เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวได้ถูกต้อง เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ด้วยกันมาตลอด วันนี้ต้องแยกจากลู่เจียว ทำเอาเขาเหม่อลอยไปหลายครั้ง มักจะเอาแต่คิดถึงลู่เจียว เจียวเจียวตอนนี้กำลังทำอะไร กินอะไร คิดถึงเขาบ้างไหม
ลู่เจียวหันไปเห็นแววตาร้อนแรงของเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่จ้องมองนาง ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เพราะวันนี้ทั้งวันนางไม่ได้คิดถึงเขาเลย แต่นางรู้สึกว่า ตนเองไม่อาจกล่าวตรงเกินไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายจิตใจผู้อื่น
ลู่เจียวกำลังคิดจะตอบกลับ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็เหมือนลูกเจี๊ยบเริงร่าสี่ตัววิ่งเข้าประตูมา พวกเขามาได้ยินคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวพอดี พอเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เข้ามาก็ตรงไปหาเซี่ยอวิ๋นจิ่น
“ท่านพ่อ พวกเราคิดถึงท่านแล้ว”
“ใช่ ตอนเที่ยงข้าเป็นห่วงท่านพ่อจนไม่ได้กินน่องไก่ไปหนึ่งน่อง”
ลู่เจียวส่งค้อนใส่เอ้อร์เป่าทีหนึ่ง สีหน้าไร้วาจาจะกล่าว วันนี้เจ้ากินน่องไก่น้อยไปแล้วหนึ่งน่อง แต่เจ้าก็ยังคงกินต่อไปอีกสองน่อง
ซานเป่าดึงแขนเสื้อเซี่ยอวิ๋นจิ่นมาถามว่า “ท่านพ่อ ท่านคิดถึงพวกเราบ้างไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นนึกร้อนตัวทันที เพราะเขาลืมพวกลูกๆ ไปเสียสนิท
ตั้งแต่รู้ว่าลู่เจียวเป็นมารดาที่มีความเมตตาอารี เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ไม่ได้เป็นห่วงบุตรชายมากเหมือนเมื่อก่อนอีก เพราะเขารู้ดีว่าแม้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่มีเขาอยู่ข้างกาย ลู่เจียวก็จะดูแลพวกเขาได้ดี ทั้งยังอบรมพวกเขาได้ดีอีกด้วย
เช่นนี้จึงทำให้เขาไม่ได้กังวลเคร่งเครียดกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เหมือนเมื่อก่อน
แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดไม่ได้ เพราะจะเป็นการทำร้ายจิตใจบุตรชายของเขาเพียงใดกัน
ชายหนุ่มแอบกินปูนร้อนท้อง มองลูกๆ กล่าวว่า “คิดถึงสิ พ่อคิดถึงพวกเจ้าตั้งหลายรอบ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ดีใจจนเผยรอยยิ้มเบิกบาน ซื่อเป่ายิ้มมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น ถามว่า “ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ท่านพ่อบอกว่าจะพาพวกเราไปเที่ยวสำนักศึกษาท่านพ่อไม่ใช่หรือ เมื่อไรท่านพ่อจะพาพวกเราไป”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดถึงเรื่องนี้ก็รีบกล่าวว่า “รอสำนักศึกษาหยุดพักก่อน พ่อจะพาพวกเจ้าไปเที่ยว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบเงยหน้ามองไปยังลู่เจียวสำทับอีกประโยคว่า “ถึงตอนนั้นค่อยไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว”
ลู่เจียวไม่สนใจเซี่ยอวิ๋นจิ่น หันหลังออกไปเตรียมอาหารเย็น ขอเพียงไม่ถามนางว่าคิดถึงเขาไหมก็พอ
ทั้งครอบครัวเพิ่งกินอาหารเย็นเสร็จ อาจารย์ทั้งสองท่านก็มาเยี่ยมคารวะพวกเขา
“คารวะคุณชาย เหนียงจื่อ”
ลู่เจียวแสดงท่าทางบอกให้เฝิงจือยกเก้าอี้มาให้อาจารย์ทั้งสองท่านนั่ง “อาจารย์ทั้งสองมีธุระหรือ”
อาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือสองคนมองหน้ากันแล้วก็มองไปยังเจ้าหนูน้อยทั้งสี่
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเห็นก็รู้ว่าจะพูดเรื่องเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ วันนี้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก่อเรื่องหรือ ทำไมพวกเขาไม่ได้ยินลูกๆ เล่า
ลู่เจียวหันไปบอกเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ว่า “ต้าเป่า พาน้องๆ ไปอาบน้ำ ท่านพ่อกับท่านแม่มีธุระจะคุยกับท่านอาจารย์ทั้งสองสักครู่”
“ขอรับท่านแม่”
ต้าเป่ารับคำอย่างยินดี หันไปตามน้องๆ “พวกเราไปอาบน้ำกัน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ไม่คัดค้าน ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ติดท่านพ่อกับท่านแม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะพวกเขารู้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักพวกเขา ในใจก็รู้สึกมั่นคง จึงไม่ได้ตามติดเหมือนเมื่อก่อน ค่อยๆ เริ่มอยู่ด้วยตนเองได้แล้ว
พอเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ออกไปแล้ว สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เคร่งขรึมลง มองอาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือ กล่าวว่า “หรือเจ้าหนูน้อยทั้งสี่รังแกผู้อื่น ท่านอาจารย์บอกพวกเรามาได้เลย พวกเราจะอบรมเด็กๆ เอง”
อาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือสองคนพอได้ฟังก็รีบลุกขึ้นปฏิเสธทันที “มิได้ หนูน้อยทั้งสี่เชื่อฟังและรู้ความมาก และยังรู้จักดูแลเพื่อนๆ พวกเขาอย่างดีมาก ไม่ได้รังแกเพื่อนคนใดเลย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวได้ฟังพวกเขากล่าวเช่นนี้ก็วางใจ แสดงท่าทางบอกให้พวกเขานั่งลง
อาจารย์ทั้งสองท่านนั่งลงแล้วก็มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเอ่ยว่า “พวกเรามาที่นี่ก็คิดจะคุยเรื่องหนูน้อยทั้งสี่กับผู้ปกครอง”
อาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือเอ่ยถึงเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ด้วยท่าทีตื่นเต้น คำพูดที่ออกมาก็มีน้ำเสียงยินดี
“พวกเราสองคนสอนเด็กมาไม่น้อย แต่ไม่มีเด็กคนไหนฉลาดเหมือนหนูน้อยทั้งสี่ ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเราพบลักษณะเด่นของพวกเขา คิดมาบอกคุณชายกับเหนียงจื่อสักหน่อย”
“อาจารย์เชิญกล่าว”
“หนูน้อยทั้งสี่ฉลาดมาก พวกเราสอนมาระยะหนึ่ง พบว่าต้าเป่ามีความสามารถแค่เพียงผ่านตาก็ไม่ลืม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวสบตากันอย่างตกใจ พวกเขารู้ว่าต้าเป่าฉลาด แต่ไม่เคยรู้ว่าเจ้าหนูถึงกับมีความจำระดับแค่เพียงผ่านตาก็ไม่ลืม เมื่อก่อนทำไมไม่เคยรู้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นตื่นเต้นมาก หันหน้าไปมองอาจารย์พานถามว่า “อาจารย์แน่ใจหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นแม้ว่าเรียนเก่งฉลาดหัวไว ความจำก็ดีมาก แต่เขายังไม่ได้ถึงขึ้นผ่านตาไม่ลืม
ตอนนี้บุตรชายเขาถึงกับแค่เพียงผ่านตาก็ไม่ลืม เป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง
อาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือพยักหน้า “ใช่แล้ว พวกเราทดสอบแล้ว ต้าเป่าว่าเมื่อก่อนไม่เป็นเช่นนี้ หนังสือที่เคยอ่านเมื่อก่อนนี้ต้องสองสามครั้งจึงจะจดจำได้ แต่ตอนนี้พวกเราสอนครั้งเดียว เขาก็จดจำได้และไม่ลืม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกภูมิใจในตัวบุตรชายคนโตมาก ในลูกสี่คน ต้าเป่าเป็นคนที่รู้ความที่สุด เขารู้ความจนทำให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกสงสาร คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ลูกคนนี้ถึงกับมีความสามารถเพียงผ่านตาก็ไม่ลืม นับว่าสวรรค์เมตตาเขากระมัง
แววตาลู่เจียวข้างเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็สว่างวาบขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้นางเคยสอนต้าเป่า ต้าเป่าแม้ว่ารู้ความและฉลาด แต่ไม่ถึงขึ้นแค่เพียงผ่านตาก็ไม่ลืม
ตอนนี้เขาทำได้เช่นนี้ จะเป็นเพราะนางป้อนน้ำพุจิตวิญญาณให้เขาดื่มหรือไม่
ลู่เจียวชอบให้ลูกๆ ดื่มน้ำพุจิตวิญญาณอยู่บ่อยๆ หากดื่มน้ำพุจิตวิญญาณระยะยาว จะทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม แต่คิดไม่ถึงว่าดื่มน้ำพุจิตวิญญาณถึงกับได้ผลเช่นนี้
ลู่เจียวเงยหน้ามองไปยังอาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือถามว่า “เช่นนั้นอีกสามคนล่ะ”
“อีกสามคนความจำก็ดีอย่างมาก แม้ว่าเทียบกับต้าเป่าแล้วจะสู้ไม่ได้อยู่บ้าง แต่ก็ดีกว่าเด็กคนอื่น ส่วนเอ้อร์เป่า ชอบฝึกยุทธ์ มักชอบออกไปฝึกหมัดมวย ปรากฏพวกเราพบว่าพละกำลังของเขามากเป็นพิเศษ”
นี่ก็เป็นความยินดีอีกหนึ่งเรื่อง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองอาจารย์พานกับอาจารย์ซืออย่างดีใจ
“เอ้อร์เป่ามีพละกำลังมากเลยหรือ”
อาจารย์ทั้งสองท่านพยักหน้า “ใช่ วันนี้ข้าเห็นเขายกเก้าอี้มาอย่างสบายๆ ไม่ได้เปลืองแรงอะไรเลย พวกเราลองทดสอบให้เขายกสองตัว ปรากฏเขายกมือละตัวได้อย่างไม่เปลืองแรงอะไรเลยสักนิด”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นอดยิ้มไม่ได้ ลูกคนนี้เอาแค่คิดจะฝึกยุทธเป็นแม่ทัพ คิดไม่ถึงว่าจะมีพละกำลังมหาศาล การฝึกยุทธนี้เหมาะกับเขาจริงๆ
ขณะเซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังคิดอยู่ ท่านอาจารย์ซือก็กล่าวต่ออย่างดีใจว่า “วันนี้ตอนบ่าย อาจารย์หลี่เรียกให้พวกเขามาลองดู สุดท้ายก็กล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจว่า เอ้อร์เป่ามีพรสวรรค์ฝึกยุทธ์ บอกว่าโครงร่างกายเขาแข็งแกร่ง และยังมีพละกำลังมาก วันหน้าเขาต้องเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกายเป็นแน่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวได้ฟังท่านอาจารย์ซือก็อดยิ้มอย่างดีใจไม่ได้
แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดขึ้นมาได้ทันที เหมือนมีอะไรไม่ถูกต้อง
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ของบ้านเขาแม้ไม่เลวก็จริง แต่ไม่ได้ถึงขึ้นเรียกได้ว่าร้ายกาจเช่นนั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันขวับไปมองลู่เจียว
เขาคิดถึงความสามารถลู่เจียวขึ้นมาได้ทันที หรือว่าเพราะเจียวเจียวให้พวกเขากินของล้ำเลิศอันใด