“ครับ?”
อินซอบเงยหน้าด้วยความตกใจ เพราะก่อนหน้านี้เขาก็ได้ยินคำถามที่คล้ายๆ กันนี้ มาหาเพราะไม่เชื่อว่ามีแฟนเหรอ
อินซอบกระสับกระส่ายและมองคังยองโม
“สนิทกันขนาดไหนล่ะ”
“…”
นี่มันกับดักอะไรอีกแล้วเนี่ย อินซอบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับตามสมควร
“เพราะผมยังดีไม่พอก็เลยได้รับความช่วยเหลือเยอะครับ”
“ใครสั่งให้ตอบแบบนั้นเหรอ ที่ฉันจะพูดก็คือ…”
คังยองโมสูบบุหรี่เข้าไปจนเต็มปอด เงามืดปกคลุมใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา
“แบงก์ใหญ่ๆ [1] สักใบโอเคไหม”
“พูดเรื่องอะไรเหรอครับ”
คังยองโมอุทาน เขาพ่นควันบุหรี่ออกมาก่อนจะยิ้มอย่างบิดเบี้ยว
“เล่นตัวไม่สมกับเป็นนายเลยนะ ก็ได้ๆ งั้นก็เป็นสองใบ ไม่มีคนที่ให้เท่านี้หรอกนะ สองใบโอเคไหม”
อินซอบรู้ดีกว่าใครว่าตนเองไม่เก่งในเรื่องของสำนวน ดังนั้นถ้ามีคำศัพท์ที่ไม่รู้ เขาจะปล่อยผ่านไปก่อนและไปเช็กทีหลัง แต่ปัญหาก็คือเขาไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ในตอนที่คู่สนทนาเป็นคนอย่างคังยองโม
“สองใบนี่หมายถึงอะไรเหรอครับ”
อินซอบถามอย่างระมัดระวัง เพราะมีคนที่แค่เขาถามความหมายของคำพูดซ้ำอีกครั้งก็โมโหมากแล้วอยู่บ้างเหมือนกัน
“ดูใสซื่อ แต่โลภนะเนี่ย ถ้านายตามเก็บกวาดและเอาของออกมาได้ ฉันจะให้ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายที่เซจองด้วย ก็อย่างที่นายรู้ว่าถ้าอยากจะได้ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายที่เซจอง ต่อให้กลิ้งไปกลิ้งมาในวงการนี้เป็นสิบๆ ปียังยากเลย”
เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายสั่งให้เอาของอะไรออกมา อินซอบกะพริบตาและทำบุหรี่ที่กำลังไหม้ลวกมือ
“…!”
คังยองโมมองอินซอบที่สะดุ้งและทำบุหรี่หล่นก่อนจะกลั้นยิ้ม
“ชอบขนาดนั้นเลยเหรอ ก็อย่างว่า นายเคยได้รับข้อเสนอแบบนี้เสียเมื่อไรล่ะ”
“ขอบคุณนะครับ แต่ผมมาช่วยแค่ชั่วคราวเท่านั้น ผมไม่คิดที่จะทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวตลอดไปหรอกครับ ผมวางแผนว่าจะทำถึงแค่เดือนนี้เท่านั้น”
“งั้นก็ยิ่งดีไปกันใหญ่เลย ไหนๆ ก็จะออกอยู่แล้ว คงไม่ตะขิดตะขวงใจกับการเอาของออกมาหรอก ใช่ไหม”
“…ผมไม่เข้าใจจริงๆ ครับว่าคุณหมายถึงอะไร”
คังยองโมนิ่วหน้าเหมือนอึดอัดใจ
“ไปเอา USB ที่อยู่ที่อีอูยอนมา ถ้ามีข้อมูลที่แบคอัพเอาไว้ก็จัดการลบให้เรียบร้อย แต่ก่อนอื่นจะต้องเอามาดูให้รู้ก่อนว่ามีอะไรอยู่ในนั้น”
ความรู้สึกลำบากใจปรากฏในดวงตากลมโตของอินซอบ มีแค่ผู้ช่วยโจที่เป็นเจ้าของเท่านั้นที่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่เขาไม่สามารถพูดเรื่องนั้นกับคังยองโมได้
“ตอนนี้แววตาของนายก็ดูรู้เรื่องขึ้นมาหน่อยแล้วนี่”
คังยองโมเอาบุหรี่มาแตะไว้ที่ปากก่อนจะพูด
เป็นไปตามที่อีอูยอนพูด ราวกับคังยองโมจะก่อเรื่องที่ไม่ดีเอาไว้เยอะ และดูเหมือนจะเป็นอาชญากรรมที่ไม่ดียิ่งกว่าที่อีอูยอนคาดไว้เสียอีก ถ้าดูจากการที่อีกฝ่ายไม่ใช่แค่นอนไม่หลับในตอนกลางคืน แต่ตามมาจนถึงที่นี่ก่อนที่จะเป็นช่วงกลางคืนด้วยซ้ำ
“ผมไม่ทราบครับว่าคุณพูดเรื่องอะไร”
อินซอบตอบทั้งๆ ที่ยังหลุบตามองต่ำ แม้เขาจะไม่มีความคิดที่จะไปเอา USB อยู่แล้ว แต่อีกนัยก็คือเขาไม่สามารถเอาไปได้ เพราะนั่นจะทำให้เรื่องที่อีอูยอนข่มขู่คังยองโมด้วยการโกหกถูกเปิดเผย
“นายจะบอกว่าไม่เคยได้ยินจากอีอูยอนเหรอ”
มุมปากของคังยองโมบิดเบี้ยว
“ครับ ไม่เคยครับ”
คังยองโมปาบุหรี่ที่ถืออยู่ในมือลงพื้น
“นายอยู่ติดกับเขาถึงสิบแปดชั่วโมงต่อวันนะ จะมาบอกว่าไม่รู้เรื่องนั้นเหรอ? พูดจาไม่น่าเชื่อ”
น้ำเสียงของคังยองโมน่ากลัวขึ้นทันที
“นายคิดเท่าไรก็พูดมาเลย ฉันหงุดหงิดแล้ว”
“เปล่านะครับ ผมไม่สามารถช่วยได้ เพราะไม่รู้จริงๆ ขอโทษครับ”
อย่างน้อยการที่ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับปัญหานี้ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือนี่ใกล้เวลาที่ยุนอารึมจะมาถึงแล้ว และจากนิสัยของคังยองโมที่มักจะทำให้ยืดเยื้อแล้ว ความเป็นไปได้ที่เธอจะถูกทำให้เสียหายนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“หรือจะให้ฉันแนะนำหนึ่งในเด็กฝึกของบริษัทฉันที่พอจะใช้ได้ให้ดีไหม ถ้ามีเด็กที่อยากได้เป็นพิเศษ ฉันจะจัดให้นายทำสักครั้ง”
รอยยิ้มต่ำช้าประทับอยู่ที่ริมฝีปากของคังยองโม อินซอบที่ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายรีบส่ายหน้า
“ไม่ครับ ผมไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น”
“งั้นอยากได้อะไรล่ะ เรียกเป็นจำนวนเงินมาเลย”
ไม่ว่าเขาจะปฏิเสธอย่างไร อีกฝ่ายก็ยังดื้อรั้น และมีเจตนารมณ์ที่รุนแรงพอๆ กัน
“ไม่ว่าคุณจะพูดยังไงผมก็ไม่สามารถช่วยได้ครับ ผมมีนัด ขอตัวก่อนนะครับ ส่วนเรื่องที่ได้ยินวันนี้…”
อินซอบหายใจดังเฮือก ความเจ็บที่รุนแรงกระจายไปทั่วหลัง คังยองโมดันอินซอบไปติดกำแพงขณะเดียวกันก็ใช้มือทั้งสองข้างบีบคอเขาไว้
“เรื่องที่ได้ยินวันนี้อะไร จะพูดว่าจะถือว่าไม่ได้ยินเหรอ”
คังยองโมโกรธจนเลือดขึ้นหน้า มือของอีกฝ่ายที่แตะอยู่ที่คอเย็นจนขนลุก ความเจ็บปวดที่ขึ้นมาจากหลังและทำให้หายใจไม่ออกทำให้อินซอบไอและดิ้นเพื่อที่จะสะบัดเอามือของคังยองโมออก คังยองโมเกร็งมือ และกระแทกอินซอบเข้ากับกำแพงอย่างเต็มแรงอีกหลายครั้ง
“ด้วยจิตใจของคนดีอย่างนั้นเหรอ ไอ้เหี้ยเอ๊ย แกรู้มั้ยว่าคนอย่างแกจะเป็นยังไง!”
คังยองโมเหวี่ยงอินซอบลงกับพื้น และใช้เท้าเตะตรงหน้าอกของอินซอบอย่างแรง เพราะยังไม่หายโมโห แม้อินซอบจะไอแห้งๆ แต่คังยองโมก็ยังไม่สนใจ
“ฉันสามารถกำจัดคนอย่างแกทิ้งได้โดยที่ไม่มีใครรู้ แล้วรู้ไหมว่าฉันจะทำให้แกไม่สามารถเข้ามาเหยียบในวงการนี้ได้อีกเลย!”
อินซอบกุมหน้าอกและงอตัว
“เลิกแสดงเถอะ โดนเตะขนาดนั้นไม่ถึงตายหรอก”
คังยองโมใช้ปลายเท้าที่สวมรองเท้าอยู่เตะหน้าผากอินซอบอย่างแรง แต่พอเห็นว่ายิ่งเวลาผ่านไป เสียงลมหายใจของอินซอบก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ทำหน้าเครียด
“เฮ้ย เฮ้ย ลุกขึ้นมา บอกให้ลุกขึ้นมาไง”
คังยองโมจับหลังคอของอินซอบและบังคับให้ลุกขึ้นมา เขาพ่นคำด่าออกมาเมื่อเห็นว่าใบหน้าของอินซอบซีดเผือดและชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“นี่! ทำไมแกถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่ได้เป็นเพราะฉันหรอกใช่ไหม อย่าบอกนะว่าใช่ เหี้ยเอ๊ย”
คังยองโมงค้นกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ในระหว่างนั้นอินซอบก็ล้มลงบนพื้นราวกับทรุดลงไป
“ทำไมถึงดวงซวยอย่างนี้วะ”
คังยองโมที่ต่อสายไปที่ไหนสักที่ชะงักและก้มมองอินซอบ
“ฮือ…แฮ่ก…”
ภาพของอินซอบที่กุมหน้าอกเอาไว้ และหายใจตื้นๆ เหมือนจะขาดใจตายในไม่ช้าทำให้เขาคิดอะไรบางอยู่พักหนึ่ง และมองไปรอบๆ พอเช็กแล้วว่าภายในที่จอดรถไม่มีกล้อง CCTV เขาก็นั่งยองๆ ลงตรงหน้าอินซอบ
“นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ฟังดีๆ นะ แค่ตอบว่าจะเอา USB มาให้ ฉันจะโทรศัพท์หาโรงพยาบาลให้ทันที แต่ถ้าไม่ทำ ฉันก็จะปล่อยนายไว้คนเดียวตรงนี้”
อินซอบส่ายหน้า น้ำตาที่คลออยู่ไหลอาบแก้ม และหยดลงบนพื้น
“งั้นฉันเองก็ช่วยนายไม่ได้เหมือนกัน ลองขอให้อีอูยอนที่แกคิดถึงอยู่ตลอดเวลาและจงรักภักดีด้วยช่วยดีไหม”
คังยองโมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าของอินซอบและปาออกไปให้ไกลก่อนจะออกไปจากที่จอดรถ
“…ฮือ…”
หลังจากเสียงฝีเท้าไกลออกไป อินซอบก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก ไม่ว่าจะสูดลมหายใจเข้าไปอย่างไร หน้าอกของเขาก็ยังคงแน่น และตาของเขาก็ลาย เขาหยิบยาแก้ปวดออกมาจากกระเป๋า และพยายามจะเปิดขวด เขาคลำไปมาอยู่ตั้งหลายครั้ง เพราะมือไม่มีแรง แม้จะเปิดฝาขวดได้อย่างยากลำบาก แต่ยาก็หกลงบนพื้นอยู่ดี
“อึก…”
อินซอบพยายามจะเก็บยาขึ้นมา แล้วก็ต้องล้มลงไปบนพื้นอีกครั้ง เขาแน่นหน้าอกเหมือนมีใครจงใจทุ่มบอลลูกโตใส่คอของเขา
เขากะพริบตาช้าๆ ภาพทั้งหมดตรงหน้าพร่าเลือน เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่บอกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ดี
เขาต้องโทรศัพท์หาอีอูยอน เขาคิดแค่นั้น แม้เขาจะรู้ว่าการติดต่อไปขอความช่วยเหลือจากยุนอารึมที่กำลังจะมาในไม่ช้าจะเป็นวิธีที่สมเหตุสมผลที่สุด แต่ครั้งนี้เขาอยากจะเลือกอีอูยอนที่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด
อินซอบค่อยๆ ขยับตัวไปยังโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ไกลออกไป ระยะทางห่างแค่ไม่กี่เมตร แต่เขากลับรู้สึกว่ามันไกลมากราวกับเป็นที่ที่ไม่สามารถเอื้อมถึง
‘วันนี้อากาศดีเนอะ’
เขานึกถึงอีอูยอนที่พูดแบบนั้นอย่างน่าประหลาด นึกถึงดวงตาที่อมยิ้มอย่างสดใสและชวนให้รู้สึกจั๊กจี้ และน้ำเสียงที่เหมือนจะตื่นเต้น…
เขาได้ยินเสียงเรียกเข้า ในขณะที่คิดว่าจะต้องรับโทรศัพท์ สติของเขาก็เลือนรางขึ้นเรื่อยๆ เขาได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองและเสียงหมาเห่าจากที่ไหนสักที่
เขากะพริบตาอย่างเชื่องช้า
และทุกอย่างก็มืดลง
***
ห้องพักผู้ป่วยมีกลิ่นเฉพาะตัว
มันเป็นความทรงจำที่คนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลมานานมี บางคนก็จำกลิ่นสะอาดๆ ที่ผสมกันระหว่างกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อกับกลิ่นยาได้ บางคนก็จำกลิ่นของสิ่งสกปรกกับกลิ่นเหม็นอับที่ออกมาจากตัวของคนไข้ได้ แต่สำหรับอินซอบมันคือกลิ่นดอกไม้ ไม่ใช่กลิ่นพวกนั้น แม่มักจะเอาดอกไม้มาวางไว้ที่ห้องพักผู้ป่วยเสมอเพื่อลูกชายที่กลัวโรงพยาบาล ถ้าเขาได้กลิ่นดอกไม้ทุกครั้งที่ได้สติ เขาก็จะสบายใจว่าคราวนี้ตัวเองยังไม่ตาย
“…”
แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ได้กลิ่นดอกไม้ ดังนั้นอินซอบจึงลืมตาขึ้นมาและต้องคิดว่าที่นี่คือที่ไหนอยู่พักใหญ่
“คุณอินซอบ ฟื้นแล้วเหรอคะ”
ยุนอารึมรู้ว่าอินซอบฟื้นแล้ว และลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ของคนเฝ้าไข้
“ที่นี่คือโรงพยาบาลค่ะ ฉันเรียกรถฉุกเฉินมาเพราะเห็นว่าคุณล้มลงไปแล้วน่ะค่ะ ฉันโทรศัพท์หาคุณแล้ว แต่คุณไม่ยอมรับ พอลองเดินไป เพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์จากที่จอดรถ ก็เลยเห็นว่าคุณล้มพับอยู่”
“…ขอโทษครับ”
อินซอบนึกถึงเสียงของยุนอารึมที่เอ่ยเรียกตนในความทรงจำที่เลือนราง
“ขอโทษอะไรกันคะ ทำไมคนที่เจ็บจนล้มพับไปจะต้องมาขอโทษด้วย”
“แล้วเจ้าคงล่ะครับ”
เขาได้ยินเสียงหมาเห่าอยู่หลังเสียงของยุนอารึมด้วย ยุนอารึมถอนหายใจก่อนจะเอ่ยตอบ
“ถามหาเจ้าคงตอนนี้เหรอคะ คุณพ่อมาพากลับไปเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ แถมคุณพ่อยังสั่งให้ติดต่อไปบอกตอนที่คุณอินซอบฟื้นแล้วด้วย เดี๋ยวฉันจะส่งข้อความไปหาท่านนะคะ คุณพ่อเป็นห่วงคุณมากเลย”
ยุนอารึมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความ
“ขอโทษด้วยครับ เพราะผมแท้ๆ…”
“ไม่เป็นหรอกค่ะ อ้าว คุณพ่อโทรมาพอดีเลย ขอโทรศัพท์สักครู่นะคะ”
ยุนอารึมรับโทรศัพท์
“ค่ะพ่อ ผลตรวจที่แน่ชัดยังไม่ออกเลยค่ะ แต่คุณหมอบอกว่าน่าจะเป็นเพราะความเครียดนะคะ ไม่ต้องห่วงค่ะ เขาจะต้องไปเป็นอะไรแน่นอน”
พอสบตากันในขณะที่คุยโทรศัพท์ ยุนอารึมก็ยิ้มกว้างมาให้ อินซอบรู้ได้ในทันทีว่าคำว่าจะต้องไม่เป็นไรนั้นเป็นคำปลอบใจใคร
“เดี๋ยวหนูจะติดต่อไปใหม่นะคะ”
พอวางสาย ยุนอารึมก็มองอินซอบก่อนจะพูดต่อ
“ใครๆ ก็เป็นโรคเครียดกันทั้งนั้นแหละค่ะ ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ ช่วงนี้ฉันเองก็เป็นโรคกระเพาะเพราะมัวแต่เรียนหนังสือเหมือนกัน”
เธอคงได้ฟังที่คุณหมออธิบายเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเขาแล้ว อินซอบรู้สึกขอบคุณในความเอาใจใส่ที่อ่อนโยนของเธอที่พยายามทำเป็นไม่รู้
“ขอบคุณจริงๆ นะครับ”
อินซอบขอบคุณคนที่เป็นห่วงตนจากใจจริง
“แต่พักงานไปสักระยะน่าจะดีกว่านะคะ…”
“ผมคิดว่าจะทำถึงแค่เดือนนี้ครับ”
เธอถอนหายใจ
“เงินก็ดีค่ะ แต่สุขภาพต้องมาก่อน อย่าหักโหมเกินไปสิคะ”
“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง ผมจะจัดการให้ดีครับ”
แม้เขาจะไม่ได้ทำงานเพราะเงิน แต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายสถานการณ์นั้นอย่างละเอียดให้เธอฟังได้
“แล้วไม่ติดต่อครอบครัวเหรอคะ”
อินซอบเคยบอกความจริงว่าครอบครัวทั้งหมดของเขาอยู่ที่อเมริกาไปแล้วก่อนหน้านี้
“…ผมไม่อยากทำให้พวกเขาเป็นห่วงน่ะครับ”
ถ้าพ่อแม่รู้ความจริงว่าเขาทรุด พวกท่านจะต้องสั่งให้เขากลับอเมริกาทันทีอย่างแน่นอน แม้จะเป็นพ่อแม่ที่เข้าใจและยืดหยุ่นมากในเรื่องอื่น แต่ท่านเข้มงวดกับปัญหาที่เกี่ยวกับสุขภาพของลูกชายมาก เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาไม่อยากทำให้พ่อแม่เป็นห่วงอีกรอบ
“คุณกลับไปก็ได้นะครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบกลับบ้านเถอะครับ”
“ต้องรอเปลี่ยนเวรกับคนเฝ้าไข้คนต่อไปก่อนสิคะ จะทิ้งคนป่วยกลับไปเฉยๆ ได้ยังไงกัน ฉันจะได้เจอแฟนของคุณอินซอบในคราวนี้แหละค่ะ”
อินซอบไม่ตอบอะไรกับคำพูดที่หญิงสาวพูดอย่างล้อเล่น ยุนอารึมที่รู้ความหมายที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่หลังความเงียบแปลกๆ นั้นเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่เรียกแฟนมาเหรอคะ”
“…เหมือนจะมาไม่ได้น่ะครับ”
เขาไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรียกอีอูยอนมา
“ถึงอย่างนั้นก็ลองติดต่อไปสักครั้งไม่ดีกว่าเหรอคะ ถ้ามารู้ทีหลัง เขาอาจจะเสียใจกว่าก็ได้นะคะ”
“ไม่หรอกครับ ไม่เป็นไร ไม่บอกให้รู้น่าจะดีกว่าครับ”
พออินซอบทำหน้าเคร่งขรึมและส่ายหน้า ยุนอารึมก็คิดอะไรบางอย่างอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวังมากกว่าเมื่อกี้หลายเท่า
“นี่อาจจะเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าของฉันเองก็ได้ค่ะ ถ้าไม่ใช่ก็บอกว่าไม่ใช่ได้นะคะ ฉันไม่คิดที่จะเอาไปพูดที่ไหนหรอก…”
อินซอบกระสับกระส่ายไปครู่หนึ่ง เพราะการเกริ่นที่ยืดเยื้อไม่สมเป็นอีกฝ่าย
“หรือว่าคนที่คบอยู่เป็นดาราคะ”
[1] แบงค์ใหญ่ เป็นคำเปรียบเทียบที่ใช้เวลาจ่ายเงิน หรือของตอบแทนใต้โต๊ะ