“แก้ความเข้าใจผิดเรื่องอะไรล่ะ แล้วแก้ยังไงด้วย”
คังยองโมไม่ใช่คนที่จะคุยกันรู้เรื่อง เขาเป็นคนประเภทที่จะเชื่อและคิดตามที่ตัวเองสบายใจ ดังนั้นจึงยากที่กรรมการผู้จัดการคิมจะเชื่อคำพูดที่บอกว่าอีอูยอนสามารถชักจูงฝ่ายนั้นได้ในเวลาสั้นๆ
“ก็แก้ได้ด้วยดีครับ”
อีอูยอนอธิบายอย่างรวบรัด
“อธิบายให้ละเอียด!”
พอได้ยินกรรมการผู้จัดการคิมขึ้นเสียงเพราะไม่สามารถเอาชนะความโกรธได้ อินซอบที่อยู่ในรถก็สะดุ้ง แต่เขาก็เงี่ยหูฟังบทสนทนาทั้งสองคนต่ออีกครั้ง เพราะเป็นเนื้อหาที่เขาอยากรู้
“ผมก็แค่ปล่อยเขาไปเฉยๆ เพราะเขาดูเหมือนจะเชื่อว่าผมไม่ได้เอาอิฐฟาดเขาเอง แต่สั่งให้พวกนั้นทำน่ะครับ”
“งั้นก็ไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดน่ะสิ”
“ยังไงก็ไม่มีหลักฐานว่าผมเป็นคนสั่งอยู่แล้วนี่ครับ อีกอย่างผมไม่เคยบอกสักหน่อยว่าแก้ความเข้าใจผิด ผมบอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้วต่างหาก”
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมพูดไม่ออก
แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีหลักฐาน เพราะอีกฝ่ายฟาดเอง ไม่ได้สั่งให้คนอื่นไปทำ
แล้วอินซอบก็ได้รู้ว่าความจริงใหม่ๆ ว่าคนของตัวเองไม่ใช่คนดี และเขาก็เหนื่อยใจเพราะรู้ว่าการตัดสินอย่างชอบธรรมในการต่อสู้กันระหว่างคนชั่วกับคนชั่วนั้นเป็นเรื่องยาก
“ก็ถือซะว่าเป็นแบบนั้นแล้วกัน แล้วเรื่องละครอวสานก่อนกำหนดนี่มันอะไรกันล่ะ ทำไมคนคนนั้นถึงต้องเอาเรื่องนั้นมาทำตัวบ้าคลั่งใส่นายด้วย”
คังยองโมคือนักแสดงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนในวงการนี้ แม้นิสัยจะไม่ดีอย่างไร แต่ก็ไม่น่ามาแสดงความชั่วช้าแบบนั้นถึงที่นี่ เพราะความรู้สึกว่าถูกด้อยค่า
“จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะครับ ก็ต้องเป็นเรื่องที่โดนให้จบก่อนกำหนด เพราะเรตติ้งไม่ดีอยู่แล้ว”
“…”
“ผมพูดผิดเหรอครับ ถ้าเรตติ้งเกินสองแสน ต่อให้ตาประธานสถานีโทรทัศน์สั่ง ก็ไม่สามารถอวสานตั้งแต่ต้นได้อยู่แล้ว”
หากเปลี่ยนคำพูดก็จะหมายความว่ามีใครบางคนบงการอยู่เบื้องหลัง กรรมการผู้จัดการคิมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
“เกี่ยวกับการที่นายไปโรงพยาบาลเมื่อวานหรือเปล่า”
อีอูยอนแสยะยิ้มก่อนจะมองกรรมการผู้จัดการคิม
“กรรมการผู้จัดการรับรู้ได้เร็วมากเลยนะครับในเวลาแบบนี้ จำไอ้นักข่าวที่โดนผมพังกล้อง เพราะตามมาจนถึงสถานที่ให้สัมภาษณ์ได้ไหมครับ คนที่เขียนข่าวเรื่องการคบกันเพื่อตบตาน่ะ”
“คนคนนั้นทำไมเหรอ”
“เมื่อไม่นานมานี้หนังสือพิมพ์รายวันมุนซองเพิ่งจะเอาหัวหน้าฝ่ายข่าวศิลปวัฒนธรรมไปจากเซจองครับ”
เซจองคือบริษัทต้นสังกัดของคังยองโม และไม่บ่อยนักที่บริษัทหนังสือพิมพ์จะเฟ้นหาบุคลากรระดับสูงจากบริษัทบันเทิง เพราะไม่มีคนที่จะมีความสามารถในเรื่องของสื่อได้เท่ากับนักข่าวจากแผนกศิลปวัฒนธรรมอีกแล้ว
“เขาเป็นสายให้ฝั่งนั้น ผมได้ยินมาว่าหมอนั่นเป็นคนเขียนข่าวที่ช่วยซักฟอกคังยองโมทั้งหมด ถึงจะถูกมองว่าเป็นนักข่าวในสังกัดที่เขียนแต่ข่าวของดาราในเซจอง แต่ก็ไม่มีปัญหา”
ทุกๆ บริษัทจะมีนักข่าวที่ช่วยเขียนข่าวในเชิงที่เป็นมิตรจนสามารถเรียกว่าเป็นนักข่าวในสังกัดได้อยู่หนึ่งถึงสองคน JN เอนเตอร์เทนเมนต์เองก็เช่นกัน เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่ทางบริษัทจะให้ข่าวกับนักข่าวที่สนิทกันก่อน
“งั้น…”
“ทางเซจองคงจะมีเรื่องอะไรบางอย่างให้แอบตามผมน่ะครับ คังยองโมไม่ได้สั่งหรอก แต่พอได้เห็นชื่อของนักข่าวที่เขียนข่าวหลังจากที่ประสบอุบัติเหตุกับแชยอนซอแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นหมอนั่น”
จู่ๆ อินซอบนึกถึงตอนที่อีอูยอนบอกว่าจะไปโรงพยาบาล เขาเช็กข่าวทันทีที่คำว่านักข่าวหลุดมาจากปากของกรรมการผู้จัดการคิมที่อยู่ทางปลายสาย
“นายเป็นคนบอกผู้อำนวยการอีชอลฮวานให้ละครของคังยองโมตัดจบก่อนกำหนดจริงๆ เหรอ”
“ผมไม่เคยพูดแบบนั้นครับ ผมเป็นแค่นักแสดงจะไปทำให้ละครถูกตัดก่อนกำหนดได้ยังไงล่ะครับ”
ไหล่ของอินซอบที่เกร็งด้วยความเครียดคลายลง เขาคิดว่าโชคดีที่ดูเหมือนคนของเขาจะชั่วร้ายกว่าอีกฝ่าย
“แต่ผมบอกว่าเหมือนไอ้นักข่าวนั่นจะมีความเกี่ยวข้องกับคังยองโม”
“ว่าไงนะ”
“ทำไมเหรอครับ ก็มันคือความจริงนี่นา”
เหตุผลที่อีอูยอนไปโรงพยาบาลในวันนั้นไม่ซับซ้อน แชยอนซอเป็นนักแสดง ไม่มีวันไหนที่เหมาะที่จะกระตุ้นความกังวลใจของอีกฝ่ายที่ร่างกายคือทรัพย์สินได้เท่ากับวันที่เกิดอุบัติเหตุอีกแล้ว
อีอูยอนยื่นกระเช้าผลไม้ให้พร้อมกับแสดงความเป็นห่วงอย่างเหมาะสม เขาหยิบเอาประสบการณ์ที่ตนเองประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ออกมาพูด และพูดไปถึงเรื่องที่ว่าตนอาจจะไม่สามารถใช้แขนได้ตลอดไปเลยก็ได้ แต่ก็ไม่พลาดที่จะบอกว่าโชคดีมากที่ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่ใบหน้า สีหน้าของแชยอนซอครึ้มลงในตอนที่พูดถึงเรื่องนักข่าวที่เขียนข่าวหลังจากที่ประสบอุบัติเหตุด้วยกัน แชยอนซอนิ่วหน้า
‘เป็นคนคนนั้นเองสินะครับ’
พอเขาทำเป็นรู้จัก แชยอนซอก็ถามว่ารู้จักกันได้อย่างไร
‘พอดีผมเองก็กำลังอยู่ในช่วงฟ้องร้อง เพราะมีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ จำได้ใช่ไหมครับ นักข่าวที่เขียนข่าวว่าผมแกล้งคบกับคุณแชยอนซอน่ะครับ’
‘พูดต่อเลยค่ะ’
แชยอนซอที่นอนอยู่ยันตัวขึ้นมาเพราะคำว่าการแกล้งคบกัน อีอูยอนทำหน้าเครียดก่อนจะพูดต่อ ข่าวลือที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคังยองโมและอีอูยอนไม่ดีแพร่สะพัดแม้แต่ในสถานีโทรทัศน์ การฝังความคิดที่ว่าคังยองโมมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องในคราวนี้ และอีกฝ่ายเกือบจะเจอเรื่องใหญ่เพราะเขาแล้วลงไปในหัวของหญิงสาวง่ายยิ่งกว่าบิดแขนเด็กเล็กๆ เสียอีก
“คนที่ตัดสินใจตัดจบคือผู้อำนวยการอีชอลฮวานนะครับ ไม่ใช่ผม”
อีอูยอนเองก็ไม่ได้คาดคิดเหมือนกันว่าจะได้รับการล้างแค้นอย่างกะทันหันขนาดนี้ เขารู้สึกอย่างสมจริงว่าสำหรับนักแสดงแล้วความกลัวที่ว่าใบหน้าอาจจะบาดเจ็บหนักได้นั้นยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด พอเขาเพิ่มข่าวลือกับอีชอลฮวานเข้าไปด้วยก็เกิดการผนึกกำลังกันขึ้น
“แต่นายก็ไม่มีหลักฐานว่าคังยองโมสั่งให้นักข่าวนั่นแอบตามแชยอนซอนี่”
“ไม่มีหรอกครับ แต่ผมมั่นใจ ถ้าตัวเขาไม่ได้รับผลกระทบ เขาจะมาหาผมถึงที่นี่เหรอครับ”
“นายไม่มีหลักฐาน แต่ทำแบบนั้นด้วยความมั่นใจเหรอ ถ้าเกิดว่าคังยองโมไม่ได้สั่ง นายจะทำยังไง”
“การที่ละครเหี้ยๆ แบบนั้นโดนตัดจบจะไปมีความสำคัญอะไรล่ะครับ”
ชเวอินซอบสิ้นหวัง
โอ๊ย คนของเราชั่วร้ายกว่าฝั่งตรงข้ามนิดหน่อยสินะ
“จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”
อีอูยอนหัวเราะเพราะคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิม
“มันเป็นเรื่องที่ต้องทำถึงขนาดนั้นสำหรับผมครับ ต้องคืนกลับไปให้เท่าที่ได้รับมาสิ”
“…ไม่คิดว่าให้เกินไปเหรอ”
“ครับ ไม่คิด”
อีอูยอนยิ้มเหมือนเทวดาก่อนจะพูดต่อ
“เพราะไอ้บ้านั่นมาคอยตามติด ชีวิตส่วนตัวของผมช่วงนี้เลยเลวร้ายมาก ไม่สิ ผมไม่มีชีวิตส่วนตัวตั้งแต่แรกแล้วนี่ครับ”
อินซอบกลั้นหายใจ เพราะเขารู้ดีว่าชีวิตส่วนตัวที่อีอูยอนพูดถึงหมายถึงอะไร หลังจากเกิดเรื่อง พวกเขาสองคนก็แทบจะไม่มีเวลาส่วนตัวเลย ถ้าจะพูดชัดๆ ก็คือแม้จะเป็นเพราะคังยองโม แต่กรณีกับนักข่าวก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความไม่สบายใจของเขาเพิ่มขึ้น
“ถึงใจผมจะอยากแยกกบาลมันออกเป็นสองส่วน แต่ก็ยังไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไร อันที่จริงผมก็เบามือไปเยอะเลยนะครับ เพราะผมเป็นพวกชอบทำให้มือของตัวเองสกปรกมากกว่าที่จะใช้วิธีแบบนั้น”
แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่น่าเชื่อ แต่กรรมการผู้จัดการคิมก็เถียงไม่ออก ความจริงแล้วนี่เป็นการแก้แค้นที่ดูผู้ดีมากเมื่อคิดว่าเป็นอีอูยอน
“อูยอน…”
กรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยเรียกอีอูยอนพร้อมกับถอนหายใจ
“มีอะไรเหรอครับ”
“ตั้งแต่นี้ไปอย่าไปยุ่งกับคังยองโมเลย ฉันขอร้องล่ะ ช่วงนี้เป็นฤดูกาลที่มีข่าวว่าแค่ไอก็เป็นโรคถึงตายได้แล้ว สถานการณ์บ้านเมืองไม่สงบนะ”
อินซอบก็ได้ยินคำพูดนั้นก็พยักหน้าอย่างตั้งใจ เขาหวังไม่ให้ทั้งสองคนนั้นเจอกัน เขาสวดมนต์แล้วสวดมนต์เล่าขอให้ทุกอย่างจบลงแค่นี้
“ไม่ต้องห่วงครับ เพราะผมได้ตักเตือนจนเข้าใจก่อนส่งกลับไปแล้ว”
“เตือนว่าอะไร”
อีอูยอนหยิบ USB ออกจากกระเป๋ามาให้ดู
“ผมบอกว่าถ้าในอนาคตเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีกแค่ครั้งเดียว จะส่งสิ่งนี้ให้สถานีโทรทัศน์และโพสต์ลงอินเทอร์เน็ตครับ”
“มีอะไรอยู่ใน USB นั้นเหรอ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันมั้งครับ”
คำตอบของอีอูยอนทำให้กรรมการผู้จัดการคิมขมวดคิ้วมุ่น
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะผมแค่หยิบอันที่ผู้ช่วยโจวางไว้ที่โต๊ะมาก่อนจะออกจากออฟฟิศเมื่อกี้นี้เอง มีอะไรอยู่ในนี้กันนะ”
“แล้วทำไม…”
คำพูดนั้นทำให้กรรมการผู้จัดการคิมไม่เข้าใจว่าทำไมคังยองโมถึงยอมเดินออกไปง่ายๆ อินซอบเองก็เหมือนกัน
“คนที่มีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างเราๆ เห็นสิ่งนี้ก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่คนอย่างคังยองโมคงจะร้อนๆ หนาวๆ”
“…อย่างเราๆ งั้นเหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมที่จู่ๆ ก็กลายเป็นพวกเดียวกับอีอูยอนทำหน้าเหมือนกลืนแมลงดิบๆ เข้าไปสักร้อยตัว
“ก็คนที่มีชีวิตอยู่อย่างเป็นคนดีไงครับ”
“…”
หมอนี่พูดคำพวกนั้นออกมาอย่างหน้าตาเฉยได้ยังไง กรรมการผู้จัดการคิมจ้องมองอีอูยอนด้วยใบหน้าที่เหมือนสติหลุด อินซอบที่ได้ยินคำพูดของอีอูยอนจากในรถก็เอามือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความอับอาย
“ยิ่งความผิดที่ทำใหญ่มากแค่ไหน ก็จะยิ่งไม่สามารถเปิดปากพูดได้ ผมว่าการเอาหลักฐานจริงๆ มาใส่ไว้ในนี้เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่เลวนะครับ ”
อินซอบตัดสินใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะเก็บเรื่องที่มีเรื่องกับคังยองโมไว้เป็นความลับ
“คนอย่างนี้เติบโตมาแบบไหนกันแน่ ตอนเด็กๆ นายเจอเรื่องที่สะเทือนใจมากๆ มาเหรอ บาดเจ็บที่หัว หรือว่าเจอกับเรื่องเคราะห์ร้ายมากๆ มาหรือเปล่า”
“ฮ่าๆๆ”
อีอูยอนหัวเราะอย่างมีความสุขพร้อมกับโบกมือเบาๆ
“นายหัวเราะเหรอ”
“เปล่าครับ แม่ของผมก็สงสัยเรื่องนั้นเหมือนกัน ผมเกิดมาอย่างนี้อยู่แล้วครับ”
“ลืมที่ฉันพูดไปเถอะ”
กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจ เขามองผ้าคลุมรถที่ถูกถอดออกครึ่งหนึ่งก่อนจะมองอีอูยอนเขม็ง
“ว่าแต่นายกำลังทำอะไรในรถของฉัน”
อินซอบกลั้นหายใจและซ่อนตัวอยู่ด้านล่างของเบาะนั่ง แม้จะรู้ว่าไม่มีทางที่จะมองเห็นจากด้านนอก แต่เขาก็ไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้
อีอูยอนหันกลับมามองส่วนที่ถูกผ้าคลุมบังไว้และยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมือขวามาทำเป็นวงกลม และเอานิ้วของมืออีกข้างยัดลงไปในช่องว่างนั้น การทำมือที่ลามกนั้นทำให้กรรมการผู้จัดการคิมหน้าแดง
“ผมจะใช้รถคันนี้สักวันครับ”
“ว่าไงนะ นายมียางอายบ้างไหม!”
“ผมขอเพราะไม่มีไงครับ ผมไม่ได้เอารถมา จะให้ผมกลับบ้านยังไงด้วยสภาพแบบนี้เหรอครับ”
อีอูยอนหยิบเสื้อที่เปื้อนกาแฟขึ้นมาให้ดู กรรมการผู้จัดคิมครวญครางด้วยความเจ็บปวดก่อนจะทรุดลงไปนั่ง
“ชาติที่แล้วฉันทำบาปอะไรไว้ ฉันขายชาติเหรอ”
“เพราะชาติก่อนขายชาติ ชาตินี้ก็เลยหาเงินได้เยอะ ดีมากเลยครับ”
“หุบปาก! ไอ้บ้าเอ๊ย!”
กรรมการผู้จัดการคิมมองชายที่ต่อให้โดนกาแฟสาดก็ยังดูดีราวกับเดินออกมาจากนิตยสาร เขาทำหน้าเครียดก่อนจะพูด เพราะความคิดที่โผล่มาในหัว
“ฉันขอถามอะไรอย่าง คิดถึงความผูกพันตลอดเวลาผ่านมาแล้วตอบมาตรงๆ ด้วย”
อีอูยอนกำลังจะย้อนถามกลับว่ามีความผูกพันตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ไหน แต่ก็นึกถึงอินซอบที่กำลังสั่นเทาอยู่ตรงเบาะด้านหลังของรถจึงพยักหน้า
กรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“…ใส่อะไรไว้ที่กระโปรงหลัง”
***
แปลก เขายังอารมณ์ดีจนถึงตอนนั้นแน่ๆ
อินซอบกัดริมฝีปากล่างพลางนึกย้อนกลับไป
‘ขึ้นมาได้แล้วครับ’
อีอูยอนหันกลับมามองอินซอบที่คู้ตัวอยู่ตรงด้านล่างของเบาะหลังก่อนจะพูดทันทีที่ออกมาจากลานจอดรถ เขายืมรถของกรรมการผู้จัดการคิมมาด้วยเงื่อนไขที่ว่าจะทำความสะอาดรถให้สะอาดเอี่ยมอ่องก่อนคืน
‘คุณโอเคหรือเปล่า’
‘อะไรเหรอครับ’
‘ก็ที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น…แล้วคนอื่นๆ ก็จะเอาไปพูดน่ะครับ’
แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะขึ้นไปที่ออฟฟิศและสั่งให้ทุกคนปิดปาก แต่การที่คำพูดจะรั่วไหลออกไปก็เป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่สิ ความเป็นไปได้ที่คำพูดจะรั่วไหลออกไปแล้วมีสูงมาก
‘ถ้าผมไม่โอเคแล้วจะทำอะไรได้เหรอครับ’
อีอูยอนตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับพูดเรื่องของคนอื่น กรรมการผู้จัดการคิมเชื่อว่าข้อดีที่ดีที่สุดที่อีอูยอนมีในฐานะดาราไม่ใช่รูปร่าง หน้าตา หรือเสียง แต่เป็นสุขภาพจิต หากได้ทำงานเป็นดารามานานย่อมเกิดอาการป่วยทางจิตใจแน่นอน แต่สำหรับอีอูยอนแล้วไม่ต้องห่วงในเรื่องนั้นก็ย่อมได้
‘แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ดีครับ ผมกลัวว่าเขาจะได้ยินคำพูดแย่ๆ’
พออินซอบพูดอย่างระมัดระวัง อีอูยอนก็เกร็งมือที่กำพวงมาลัยไว้ เขาขับรถโดยมองแค่ข้างหน้าอยู่พักใหญ่ก่อนจะโพล่งออกมา
‘ขอโทษนะครับ’
อินซอบมึนงงเล็กน้อยกับคำขอโทษที่ไม่คาดคิดของอีอูยอน
‘ไม่เลยครับ นี่เป็นเรื่องที่ผมจะต้องทำอยู่แล้วในฐานะผู้จัดการส่วนตัว’
‘เข้าใจผิดแล้วครับ คุณอินซอบไม่ใช่ผู้จัดการของผมนะครับ แต่เป็นคนรักต่างหาก เพราะฉะนั้นผมถึงขอโทษไงครับ’
อินซอบหน้าแดง คำว่าคนรักทำให้เขานึกถึงเรื่องที่ลืมไปจนถึงเมื่อครู่นี้ได้ เขาคิดว่าโชคดีแล้วที่นั่งอยู่เบาะหลัง เพราะไม่อยากถูกจับได้ว่าหน้าแดงขนาดนี้ ในตอนที่รู้สึกถึงสายตาและเงยหน้าขึ้นมา เขาก็สบตากับอีอูยอนที่กำลังมองตนผ่านกระจกมองหลัง