“ให้คุณชายห้าช่วยงาน?” สืออีเหนียงวางเสื้อผ้าที่สวีลิ่งอี๋เปลี่ยนลงบนเก้าอี้ข้างๆ นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่ตกใจ
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “นอกจากจะให้ฟั่นเหวยกังและหวังลี่ช่วยกวนน้ำให้เป็นโคลนแล้ว ข้ายังให้น้องห้าบอกสหายของเขาทำให้มันวุ่นวายอีกสักหน่อย”
สืออีเหนียงหัวหมุนอย่างรวดเร็ว
ฟั่นเหวยกังและหวังลี่ล้วนแต่เป็นขุนนางคนสำคัญของฮ่องเต้ แล้วยังเป็นสหายคนสนิทของสวีลิ่งอี๋ ให้พวกเขาเขียนฎีกาถวายแด่องค์ฮ่องเต้ แต่ไม่สามารถบอกลายละเอียดลึกเกินไป ไม่เช่นนั้น จะทำให้ฮ่องเต้ทรงคิดว่าพวกเขานั้นรวมหัวกันได้
แต่สวีลิ่งควนไม่เหมือนกัน หนึ่งคือ เขาเป็นน้องชายของสวีลิ่งอี๋ สองคือ ถึงแม้ว่าสหายของเขาจะเป็นคนมีการศึกษา โดยส่วนมากนั้นยังเป็นบุตรของผู้ลากมากดี ให้พวกเขาทำให้เรื่องมันวุ่นวายมากขึ้น ในสายตาของคนอื่นจะได้คิดว่าสวีลิ่งควนกำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพี่ชายของตัวเอง ทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เกรงว่าผลที่ได้คงจะดีกว่าฟั่นเหวยกังและหวังลี่เป็นร้อยเท่า
ตอนที่สวีลิ่งอี๋พูดประโยคนี้ เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
เมื่อก่อนเรื่องของครอบครัวเขาเป็นคนรับผิดชอบเองทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะพิจารณาว่าพี่สาม สวีลิ่งหนิงเป็นคนซื่อสัตย์ น้องห้า สวีลิ่งควนอายุยังน้อย ก็ล้วนแต่ไม่ใช่คนที่เหมาะสม แต่สาเหตุที่สำคัญก็คือเขาคิดว่าในเมื่อตัวเองได้รับตำแหน่งบรรดาศักดิ์ ตนก็ควรเป็นคนรับผิดชอบดูแลครอบครัว ดูแลพี่ชายน้องชาย ดูแลญาติพี่น้อง แต่แค่คิดไม่ถึงว่า เรื่องราวต่างๆ ไม่ได้เป็นไปตามที่ใจหวัง ตัวเองรับผิดชอบเองมากแค่ไหน ความสัมพันธ์ของพี่น้องก็ยิ่งห่างเหินมากขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงสวีลิ่งหนิงที่ไม่ทำอะไรเลย สวีลิ่งควนก็เอาแต่ก่อเรื่อง เขาชกหมัดด้วยมือสองข้าง ถึงแม้ว่าจะชกได้อย่างสะใจ แต่ในค่ำคืนที่เงียบสงัด โดดเดี่ยวเดียวดาย เขาก็มักจะรู้สึกเหนื่อยล้าและสับสน
ต่อมาได้รับคำตักเตือนจากสืออีเหนียง เรื่องแรกคือ ถือโอกาสเรื่องข้าวราเปิดอกคุยกับสวีลิ่งหนิง ทำลายช่องว่างที่มองไม่เห็นและจับไม่ได้ระหว่างพวกเขา แล้วยังให้ถือเอาสวีลิ่งควนมาเป็นเพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือทุกอย่าง ใช้กลยุทธ์พิชิตใจเหล่าแม่ทัพที่ไม่ยอมเชื่อฟังในช่วงที่เเคว้นผิงเหมียวเกิดความวุ่นวาย คำพูดประโยคเดียวนั้นไม่เพียงแต่ทำให้เขารู้สึกละอายใจ แล้วยังทำให้เขายอมรับผิดด้วยตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เขาทบทวนคำพูดและการกระทำที่ผ่านมาของตัวเองอย่างจริงใจ
ตอนนั้นเขาจิตใจสั่นไหว
สวีลิ่งควนเปลี่ยนจากคนฉลาดหลักแหลมกลายเป็นบุตรผู้ลากมากดีที่รู้จักแต่เที่ยวเล่น นอกจากการสั่งสอนที่ไม่เข้มงวดแล้ว มันยังเกี่ยวข้องกับการที่ไท่ฮูหยินเอาแต่ตามใจเขาแต่ไม่เคยตั้งใจสั่งสอนเขาอย่างจริงจัง หากหาอะไรให้เขาทำบ้าง…
ความคิดนี้วาบขึ้นมา เขาจึงคิดว่าจะให้สวีลิ่งควนช่วยเขาทำอะไรสักอย่าง
เขาพูดเช่นนี้ สวีลิ่งควนก็รีบตบหน้าอกตอบรับทันที แล้วยังเสนอวิธีแก้ปัญหา ในบรรดาสหายของเขาใครมีนิสัยใจร้อน เหมาะสมที่จะโต้เถียงกับผู้คนในที่สาธารณะที่มีฝูงคนเยอะๆ ใครกลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย พูดถึงคนนั้นแล้วก็พูดถึงคนนี้ ทำให้เรื่องมันวุ่นวายมากขึ้น ใครไม่สนใจเงินทอง ใครที่ตราบใดมีเงิน เรื่องอะไรพวกเขาก็เต็มใจทำ…กลายเป็นเรื่องที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ตระเตรียมแผนการ พูดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เขาตกใจ คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งควนจะรู้จักสหายของตัวเองมากขนาดนี้
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ทำไมถึงยังคบค้าสมาคมกับคนพวกนั้น”
สวีลิ่งอี๋ไม่วางท่าทีเป็นพี่ชาย สวีลิ่งควนสัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรของเขา เขาจึงตอบกลับมาตรงๆ “ข้าไม่คบกับพวกเขาแล้วจะไปคบกับใคร แล้วอีกอย่าง ทุกคนก็แค่ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ไม่ได้คาดหวังว่าใครจะจริงใจกับใคร!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สนใจ แต่สายตากลับมีร่องรอยของการเยาะเย้ยตัวเอง
ทันทีทันใดนั้น เขาก็พูดไม่ออก
ความรู้สึกผิดในใจกลับไม่หายไปเสียที
ถือโอกาสตอนที่กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงเล่าให้สืออีเหนียงฟัง “เมื่อก่อนข้าเห็นแค่เขาชอบไปสำมะเลเทเมากับสหายของเขา ใครจะรู้ว่าเขาก็ไม่ได้มีความสุข…”
“ตอนนี้ท่านโหวรู้แล้วก็ไม่สายเกินไปเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อคลุมสีฟ้าที่ตัดใหม่ “แล้วอีกอย่างคุณชายห้าก็รู้ความลำบากของท่านโหว ความลำบากของสกุลสวี ต่อไปมีคุณชายห้าคอยช่วยเหลือท่าน ท่านก็จะได้กังวลใจน้อยลงเจ้าค่ะ”
“ช่วยงานข้า ข้าไม่กล้าคิด” สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจ “ข้าแค่หวังว่าต่อไปเขาจะไม่ก่อเรื่องก็พอใจแล้ว”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอา
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ทำท่าลังเลแล้วพูดว่า “หากเป็นเช่นนี้ ทุกคนคงจะบอกว่าคุณชายห้าเป็นคนบุ่มบ่าม เป็นคนไม่ได้เรื่อง เราควรบอกท่านซุนโหวผู้เฒ่าที่ตรอกหงเติงหรือไม่เจ้าคะ…”
ถึงแม้ว่านางจะเคยเจอกับท่านซุนโหวผู้เฒ่าแค่ครั้งเดียว แต่นางมักจะรู้สึกว่า การที่เขาสามารถเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างฮูหยินห้าได้ มันจะต้องไม่ง่ายดายขนาดนั้นแน่ๆ
“ไม่จำเป็น” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เจ้าอย่าเห็นว่าท่านซุนโหวผู้เฒ่าท่าทีเป็นมิตร แต่ในใจของเขารู้อยู่แล้ว เจ้าต้องรู้ว่า ไม่รู้ว่าฮ่องเต้คนก่อนเข่นฆ่าเหล่าขุนนางไปตั้งกี่คน แต่กลับไม่เคยแตะต้องเขาเลยแม้แต่น้อย”
ดูเหมือนว่า ตัวเองจะคิดถูกแล้ว
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า ช่วยสวีลิ่งอี๋จัดเสื้อผ้าแล้วตอบกลับ “ท่านโหวคิดได้รอบคอบมากเจ้าค่ะ ข้าขอแค่ครอบครัวปลอดภัยและสงบสุข มีกินมีใช้ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”
“ปลอดภัยและสงบสุข มีกินมีใช้…” สวีลิ่งอี๋หัวเราะ “นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หากเจ้าอยากจะสงบสุข เจ้าก็ต้องเจริญรุ่งเรืองอยู่ตลอด หากเจ้าอยากจะมีกินมีใช้ เจ้าก็ต้องมั่งคั่งอยู่ตลอด…” เขาพูดด้วยท่าทีทอดถอนใจ
สืออีเหนียงตกใจ
นางก็แค่หาเรื่องพูด คิดไม่ถึงว่าจะทำให้สวีลิ่งอี๋พูดเช่นนี้
ความเจริญรุ่งเรืองที่เขาพูดหมายถึงอำนาจ ความมั่งคั่งที่เขาพูดหมายถึงเงินทองใช่หรือไม่
ลองคิดดูแล้ว มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ไร้ซึ่งอำนาจใครเล่าจะมองเห็นหัว ในสังคมที่มีคำกล่าวที่ว่า ‘นายอำเภอล้มละลาย แม้แต่ขุนนางน้อยระดับเจ็ดก็ยังสามารถหาข้ออ้างกล่าวหาว่าเขาก่อกบฏได้’ ไม่มีเงินทอง ถึงแม้ว่าจะเป็นขุนนางระดับสามในราชสำนักก็อยู่ได้ด้วยเงินเดือนเหล่านั้น แต่หากไม่โลภมากจะมีกินมีใช้ได้เช่นไร หากโลภมากก็จะกลายเป็นคนไม่มีศีลธรรม ต่ำช้า ทำให้ผู้คนดูถูกเหยียดหยาม หากวันหนึ่งเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ก็จะไร้ซึ่งอำนาจ
ไม่รู้ว่ามีคนตั้งกี่คนที่ไล่ตามความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่ง จะว่าไปแล้ว…พวกเขาก็แค่อยากจะมีชีวิตที่สุขสบาย มั่นคงและปลอดภัย แต่เดินไปเรื่อยๆ ก็จะลืมความตั้งใจเดิม ลืมลำดับความสำคัญ กลายเป็นทาสของความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่ง หลงลืมไปว่าการที่ไล่ตามสิ่งของนอกกายพวกนี้เพียงเพราะว่าอยากให้ตัวเองมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น…
เช่นเดียวกับตน พยายามทำให้ตัวเองได้รับความไว้วางใจจากไท่ฮูหยิน พยายามอยากจะเป็นคนที่สวีลิ่งอี๋รักและเคารพ แต่เป้าหมายสุดท้ายก็แค่อยากจะใช้ชีวิตที่สุขสบาย แต่ก่อนหน้านี้ ตนต้องมีคุณสมบัติที่สามารถมีชีวิตที่สุขสบายเสียก่อน
คิดเช่นนี้ สถานการณ์ของตัวเองก็คล้ายคลึงกับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋อยากให้สกุลสวีเป็นสกุลที่มั่งคั่งและสุขสบาย อย่างแรกเขาต้องมีคุณสมบัตินั้นก่อน
หากสกุลใดไม่มีคนที่มีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ หรือสกุลเหล่าขุนนาง ต่างก็ไม่มีใครมองเห็นหัวพวกเขา ถึงขั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น สกุลนั้นก็จะถูกกำจัดทิ้งเป็นสกุลแรก แต่หากสกุลใดมีท่านโหว มีขุนนางในราชสำนัก ฮ่องเต้ก็หวาดกลัวว่าพวกนั้นจะแอบควบคุมราชสำนัก สกุลขุนนางก็กลัวว่าหากมีอำนาจมากเกินไป ก็จะมีคนมาแย่งชิงผลประโยชน์ของตนเอง…ควรจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ของสกุลสวี
แต่หวังว่าสวีลิ่งอี๋จะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ หาจุดสมดุลให้เจอ ทำให้สกุลสวีได้หยัดยืนอย่างมั่นคง
นางครุ่นคิด จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ค่อยมีประสบการณ์ ไม่รอบรู้เท่าท่านโหวเจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” สวีลิ่งอี๋ ยิ้มแล้วจัดเสื้อผ้าของตัวเอง “เจ้าเป็นคนอ่อนโยน ถกเถียงกับคนอื่นไม่เก่ง จึงไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้”
สืออีเหนียงตกใจ
นางแค่คิดว่า เรื่องบางเรื่องจะรีบร้อนไม่ได้ ทำไมถึงทำให้สวีลิ่งอี๋คิดว่านางเป็นคนอ่อนโยน…
สืออีเหนียงยังไม่ทันได้คิดต่อ สวีลิ่งอี๋ก็เปลี่ยนเรื่อง “เรียบร้อยแล้วหรือยัง หากเรียบร้อยแล้วก็ไปที่เรือนท่านแม่กันเถิด” พูดจบก็หันหลังเดินออกไป
นางรีบตอบรับแล้วเดินตามออกไป
เห็นว่าอี๋เหนียงทั้งสามคนมากันครบแล้ว สืออีเหนียงก็สวมเสื้อคลุมแล้วบอกให้หู่พั่วอุ้มสวีซื่อเจี้ย จากนั้นก็พากันไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ครั้งนี้พวกเขามาถึงก่อนเวลา ไท่ฮูหยินกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่
จุนเกอรออยู่ที่ห้องโถงแล้ว เขาคำนับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง แต่สายตากลับจ้องมองไปที่สวีซื่อเจี้ย
สืออีเหนียงรู้ว่าเขากลัวสวีลิ่งอี๋ อยากจะเล่นกับสวีซื่อเจี้ยแต่กลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่พอใจ นางจึงชวนสวีลิ่งอี๋ไปนั่งที่ห้องทางทิศตะวันออก “เราไปรอคุณชายสามและคนอื่นๆ ที่นั่นเถิดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าในห้องมีแค่มีสตรีและเด็กๆ เขาก็รู้สึกเบื่อ จึงไปรอที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
จุนเกอวิ่งไปหาหู่พั่ว “เจี้ยเกอเอ๋อร์ เร็ว ข้ามีของให้เจ้า” เขาพูดด้วยสายตาที่พอใจ
แต่สวีซื่อเจี้ยกลับไม่มองจุนเกอเลยแม้แต่น้อย
จุนเกอผิดหวัง มองไปที่สืออีเหนียง ราวกับกำลังถามว่า เหตุใดเขาถึงไม่เล่นกับตน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพาสวีซื่อเจี้ยไปหาจุนเกอ จากนั้นก็พูดอย่างอ่อนโยน “นี่คือพี่สี่ของเจ้า ต่อไปเจ้าต้องเรียกเขาว่าพี่สี่”
สวีซื่อเจี้ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เรียกเบาๆ ว่า “พี่สี่”
ถึงแม้ว่าเสียงจะเบาแต่มันไพเราะเป็นอย่างมาก
จุนเกอตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นพูดกับสืออีเหนียง “เสียงของน้องห้าไพเราะกว่านกแก้วอีกขอรับ”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น โชคดีที่จุนเกอชื่นชมเขาจริงๆ ไม่ได้แฝงนัยอะไร เขาหยิบห่อกระดาษน้ำมันเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วพูดว่า “หากเจ้าเรียกข้าว่าพี่สี่ ข้าจะนำขนมวัวซือถังที่ทำจากน้ำกุหลาบให้เจ้า” พูดจบก็แกะห่อกระดาษน้ำมัน เผยให้เห็นขนมวัวซือถังที่แวววาวราวกับคริสตัลสีแดงดอกกุหลาบ
ไม่ต้องพูดถึงสวีซื่อเจี้ยที่อายุยังน้อย แม้แต่เหวินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงก็มองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น มีแต่ฉินอี๋เหนียงที่มองออกไปข้างนอกแล้วพึมพำ “ทำไมคุณชายน้อยสองถึงยังไม่มา”
สวีซื่อเจี้ยถูกขนมซื้อไปแล้วจริงๆ เขามองไปที่ขนมนั้นแล้วเอ่ยเรียกจุนเกอว่า “พี่สี่” อย่างรวดเร็ว
จุนเกอยิ้มหน้าบาน แล้วหยิบขนมออกมาให้สวีซื่อเจี้ย
ใครจะรู้ว่าสวีซื่อเจี้ยไม่พอใจ ยัดขนมเข้าไปในปากแล้วยื่นมือออกมาขอจุนเกออีก
จุนเกอเห็นเช่นนี้ก็หยิบออกมาให้เขาอีก
สวีซื่อเจี้ยกำมันไว้ในมืออย่างแน่นหนา จากนั้นก็ยื่นมืออีกข้างออกไป
จุนเกอลังเล ก่อนที่จะหยิบขนมออกมาหนึ่งห่อแล้วครุ่นคิด หยิบออกมาอีกสองสามห่อ จากนั้นก็เอาที่เหลือให้สวีซื่อเจี้ยทั้งหมด
สวีซื่อเจี้ยรีบเก็บขนมไว้ในอ้อมแขนของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ทุกคนในห้องต่างพากันหัวเราะพวกเขา
จุนเกอก็หัวเราะอย่างมีความสุข เขาจับมือสวีซื่อเจี้ยแล้วพูดว่า “ข้ายังมีขนมกุ้ยฮวา ทางพระราชวังมอบให้มา” พูดจบก็จะพาสวีซื่อเจี้ยไปที่เรือนของตัวเอง
ท่านป้าที่อยู่ข้างๆ รีบห้ามเอาไว้ “คุณชายน้อยของบ่าว ประเดี๋ยวก็จะทานอาหารส่งท้ายปีเก่าแล้ว จะปล่อยให้ไท่ฮูหยินรอไม่ได้นะเจ้าคะ รอให้ทานอาหารเสร็จแล้ว ท่านค่อยไปหาขนมกุ้ยฮวามาให้คุณชายน้อยห้าก็ไม่สายเจ้าค่ะ”
ขณะที่เขาพูด คุณชายสามและฮูหยินสามก็เห็นสวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี่ยนเข้ามา
ฉินอี๋เหนียงที่ยืนอยู่ข้างหลังสืออีเหนียงถอนหายด้วยความโล่งอก
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ทุกคนต้องมาทานอาหารส่งท้ายปีเก่าด้วยกัน จะมาสายไม่ได้ มิฉะนั้น จะทำให้ผู้อาวุโสไม่ประทับใจ