเต้นมากทีเดียว”
“แค่กๆ นอกจากฆ่าคนแล้ว มีอย่างอื่นที่เจ้าอยากทำอีกหรือเปล่า” เจ้าอาวาสฟางจ้างดึงประเด็นกลับมาที่คำถามหลักที่ต้องการถามได้เสียที ”เช่น ตอนนี้เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้วมิใช่หรือ เจ้าไม่คิดที่จะหาคู่ครองหน้าตางดงามสักคนหรือ ข้าได้ยินเสด็จปู่ของเจ้าบอกว่าเจ้าเลือกบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนคนนั้น อืม วันนี้นางดูเป็นคนหัวไวและเฉลียวฉลาดยิ่งนัก แต่มิใช่ว่าปกติแล้วเจ้าชอบอะไรที่ขาวๆ สะอาดๆ เหมือนกระต่ายที่ง่ายต่อการกลั่นแกล้งหรอกหรือ ทำไมรสนิยมของเจ้าถึงเปลี่ยนไปได้ล่ะ”
ความจริงแล้วเจ้าอาวาสฟางจ้างอยากถามเช่นนี้ต่างหาก ว่าเจ้าคิดที่จะหลอกใช้นางหรือ
แต่บนริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับค่อยๆ มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น หนังศีรษะของเจ้าอาวาสฟางจ้างชาวาบเมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา
จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะราบเรียบว่า ”เหยื่อชั้นดี จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยว”
เหยื่อหรือ
เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าอาวาสฟางจ้าง แต่มันก็นับว่าเป็นคำตอบที่ดี! นับว่าเป็นคำตอบที่ดีจริงๆ! สมัยก่อนตอนที่พวกเขานั่งอยู่ในห้องนี้ด้วยกัน ถ้าเขาไม่หาอะไรทำให้อีกฝ่ายเงียบ เจ้าตัวก็จะพ่นถ้อยคำอาบยาพิษออกมาไม่หยุด!
การที่อีกฝ่ายยอมตอบคำถามของเขาเหมือนคนปกติอย่างที่เขากำลังทำอยู่ในวันนี้จึงนับว่าเป็นเรื่องยากมาก!
เจ้าอาวาสฟางจ้างเขียนข้อความลงในกระดาษอย่างรวดเร็ว แทบจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความซาบซึ้ง!
ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่คิดอยู่ในหัวมาสักเล็กน้อย!
“วันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้าคุยกับเจ้าต่อได้” ปลายนิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจรดลงบนปลายคางของตน ตั้งแต่หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหอง
เจ้าอาวาสฟางจ้างตกใจ เขาเบิกตาโตขึ้นในทันที แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน!
เดี๋ยวก่อน… คำพูดที่ออกมาจากปากขององค์ชายสามควรจะตีความเป็นตรงกันข้ามต่างหาก!
รอยยิ้มปรากฏอยู่บนมุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ก่อนจะเอ่ยปากพูด หากเขาต้องการ เขาก็แทบจะสามารถทำให้คนฟังรู้สึกราวกับกำลังถูกสายลมฤดูใบไม้ผลิโอบล้อมอยู่ได้เลยทีเดียว ”ถ้าข้าบอกเจ้าว่าข้าอยากได้คนคนหนึ่งมาตลอด แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้นางก็ยังอยู่ไกลเกินเอื้อม ฟางจ้างจะให้คำแนะนำกับข้าอย่างไรหรือ”
“บนโลกนี้มีคนที่เจ้าเอามาเป็นของตัวเองไม่ได้ด้วยหรือ”
เจ้าอาวาสฟางจ้างตกใจมาก คนคนนั้นต้องแข็งแกร่งถึงเพียงใด ต้องทรงอำนาจถึงขนาดไหน ถึงได้ปฏิเสธใบหน้าที่สามารถกลืนกินทั้งหญิงชายแบบนี้ได้ลงคอ!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูหงุดหงิดเล็กน้อย แต่คำพูดที่เขาพูดออกมากลับไม่ได้มีอารมณ์ใดๆ แฝงอยู่แม้แต่นิดเดียว ”เพราะอย่างนั้นข้าก็เลยคิดว่า ข้าควรจะถอดเขี้ยวเล็บของนางออก แล้วลักพาตัวนางมาเลยน่าจะดีกว่า”
เจ้าอาวาสฟางจ้าง ”…”