“…!”
เขาควรจะปฏิเสธทันที แต่กลับพลาดไป พอยุนอารึมเห็นว่าหน้าของอินซอบซีดเผือดด้วยความลำบากใจ เธอก็รีบพูดต่อ
“ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันไม่ได้จะเอาไปพูดที่ไหน แล้วก็ไม่ได้สงสัยด้วยว่าเป็นใคร”
เขารู้ว่าเธอไม่ได้เป็นคนแบบนั้น
“…ผมแสดงท่าทีอะไรแบบนั้นออกไปเหรอครับ”
ถึงจะระวังแล้วระวังอีกอยู่เสมอ แต่เขาก็กังวลว่าตัวเองอาจจะแสดงท่าทีอย่างนั้นออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ค่ะ ไม่เลย ฉันแค่คิดไปเองว่าเป็นแบบนั้นหรือเปล่าตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วล่ะค่ะ เพราะฉันเป็นพวกช่างสังเกตน่ะ”
ก่อนหน้านี้อินซอบเคยมาที่หน้าบ้านของยุนอารึมครั้งหนึ่ง และเวลาก็ค่อนข้างดึก แต่เขาบอกว่ามีเรื่องที่จะต้องพูดคุยต่อหน้า ยุนอารึมจึงสงสัยไม่น้อย อินซอบที่พบกันที่คาเฟ่หน้าบ้านกล่าวขอโทษที่ตนใช้ความมีน้ำใจของยุนอารึมทำพฤติกรรมที่ไม่ดี และพูดว่าเนื่องจากมีเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ไม่สามารถเล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้ฟังได้ แต่เขาได้เอารูปที่คุณยุนอารึมกอดแมวให้ใครบางคนดู และบอกว่าเธอคือคนที่คบอยู่
ยุนอารึมคิดว่าแปลก เพราะเธอไม่เคยส่งรูปของตัวเองให้แม้แต่ครั้งเดียว และเอ่ยถามว่าเป็นรูปแบบไหน อินซอบจึงยื่นรูปของโลอิสมาให้ทั้งที่ตัวสั่นเทา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเป็นรูปที่มีมือของหญิงสาวโผล่ออกมา เพราะกำลังอุ้มโลอิสอยู่
อินซอบบอกว่าเขามาแบบนี้ เพราะคิดว่าการมาเจอและขอโทษด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว และก้มหัวขอโทษเธออยู่หลายครั้ง ถ้าเขาไม่มาหาและบอกเธอ นี่ก็จะเป็นเรื่องที่ผ่านไปโดยที่เธอไม่รู้อะไรเลย เพราะมันเป็นรูปที่ไม่ได้เห็นหน้า แต่เห็นแค่มือ แถมยังไม่ได้บอกชื่อให้รู้ด้วย ยุนอารึมทอดสายตามองอินซอบที่ทำตัวไม่ถูกเหมือนคนที่ทำความผิดที่เลวร้ายที่สุดในโลกในขณะที่กล่าวขอโทษกับเรื่องแบบนั้น ถึงขนาดที่ตัวเธอที่ได้รับการขอโทษรู้สึกอยากแกล้งอินซอบ เพราะเขาตัวสั่นมาก
ตอนนั้นยุนอารึมกังวลว่าทำไมคนที่มีแฟนถึงพูดแบบนั้นมากกว่าที่จะรู้สึกอารมณ์ไม่ดี แต่เธอก็คิดว่าคงเป็นสถานการณ์ที่พิเศษนิดหน่อย และปล่อยผ่านไปโดยไม่ได้คิดให้ลึกลงไป แต่พอเอามาซ้อนทับกับเรื่องคราวนี้แล้ว มันก็เข้ากันได้อย่างพอดีกับความสงสัยที่หลงเหลืออยู่ในหัว
“แต่…”
ยุนอารึมถอนหายใจก่อนจะมองอินซอบ ความกังวลปรากฏบนใบหน้าอ่อนโยนของเธออยู่แวบหนึ่ง
“จะว่าฉันสอดรู้สอดเห็นก็ได้นะคะ แต่ว่าฉันเป็นห่วงคุณนิดหน่อยน่ะค่ะ”
ตอนที่เจอกันครั้งแรกเธอเข้ามาพูดด้วยเพราะสนใจในรสนิยมที่ชอบอ่านหนังสือของอีกฝ่าย แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เธอก็ให้ความสนใจเขาในความหมายที่ต่างออกไปนิดหน่อย
ชเวอินซอบเป็นคนดีและมีนิสัยอ่อนโยนติดตัวมาตั้งแต่เกิด เธอสามารถรู้ได้แม้จะไม่ได้พูดกันเยอะ คนคนนี้มองโลกด้วยสายตาที่อ่อนโยนขนาดไหนนะ
ดวงตาที่กลมโตและใสแจ๋วของอินซอบทำให้เธอนึกถึงสัตว์ที่ไร้เดียงสา และท่าทีที่เขาปฏิบัติกับคนอื่นโดยไม่มีเจตนาอะไรไม่ดีทำให้เธอคิดแบบนั้นเป็นพิเศษ
ยุนอารึมเจอคนมามากในขณะที่ทำงานในวงการบันเทิง ที่นี่เป็นธุรกิจที่เกิดเรื่องที่คนธรรมดาจินตนาการได้ยากขึ้นมากมาย จึงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่ยุนอารึมซึ่งเจอกับเรื่องราวต่างๆ ในที่แห่งนั้นจนตัดสินใจลาออกจะเป็นห่วงอินซอบ
“มีคำพูดติดตลกที่ฉันได้ยินมาจากพวกรุ่นพี่ตอนทำงานอยู่นะคะ ว่าคนที่ไม่เคยคบกับดาราในระหว่างที่ทำงานอยู่ในแวดวงนี้คือชนชั้นสอง ส่วนคนที่เคยคบกับพวกดาราคือชนชั้นสาม”
“แล้วชนชั้นหนึ่งล่ะครับ”
“ก็คือคนที่ไม่ได้ทำงานอยู่ในแวดวงนี้น่ะสิคะ”
อินซอบหัวเราะอย่างอ่อนแรงให้กับคำพูดล้อเล่นของยุนอารึม เพราะเขาได้ยินคำพูดที่บอกว่าไม่ให้คบกับดารามาหลายครั้งแล้ว
“อันที่จริงฉันไม่เคยพูดกับใครเลยนะคะ แต่คนที่ฉันคบก่อนที่จะลาออกจากงานก็เป็นนักแสดงค่ะ”
“…”
อินซอบทำตาโต
“พอไปสัมภาษณ์แล้วเราก็ติดต่อกันอยู่สองสามครั้งน่ะค่ะ เราไปดื่มชา ดื่มเหล้าด้วยกัน แล้วก็ตกหลุมรักกัน เป็นเรื่องราวที่ธรรมดามากๆ แต่มันไม่ใช่ฉากจบหรอกนะคะ”
เธอยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะพูดต่อ
“จู่ๆ เขาก็ขาดการติดต่อไป ฉันเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่ค่อยได้ติดต่อกันถ้าเริ่มถ่ายละครแล้ว อยู่มาวันหนึ่งฉันก็เห็นข่าวที่ว่าคนคนนั้นจะแต่งงานลงบนหน้าหนึ่งของวงการบันเทิงค่ะ ตอนนั้นฉันยังคิดอยู่เลยว่าตัวเองไปตกลงวันแต่งงานกับคนคนนั้นตอนไหน แต่พอคลิกเข้าไปดูในข่าว ถึงได้รู้ว่าเขาจะแต่งกับคนอื่น”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจัง แต่เนื้อหาไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
“คงจะลำบากมากเลยสินะครับ”
“ค่ะ ลำบากมากเลยล่ะค่ะ ถึงขนาดที่น้ำหนักที่ไม่เคยลงเลยต่อให้ออกกำลังกายอย่างตั้งใจขนาดไหนลงไปตั้งสิบกิโลในหนึ่งเดือนแหนะ ความเหนื่อยล้าทางจิตใจเนี่ยเป็นการไดเอทที่เยี่ยมที่สุดจริงๆ”
อินซอบลังเลไปพักหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดปลอบใจแบบไหนดีก่อนจะเอ่ยปากพูด
“โชคดีแล้วล่ะครับที่ไม่ได้แต่งงานกับคนแบบนั้น คุณจะต้องเจอกับคนที่ดีกว่า”
ยุนอารึมคอยสังเกตว่าคนจะปกปิดเจตนาของตัวเองด้วยวิธีไหนมาเยอะในขณะที่ใช้ชีวิตเป็นนักข่าว แต่กลับไม่มีการแกล้งพูดหรือคำโกหกปกอยู่ในคำพูดที่ชเวอินซอบพูดเมื่อกี้นี้เลย ความบริสุทธิ์ใจปรากฏอยู่ดวงตากลมโตนั้น
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ การคบคนที่แย่กว่าคนคนนั้นก็จะยิ่งเหนื่อยสิคะ เพราะฉะนั้นถ้ามีคนดีๆ อยู่รอบๆ ตัวล่ะก็ ช่วยแนะนำให้ฉันด้วยนะคะ”
“ครับ ผมจะหาให้ครับ”
ยุนอารึมมองอินซอบที่ตอบอย่างจริงจังก่อนจะหัวเราะออกมา ไม่ว่าจะเป็นการพูดเล่นแบบไหน อีกฝ่ายก็จะคิดและรับฟังอย่างจริงจังโดยไม่ปล่อยผ่านไป นั่นเป็นวิธีที่ชเวอินซอบปฏิบัติกับคนอื่น
“ขอบคุณนะครับ ที่ตั้งใจเล่าให้ผมฟังทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจแท้ๆ”
อินซอบรู้ว่ายุนอารึมเปิดเผยถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ดีของตัวเองด้วยความหมายแบบไหน
“ฉันแค่เป็นห่วงเฉยๆ น่ะค่ะ ถ้าคนที่ใกล้ชิดที่สุดไม่สามารถมาได้ในสถานการณ์แบบนี้ก็ลำบากนะคะ ขอโทษทีนะคะ ที่รั้งคนป่วยเอาไว้”
“ไม่เลยครับ ผมต่างหากครับที่สร้างความเดือดร้อนให้อยู่เรื่อย ผมไม่รู้เลยครับว่าจะตอบแทนบุญคุณนี้ยังไง”
“จะตอบแทนยังไงล่ะคะ ก็ต้องตอบแทนด้วยการรีบหายสิคะ”
“ครับ ผมจะตอบแทนด้วยการรีบหายครับ อ้อ ผมจะคืนค่ารักษาพยาบาลให้ด้วย ส่งเลขบัญชีมาทางข้อความทีนะครับ”
“รีบอะไรอย่างนั้นล่ะคะ หรือว่าคุณอินซอบมีแผนจะงุบงิบเงินค่ารักษาพยาบาลเข้ากระเป๋าตัวเองแล้วหนีไปคะ”
“ไม่มีครับ ไม่มีเลยครับ”
“งั้นออกจากโรงพยาบาลแล้วค่อยคืนค่ะ”
ภาพของอินซอบที่พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจังทำให้ยุนอารึมหัวเราะออกมาออกมาอีกครั้ง อินซอบสำรวจยุนอารึมอย่างระมัดระวังเพราะคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า
“คุณอินซอบเคยได้ยินว่าตัวเองเหมือนลูกหมาบ้างไหมคะ ไม่รู้ทำไมฉันถึงคิดแบบนั้นทุกครั้งที่คุณอินซอบพยักหน้าเลย”
“ก็เคย…”
วันนี้อีอูยอนก็พูดคำพูดคล้ายๆ กันนี้ เขานึกถึงดวงตาของอีอูยอนที่ยิ้มพร้อมกับพูดว่าคุณอินซอบเหมือนหมา และคิดถึงอีกฝ่ายขึ้นมากะทันหัน
“ดูเหมือนเจ้าคงจะชอบคุณอินซอบเพราะแบบนั้น มันคงเข้าใจว่าเป็นพวกเดียวกัน”
“ผมเองก็ชอบเจ้าคงครับ…ถึงจะไม่ใช่พวกเดียวกันก็เถอะ”
คำพูดที่อินซอบพูดเสริมขึ้นมาเบาๆ ทำให้ยุนอารึมหัวเราะออกมาอีกครั้ง เธอทำหน้าเหมือนมองลูกสุนัขที่พูดได้ นาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังโผล่เข้ามาในสายตาของอินซอบที่หันหน้าหนีไปด้วยความเขินอาย
“กลับไปเถอะครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ”
“ฉันจะทิ้งคุณไว้คนเดียวได้ยังไงล่ะคะ ผลตรวจก็ยังไม่ออกมาเลยด้วย”
“อาจจะต้องเป็นวันพรุ่งนี้เลยนะครับกว่าที่ผลตรวจจะออก ผมจะเรียกคนรู้จักมาครับ อีกอย่างวันนี้เป็นวันสุดท้ายของอาเธอร์กับไอแซกแล้วด้วย คุณช่วยไปบอกให้พวกมันโชคดีแทนผมทีนะครับ”
“ก็ต้องโชคดีอยู่แล้วสิคะ งั้นฉันจะอยู่จนกว่าเพื่อนคุณจะมาดีไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ถ้าผมติดต่อไปอีกเดี๋ยวเขาก็มา ไม่ต้องเป็นห่วงก็ได้ครับ”
พอหญิงสาวไม่ลุกออกจากที่ไปง่ายๆ อินซอบก็เร่งเธอ
“งั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นต้องติดต่อมาทันทีนะคะ เข้าใจไหม”
อินซอบพยักหน้า
“ถ้าพรุ่งนี้ผลตรวจออกแล้วติดต่อมาด้วยนะคะ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
ยุนอารึมหันกลับมาดูอีกสองสามครั้งก่อนที่จะออกไปจากห้องพักผู้ป่วย เพราะเธอไม่มีใจที่อยากจะทำแบบนั้นเลยสักนิดเดียว อินซอบขยับมือสั่งให้เธอรีบไป หลังจากนั้นไม่นานประตูห้องพักผู้ป่วยก็ปิดลง
อินซอบถอนหายใจยาวเหยียดและนอนลงบนเตียงตามเดิม ท้องที่โดนคังยองโมต่อยเจ็บแปลบและปวด พอเขาเลิกชุดคนไข้ขึ้น ก็ยังมีรอยช้ำแดงๆ เหลืออยู่
ถ้าบอกว่าล้ม เขาคงจะไม่เชื่อ
เขารู้สึกมืดมนว่าจะต้องอธิบายเรื่องนี้กับอีอูยอนอย่างไรดี ความคิดที่โผล่เข้ามาในหัวทำให้เขารื้อโต๊ะข้างเตียงเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ อีอูยอนอาจจะติดต่อมาก็ได้
“ยุ่งอยู่เหรอ…”
ไม่มีข้อความตอบกลับให้กับข้อความที่ถามว่ากลับบ้านอย่างปลอดภัยไหมด้วยซ้ำ อินซอบลังเลก่อนจะส่งข้อความหาอีอูยอนอีกครั้ง
[ชเวอินซอบนะครับ ผมลืมว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่ผมมีตรวจโรคที่โรงพยาบาล ขอโทษด้วยนะครับ พรุ่งนี้ผมคงจะไปทำงานไม่ได้ ผมจะติดต่อกรรมการผู้จัดการคิมกับคิมคังอูไปต่างหากเองครับ เจอกันวันมะรืนครับ]
เขาส่งข้อความหากรรมการผู้จัดการคิมและคิมคังอูตามลำดับ ทั้งสองคนตอบกลับมาคล้ายๆ กันทันทีว่าไม่ต้องห่วงเรื่องงาน ให้รับการตรวจและพักผ่อนให้เต็มที่
แต่คราวนี้อีอูยอนก็ไม่ตอบอะไรกลับมาเหมือนเดิม
“ยุ่งมากเลยเหรอ”
อินซอบวางโทรศัพท์มือถือลงบนตู้เก็บของตามเดิม และใช้มือกดตรงบริเวณหน้าอก เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เขากังวลว่าเกิดเรื่องผิดปกติกับร่างกายหรือเปล่า
อินซอบวางมือตรงหน้าอก หายใจเข้าลึกๆ และพ่นลมหายใจออกมาอยู่หลายครั้ง
เขาได้ยินคำพูดที่ว่าเขาจะอยู่ได้ไม่นานอยู่บ่อยๆ ดังนั้นตอนเด็กๆ เขาจึงไม่เชื่อในพระเจ้า เพราะเขาคิดว่าถ้าพระเจ้ามีจริง ท่านคงไม่มีทางทำให้เขากลายเป็นของคุณภาพแย่แบบนี้ตั้งแต่แรก พอรู้ว่าลูกชายคิดแบบนั้น แม่ก็ไม่บังคับให้เขาเชื่อ แม่ทำเพียงแค่สวดมนต์อยู่ใกล้ๆ หัวของลูกชายเสมอก่อนที่จะนอนเท่านั้น
‘พระเจ้าคะ ขอบคุณนะคะที่มอบลูกคนนี้ให้ลูก’
ลูกที่ได้ยินคำภาวนาที่แฝงไปด้วยความจริงใจแบบนั้นและเติบโตขึ้นมาค่อยๆ เชื่อในพระเจ้า และผลลัพธ์ก็สมเหตุสมผล เพราะท่านทำให้ตัวเขาที่เป็นของคุณภาพแย่ได้เจอกับพ่อแม่ที่รักเขาขนาดนี้
อินซอบสวดมนต์บ้างเป็นบางครั้งก่อนจะเข้านอน เขาสวดขอเพื่อความสงบสุขของคนรอบๆ ตัว แต่ไม่เคยตั้งใจขอเพื่อตัวเองเลย เพราะสิ่งที่เขาได้รับในตอนนี้มากถึงขนาดนี้ และเขาจะได้รับโทษที่โลภมากขึ้นกว่านี้
อินซอบประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน และเริ่มสวดเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ไปนานๆ
“ลูกอยากอยู่อย่างสุขภาพดี และอยู่กับอีอูยอน…ไปนานแสนนาน”
อินซอบจงใจพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบา เพราะเขาคิดว่าคำพูดที่พูดต่อในตอนท้ายจะโลภมากเกินไปไหม ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ซื่อตรงของเขา
ตอนที่ทรุดลงไปก่อนหน้านี้ เขากลัวว่าถ้าไม่สามารถเจออีอูยอนได้อีกครั้งจะทำอย่างไรดีมากกว่ากลัวตายเสียอีก
‘คุณอินซอบ’
อินซอบชอบเวลาที่อีอูยอนเรียกชื่อตน แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ แต่อีอูยอนมักจะยิ้มตาหยีทุกครั้งที่เรียกชื่อของอินซอบ เขาเพิ่งจะได้รู้ถึงตายิ้มที่เหมือนจะเห็นแต่ก็ไม่เห็นของอีกฝ่ายเมื่อไม่นานมานี้เอง ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอีอูยอนแล้วล่ะก็ เขาจะพยายามค้นหาทุกอย่าง และเคยอดหลับอดนอนคอยตามติดอีกฝ่ายมาแล้ว มันเป็นช่วงที่เขามั่นใจในตัวเองว่ารู้จักอีอูยอนดีกว่าใคร
แต่ช่วงนี้เขากำลังรับรู้ว่าภาพของอีอูยอนที่ตนเองรู้จักเป็นแค่ส่วนเดียว เขามักจะใจเต้นและมีความสุขทุกครั้งที่ค้นพบท่าทางของอีกฝ่ายที่ไม่มีใครรู้ เป็นความรู้สึกที่อยู่ติดกับความหวง
นี่คือรักแรก แต่ความรู้สึกแบบนั้นที่แค่มองจากที่ไกลๆ ก็พอใจและรู้สึกมีชีวิตชีวานั้นหายไปนานแล้ว เขาอยากอยู่ในชีวิตของอีกฝ่าย เป็นความต้องการที่ชัดเจนจนตัวเขาเองยังตกใจ
ความเจ็บตรงท้องค่อยๆ กลับมา อินซอบใช้มือลูบท้องก่อนจะนอนลง เปลือกตาของเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์ยา
เราจัดการเรื่องคังยองโมยังไงดีนะ แล้วถ้าผลตรวจในวันพรุ่งนี้ออกมาไม่ดีจะทำยังไง ทำไมอีอูยอนถึงไม่ส่งข้อความมา ผมคิดถึง แล้วก็กลัว…
ความคิดต่างๆ เริ่มกระจัดกระจายไปพร้อมกับสติที่เหลือ