ลู่เจียวเม้มปากกลั้นยิ้ม นี่พูดจาอันใดกันนี่ นางกับเขาตอนนี้อยู่ในช่วงตามจีบ ผู้ชายย่อมต้องดีกับนางหากต่อไปยังดีกับนางเช่นนี้ก็จึงจะเรียกว่าดีอย่างแท้จริง
ลู่เจียวยิ้มผลักหลี่อวี้เหยาทีหนึ่ง “พี่อวี้เหยา พี่รังเกียจพี่เขยว่าไม่ดี กลับไปอบรมหน่อยก็ได้นี่นะ”
หลี่อวี้เหยาไม่ทันได้กล่าวอันใด เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ข้างกายพวกนาง ก็กระโดดไปหาเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ ท่านมารอพวกเราหรือ”
“ท่านพ่อกินอิ่มแล้วหรือยัง”
“หากยังกินไม่อิ่ม กลับไปให้ฮวาเสิ่นทำบะหมี่ให้ท่านพ่อกิน”
“แต่ลูกชิ้นบ้านท่านอาหันวันนี้อร่อยมาก”
ลู่เจียวมองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรดี มาถามท่านพ่อเสียงดังว่ากินอิ่มแล้วหรือยัง ตอนอยู่หน้าบ้านคนอื่นเขาอย่างนี้ นี่กลัวท่านอาหันปล่อยท่านพ่อเจ้าหิวหรืออย่างไร
เซี่ยอวิ๋นจิ่นดึงมือสองหนูน้อยมากุมไว้พร้อมกับหันไปมอง
หลี่อวี้เหยายกมือผลักลู่เจียวทีหนึ่ง “รีบไปได้แล้ว ท่านพี่เจ้ารอไม่ไหวแล้ว”
ทั้งสองคนพูดจากอำลากันเรียบร้อย ลู่เจียวก็ก้าวตามเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปทางรถม้าที่จอดอยู่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นถามลู่เจียวอย่างห่วงใย “วันนี้ทางฝั่งแขกผู้หญิงไม่มีผู้ใดทำให้เจ้าลำบากใจใช่ไหม”
ลู่เจียวเงียบไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า แม้ว่าจางปี้เยียนคิดมาดึงนางไปเป็นพวก แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางลำบากใจอันใด
ทว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นนางเงียบลงครู่หนึ่งก็รู้ว่าต้องมีเรื่องเป็นแน่ จึงถามขึ้นอย่างห่วงใย
“เกิดอะไรขึ้น”
ยามนี้ทั้งครอบครัวเดินถึงข้างรถม้าแล้ว ผู้ใหญ่สองคนอุ้มเด็กสี่คนขึ้นรถม้า จากนั้นก็เซี่ยอวิ๋นจิ่นประคองลู่เจียวขึ้นรถม้า ส่วนตนเองขึ้นรถม้าเป็นคนสุดท้าย
รอจนทุกคนขึ้นรถม้าแล้ว รถม้าตระกูลเซี่ยจึงได้ออกเดินทางออกจากตระกูลหัน
ลู่เจียวบอกเซี่ยอวิ๋นจิ่นเรื่องจางปี้เยียนคิดจะดึงนางไปเป็นพวก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าเย็นเยียบลงอย่างไม่รู้ทันรู้ตัว แต่ก็ปรับสีหน้าเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขาหันไปมองลู่เจียวเล่าว่า “วันนี้หลี่เหวินปินก็เชิญข้าไปกินข้าว ดูท่าตระกูลจางมีความคิดดึงพวกเราไปเป็นพวกจริงๆ แล้ว”
ลู่เจียวพยักหน้าเห็นด้วย พอคิดถึงเรื่องที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นถูกรถม้าชนก่อนหน้านี้ นางก็รีบกล่าวว่า “เจ้าต้องระวังตัวหน่อย”
นางไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะเจ้าหนูน้อยทั้งสี่อยู่บนรถม้าด้วย พูดมากไปเด็กๆ จะเป็นห่วงได้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “พรุ่งนี้ข้าว่าจะไปอ่านตำราที่สำนักศึกษา”
ลู่เจียวคิดถึงบาดแผลเซี่ยอวิ๋นจิ่น นางใช้น้ำพุจิตวิญญาณทำความสะอาดบาดแผลให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ดังนั้นบาดแผลเขาจึงประสานกันเร็วและดีขึ้นมาก แต่เพราะบาดแผลอยู่ทางด้านหลัง เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองไม่เห็น ดังนั้นก็ไม่รู้สภาพแท้จริง ในความเป็นจริงบาดแผลเขาไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว
“ได้ ขาเจ้าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว บาดแผลก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว เจ้าไปอ่านตำราที่สำนักศึกษาประจำอำเภอได้แล้ว การสอบเซียงซื่อปีหน้าใกล้มาถึงแล้ว เจ้าก็พยายามหน่อยนะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้าหนักแน่น จากนั้นก็คิดได้ว่าตนเองไปอ่านตำราที่สำนักศึกษาอำเภอชิงเหอก็ต้องไปจากบ้าน ระยะนี้เขาอยู่บ้านกับลู่เจียวและเจ้าหนูน้อยทั้งสี่มาตลอด ได้เจอหน้ากันทุกเวลาทุกนาที วันหน้าไปอ่านตำราที่สำนักศึกษาก็คงไม่ได้สะดวกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดขึ้นมาแล้วก็เหมือนทำใจไม่ได้
เขาหันหน้าไปมองลู่เจียวอย่างไม่อาจตัดใจ “ข้าไปอ่านตำราที่สำนักศึกษาประจำอำเภอ เจียวเจียวจะคิดถึงข้าไหม”
ลู่เจียวมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ เซี่ยสามขวบย่อมเป็นเซี่ยสามขวบ
เขายังเป็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่เคยหล่อเหลาเย็นชาสูงส่งคนเดิมไหม ตอนนี้เขาก็คือเด็กน้อยสามขวบกระมัง
นี่ยังไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลย ก็มาถามนางแล้วว่าคิดถึงเขาไหม
“เซี่ยอวิ๋นจิ่น ข้าเปลี่ยนชื่อให้เจ้าก็แล้วกัน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองลู่เจียวอย่างวาดหวังทันที
ลู่เจียวยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “วันหน้าพวกเราไม่เรียกเจ้าว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่น แต่จะเรียกเจ้าว่า เซี่ยสามขวบ”
ในรถม้า วาจานี้เหมือนกระทบกระเทือนจิตใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่น้อย เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ในรถม้าจับคำพูดลู่เจียวได้อย่างรวดเร็ว ต้าเป่าถามขึ้นทันทีว่า “ท่านแม่ ท่านแม่ว่าท่านพ่ออายุแค่สามขวบหรือ”
“ใช่ ตอนนี้ท่านพ่อเจ้าไร้เดียงสามาก วันหน้าพวกเราเรียกท่านพ่อว่า เซี่ยสามขวบ”
เอ้อร์เป่าปากไวเอ่ยรับเสียงดัง “เช่นนั้นไม่ใช่ว่าท่านแม่เลี้ยงดูบุตรชายห้าคน?”
ทุกคนในรถม้าต่างหันไปมองเอ้อร์เป่า เอ้อร์เป่ารู้ว่าตนเองพูดผิดไปแล้ว ก็รีบปิดปากตนเองเอาไว้ทันที
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ยข่มขู่น้ำเสียงเย็นเยียบ “เอ้อร์เป่า เจ้าอยากโดนดีใช่หรือไม่”
เอ้อร์เป่ารีบหลบเข้าข้างกายลู่เจียว “ท่านแม่ ช่วยด้วย”
ทั้งครอบครัวพูดคุยกันสนุกสนาน รถม้ากลับถึงบ้านตระกูลเซี่ยอย่างรวดเร็ว
วันรุ่งขึ้นเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ไปอ่านตำราที่สำนักศึกษาอำเภอชิงเหอ เดิมลู่เจียวคิดว่าเขาจะพักอยู่ที่นั่นหนึ่งสัปดาห์ กลับมาสัปดาห์ละครั้ง ปรากฏกลางวันไปสำนักศึกษาประจำอำเภออ่านตำรา ตกค่ำกลับมานอนบ้าน พร้อมคำกล่าวอ้างสวยหรูว่าเป็นห่วงภรรยาและลูกที่ยังเล็ก
ลู่เจียวส่งสายตาเย็นชาให้เขา
หลังเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปอ่านตำราที่สำนักศึกษาอำเภอชิงเหอ ลู่เจียวก็ว่าง นางคิดว่าจะพาคนไปเดินดูถนนเหอผิงและถนนจิ่นหลี่เพื่อหาซื้อร้านค้าสองร้านสักหน่อย โรงหีบน้ำมันเริ่มขายน้ำมันแล้ว นางซื้อร้านมาจะได้เปิดร้านเลย
คิดไม่ถึงว่าตอนนางจะออกจากบ้าน จ้าวหลิงเฟิงแห่งหอยาเป่าเหอก็ส่งคนมาบอกนางว่าได้ช่วยนางดูร้านค้าสองร้านบนถนนเหอผิงไว้ให้แล้ว ทำเลที่ตั้งและขนาดร้านค้ากำลังดี ประเด็นสำคัญก็คือด้านหลังยังมีห้องล้อมลานเล็กๆ ให้คนอยู่อาศัยได้
ลู่เจียวได้ฟังคนงานนำความมาแจ้งก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที สั่งให้คนงานพาพวกนางไปดูร้านค้า
คนงานรับคำพาลู่เจียวไปดูร้านค้าบนถนนเหอผิง
ผู้ดูแลร้านกำลังรอพวกนางอยู่ พอเห็นพวกนางมาก็มีท่าทีกระตือรือร้นต้อนรับอย่างดี
“ท่านนี้คือลู่เหนียงจื่อกระมัง เชิญนั่งๆ”
ลู่เจียวกล่าวขอบคุณ เดินดูรอบๆ ร้าน ทั้งสองร้านทะลุถึงกัน ดูแล้วกว้างขวางมาก
ลู่เจียววางแผนว่าหากซื้อมาแล้วก็จะแบ่งสองร้านนี้เป็นร้านขายน้ำมันหนึ่งร้าน และร้านขายเวชสำอางกับยาอีกหนึ่งร้าน
“ที่นี่ไม่เลว ไม่ทราบว่าคิดจะขายเท่าไร”
ลู่เจียวถามอย่างสนใจ ผู้ดูแลร้านเอ่ยทันที “เรียนลู่เหนียงจื่อ ร้านนี้ไม่ต้องการเงิน”
ลู่เจียวคิดว่าตนเองฟังผิด หันไปมองผู้จัดการกล่าวว่า “หมายความว่าอย่างไร”
ผู้จัดการยิ้มตาหยีตอบว่า “เจ้าของร้านพวกเราบอกว่า ร้านนี้มอบให้ลู่เหนียงจื่อ ไม่ต้องการเงิน”
ลู่เจียวขมวดคิ้วมองผู้จัดการทันที ไม่เข้าใจว่าเจ้าของร้านของผู้ดูแลร้านท่านนี้คือผู้ใด
“เจ้าของร้านท่านคือผู้ใดหรือ”
ลู่เจียวเพิ่งกล่าวจบ ก็มีเสียงม่านด้านหลังดังขึ้น มีคนก้าวเข้ามาฝีเท้าเบายิ่ง
นางหันไปมองพบว่าเป็นสาวใช้สองคนของจางปี้เยียน
ที่แท้ร้านนี้เป็นร้านค้าของตระกูลจาง จางปี้เยียนคิดมอบร้านค้านี้ให้นางยืมใช้เพื่อซื้อใจนาง
ในใจลู่เจียวรู้สึกผิดหวังมาก แต่สีหน้ายังคงเป็นปกติ “ที่แท้ร้านนี้เป็นร้านค้าของตระกูลจาง ตระกูลจางเปิดกิจการใหญ่มีชื่อเสียงในอำเภอชิงเหอ พวกเจ้าจะมาขายร้านค้าทิ้งได้อย่างไร จางเหนียงจื่อคิดมอบให้ข้าไม่คิดเงิน?”
จางปี้เยียนได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็ยิ้มกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ใช่แล้ว ความจริงข้าอยากส่งมอบของที่ดียิ่งกว่านี้อีกหน่อย แต่เกรงว่าลู่เหนียงจื่อไม่ยอมรับ หากลู่เหนียงจื่อยอมรับ ของอันใดก็ย่อมได้ทั้งนั้น”
ลู่เจียวขมวดคิ้ว สีหน้าค่อยๆ เริ่มเคร่งขรึม “จางเหนียงจื่อ ในเมื่อเจ้าพูดขนาดนี้แล้ว ข้าก็ไม่อ้อมค้อมกับเจ้าแล้ว ข้าไม่ต้องการของของตระกูลจางแม้แต่แดงเดียว ดังนั้นเจ้าอย่าได้มาเสียเวลาคิดหาทางอะไรอีกเลย”
“แม้ว่าพวกเรายากจน แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องรับสินบน ข้าไม่อยากมีจุดจบสุดท้ายเหมือนรองนายอำเภอ หยางกับเผิงจู่ปู้”