เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่มีทางคิดถึงน้ำพุจิตวิญญาณในตัวลู่เจียวได้อย่างแน่นอน เขาคิดเพียงว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ร้ายกาจได้เพียงนี้เพราะลู่เจียวคิดค้นยาอะไรสักอย่างให้เด็กๆ กิน ดังนั้นพวกเขาจึงได้ร้ายกาจเช่นนี้
ลู่เจียวเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นมองมาก็ไม่ทันได้คิดอะไรมาก ตอนนี้นางสนใจแต่เจ้าหนูน้อยทั้งสี่อยู่
ลู่เจียวมองไปยังอาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือ ถามอย่างห่วงใยว่า “เด็กอีกสองคนมีอะไรพิเศษอีกหรือไม่”
อาจารย์พานยิ้มกล่าวว่า “ซานเป่าให้ความสนใจวิชาการแพทย์อย่างมาก เขาพูดถึงยาสมุนไพรหลายตัวออกมาได้ และยังพูดถึงคุณสมบัติของสมุนไพรได้ด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือเขายังรู้ว่าอาการป่วยบางอย่างจะรักษาอย่างไร”
ลู่เจียวรู้ว่าเป็นเพราะตอนนางรักษาผู้ป่วย นางพาพวกเขาไปด้วย คิดไม่ถึงว่าซานเป่าจะแอบจดจำเอาไว้ได้
ดูท่าวันหน้าลูกคนนี้ก็คิดจะเรียนหมอตามนางแล้ว เช่นนี้ก็ไม่เลว วันหน้าแคว้นต้าโจวก็จะมีหมอที่ร้ายกาจอีกคนหนึ่งแล้ว
ลู่เจียวยิ้ม อาจารย์พานกล่าวต่อว่า “ซื่อเป่าคำนวณตัวเลขได้เก่งกาจมาก ก่อนหน้านี้ลู่เหนียงจื่อสอนพวกเขาคำนวณ เขาไม่ต้องใชพู่กันก็สามารถคำนวณในใจออกมาได้ ความเร็วยังน่าตกใจยิ่งอีกด้วย”
ลู่เจียวคิดถึงว่าซื่อเป่ามีใจคิดหาเงิน ก็อดยกมือกุมขมับไม่ได้
“เจ้าลูกคนนี้คิดแต่จะหาเงิน เอาเถอะ ก็นับว่าได้สมดังที่เขาต้องการแล้ว”
คำพูดลู่เจียวทำให้สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ในใจเขารู้สึกสับสน
ซื่อเป่าเป็นบุตรชายอ๋องเยียน และยังฉลาดถึงเพียงนี้ หากอ๋องเยียนรู้เข้าย่อมพาเขากลับไป ถึงตอนนั้นลู่เจียวจะเสียใจไหมนะ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกว่าสักวันเรื่องนี้ต้องเปิดเผย ดังนั้นเขาควรต้องหาโอกาสบอกลู่เจียวสักหน่อย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังครุ่นคิด ลู่เจียวเห็นสีหน้าเขาไม่ถูกต้องนัก ก็ถามอย่างห่วงใยว่า “ทำไมหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบยิ้มตอบว่า “ข้าฟังจนอึ้ง คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ของเราจะร้ายกาจถึงเพียงนี้”
ลู่เจียวเองก็พยักหน้าอย่างดีใจ “ถูกต้อง นี่คือวาสนาของพวกเขา”
การได้พบกับนางไม่ใช่วาสนาของพวกเขาหรือ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่เจียวลุ่มลึก จากนั้นก็หันหน้าไปขอบคุณอาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือ
“ขอบคุณอาจารย์ทั้งสองมากที่มาบอกเรื่องนี้กับพวกเรา”
อาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือลุกขึ้น ส่ายหน้ากล่าวว่า “พวกเราเห็นคุณค่าผู้มีความสามารถ ไม่อยากให้ความสามารถเด็กทั้งสี่ถูกบดบัง”
อาจารย์พานมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว กล่าวว่า “ในเมื่อพวกเด็กๆ ฉลาดเช่นนี้ ตอนนี้คุณชายกับเหนียงจื่อควรหาอาจารย์บัณฑิตผู้มีความรู้ลุ่มลึกมาสอนพวกเขาให้ดี วันหน้าแคว้นต้าโจวต้องตกตะลึงกับความสามารถพวกเขา”
ลู่เจียวรีบกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ตอนนี้พวกเราผู้เป็นบิดามารดาต้องการแค่ให้ลูกๆ มีความสุข รอไว้พวกเขาหกขวบก่อน เราค่อยเชิญอาจารย์บัณฑิตผู้มีความรู้ลุ่มลึกมาสอน ตอนนี้ก็ให้พวกเขามีวัยเด็กที่มีความสุขไปก่อน”
อาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือเดิมก็กำลังเสียใจ หากตระกูลเซี่ยไปเชิญอาจารย์บัณฑิตมาเป็นอาจารย์สอนเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้พวกเขาสอนแล้ว
ปรากฏกลับได้ยินลู่เจียวกล่าวเช่นนี้ แม้ทั้งคู่แอบนึกเสียดาย แต่ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
หากตระกูลเซี่ยไม่เชิญอาจารย์บัณฑิตมาสอนเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ เช่นนั้นพวกเขาก็จะสอนเด็กๆ ต่อไปได้ และทั้งสองคนคิดให้ดีแล้วก็รู้สึกว่าลู่เจียวทำได้ถูกต้องมาก เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ฉลาดมาก แม้เริ่มเรียนความรู้พื้นฐานตอนหกขวบก็ทัน หากพวกเขามีชีวิตวัยเด็กที่ดี ก็ถือเป็นความทรงจำอันงดงามที่สุดในชีวิต
อาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือไม่เกลี้ยกล่อมต่อ กล่าวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นและลู่เจียวอีกสักครู่ก็ขอตัวกลับ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวทั้งสองคนขอบคุณอาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือด้วยความจริงใจ ที่พวกเขาที่รีบมาบอกพวกเขาเรื่องเจ้าหนูน้อยทั้งสี่
พอพวกเขาไปแล้ว เซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันยื่นมือไปดึงลู่เจียวไว้
“เจียวเจียว แม้ว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่จะฉลาด แต่ก็ไม่ได้ถึงระดับนี้ ตอนนี้พวกเขาฉลาดเช่นนี้ เพียงผ่านตาก็ไม่ลืมเพราะเจ้าปรุงยาอะไรให้พวกเขาใช่หรือไม่”
ลู่เจียวได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่น ก็เงยหน้ามองเขาอย่างแปลกใจ แต่ในใจกลับรู้สึกกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
ตอนนี้นางไม่อยากเล่าเรื่องน้ำพุจิตวิญญาณ ในเมื่อเซี่ยอวิ๋นจิ่นสงสัยว่านางจัดยาให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่
ลู่เจียวก็ไม่ปฏิเสธ นางมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้เป็นห่วง สิ่งนั้นไม่ได้ส่งผลร้ายต่อสุขภาพลูกๆ มีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มดึงลู่เจียวมากอด
“ข้าเชื่อใจเจียวเจียว ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งเจ้ามาให้พวกเราพ่อลูก ขอบคุณมาก”
ทั้งสองคนกอดกันเงียบๆ ในใจรู้สึกยิ่งสนิทชิดใกล้กันมากขึ้น
ลู่เจียวซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ครู่หนึ่งก็พลันคิดถึงสติปัญญาฉลาดเฉลียวของเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ทำเอานางอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“พวกเราไปดูเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กัน”
ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็อยากจะรีบไปพบบุตรชายทั้งสี่ของเขา ดังนั้นจึงปล่อยลู่เจียว เปลี่ยนไปจูงมือนางแทน ทั้งสองคนจูงมือกันเดินออกจากห้องไป
นอกห้อง พวกเฝิงจือกับหร่วนจู๋อดยิ้มให้กันไม่ได้
คุณชายกับเหนียงจื่อรักใคร่ปรองดองกันจริงๆ
ในฐานะบ่าวรับใช้ ก็ย่อมอยากให้เจ้านายทั้งสองรักใคร่ปรองดอง พอเห็นเช่นนี้ บ่าวรับใช้เช่นพวกนางเองก็ดีใจ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวไม่ได้สนใจผู้อื่น จูงมือกันเดินไปเรือนด้านหลัง
ณ ห้องนอนฝั่งตะวันตกในเรือนด้านหลัง เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กำลังเล่นกันอยู่ในห้อง
เอ้อร์เป่ากดซื่อเป่าไว้ให้ต้าเป่ากับซานเป่าจักจี้เขา
ต้าเป่ากับซานเป่ารีบจักจี้ซื่อเป่าทันที ซื่อเป่าส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก แต่ก็ไม่คิดหลบ เพราะเขาไม่ใช่พวกบ้าจี้ ก็แค่อดทนเอาหน่อยก็เท่านั้น
ซื่อเป่าหัวเราะไปก็กล่าวอย่างได้ใจไปว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่บ้าจี้ พวกเจ้าไม่เชื่อเอง ข้าไม่กลัว”
สีหน้าเอ้อร์เป่าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “เช่นนี้ไม่ถูกต้องนะ ทำไมพวกเราสามคนกลับจักจี้ แต่ซื่อเป่าไม่”
ต้าเป่ากับซานเป่ายังไม่ยอมเชื่อ ยื่นมือไปจักจี้ต่ออีกสองสามที
ซื่อเป่าหัวเราะเบิกบานยิ่ง แต่ก็ไม่ได้จักจี้ขนาดนั้นจริงๆ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่นอกประตู ได้ยินเสียงเด็ก ๆ คุยกันในห้อง สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนหันไปมองลู่เจียวด้วยสัญชาตญาณทันที
ลู่เจียวไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของเขา ก้าวเข้าไปในห้องเด็กๆ พลางส่งยิ้มให้พวกต้าเป่า
“บางคนก็บ้าจี้ บางคนก็ไม่ ไม่มีอะไรแปลก”
ต้าเป่าเองก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เพียงแต่เขานึกแปลกใจว่าทำไมพวกเขาสามคนล้วนบ้าจี้ มีแต่ซื่อเป่าไม่เป็น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลัวพวกเขาจะครุ่นคิดเรื่องนี้แล้วพบอะไรขึ้นมาก็รีบก้าวเข้าไปยิ้มมองแฝดสี่กล่าวว่า “ดึกแล้วไม่ยอมนอน เล่นกันอย่างนี้เหงื่อจะออกอีกนะ”
เอ้อร์เป่ารีบตอบว่า “ตอนนี้ไม่ร้อนมาก ย่อมไม่มีเหงื่อ”
เขากล่าวจบก็ปล่อยมือที่กดซื่อเป่าไว้ พลิกตัวขึ้นนั่ง
ยามนี้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว “ท่านพ่อกับท่านแม่มาได้อย่างไร”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวมองไปยังเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ “ก่อนหน้านี้อาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือมาบอกว่าความจำพวกเจ้าดีมาก คิดอยากให้ท่านพ่อท่านแม่หาอาจารย์บัณฑิตมาสอนพวกเจ้า”
“ใช่ อาจารย์พานกับท่านอาจารย์ซือบอกว่าพวกเจ้าเก่งกาจมาก”
แม้ว่าเป็นคำชม แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่ค่อยดีใจ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่หันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวทันที “เช่นนั้นพวกเราวันหน้าก็ต้องเริ่มเรียนพื้นฐาน เรียนสี่คัมภีร์ห้าตำรา ไม่เรียนแบบเมื่อก่อนแล้วใช่หรือไม่”