ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 2 เล่ม 3 ตอนที่ 5-9

ภาค 2 เล่ม 3 ตอนที่ 5-9

อินซอบร้องเอ๊ะเพราะรู้สึกว่าสายตาพร่าเลือนพร้อมกับนิ่วหน้า

“ตื่นแล้วเหรอครับ”

เสียงที่ได้ยินจากตรงหัวเตียงทำให้เขาลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ อีอูยอนกำลังนั่งยิ้มอยู่ตรงเก้าอี้ของคนเฝ้าไข้

“เอ่อ…”

เขาพูดไม่ออก เพราะตกใจมาก

“ผมได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลน่ะครับ ร่างกายคุณโอเคแล้วหรือยังครับ”

น้ำเสียงนั้นนิ่งและสุขุมไม่ต่างจากปกติ อินซอบได้แต่จ้องมองอีอูยอนโดยไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เพราะกำลังตกใจกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

“เป็นแบบนี้ได้ยังไงครับ”

“เอ่อ คือว่า คือ…ผะ ผมล้ม…”

เขาไม่กล้าบอกความจริงว่าเขาโดนคังยองโมอัดจนล้ม

“ล้มแบบนั้นเรื่อยๆ ได้ยังกันครับ”

“ขอโทษครับ”

“ความเจ็บปวดไม่ใช่ความผิดของคุณอินซอบนะครับ”

อีอูยอนห่มผ้าให้อินซอบพลางจัดผ้าห่มที่ยับยู่ยี่ให้เข้าที่และพูดต่อ

“แต่มันทำให้ผมรำคาญนิดหน่อยครับ”

“…”

“เพราะคุณเจ็บป่วยอยู่เรื่อย ผมก็เลยต้องคอยเป็นห่วงอยู่ตลอด”

แม้จะห่มผ้าอยู่ แต่อินซอบกลับรู้สึกหนาว

“ยิ่งไปกว่านั้นคือผมหงุดหงิดที่ไม่สามารถมีอะไรกับคุณได้ตามอำเภอใจด้วย สิ่งที่กวนใจผมมีเยอะเลยล่ะ”

อีอูยอนพูดแบบนั้นก่อนจะปรับท่าทางเพื่อนั่งลง เขาเพ่งมองอินซอบ แม้ตาจะยิ้ม แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนโดนจับผิด

“เรื่องพวกนี้ทำให้ผมเบื่อขึ้นเรื่อยๆ”

ภายในหัวของอินซอบขาวโพลน เขาเคยคิดว่าอีอูยอนจะพูดแบบนี้เมื่อไร ไม่สิ ความจริงแล้วเขาคิดอยู่ตลอดนั่นแหละ อีอูยอนไม่ใช่คนที่เหมาะกับตนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาเองไม่ใช่ตัวเอกในเทพนิยาย และนี่ก็เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เทพนิยาย

“ผมว่าเราพอเถอะครับ”

ลักษณะการพูดช่างราบเรียบราวกับถามว่าจะกินข้าวเย็นด้วยกันไหม อินซอบมองอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอยและขยับปากอย่างยากลำบาก

“…ผม…ทำอะไรผิดเหรอครับ”

“ไม่เลยครับ”

“แล้วทำไมจู่ๆ ถึง…”

อีอูยอนหยิบเสื้อคลุมตัวนอกที่ถอดไว้ขึ้นมาก่อนจะลุกจากที่ เขาคว้าชายเสื้อของอีอูยอนไว้

“ถ้าเป็นเพราะสุขภาพของผม ผมจะพยายามให้มากขึ้นครับ ผมจะกินข้าวให้เยอะขึ้น จะออกกำลังกาย และถ้าจำเป็น ผะ ผมจะไปรับการรักษาอย่างอื่นด้วยครับ”

เขารั้งชายหนุ่มด้วยสภาพที่ไม่ดีมากกว่าที่จินตนาการไว้หลายเท่า อีอูยอนยิ้มอย่างละเหี่ยใจพร้อมกับหลุบตามองต่ำ

“คิดว่าเหตุผลที่ผมชอบคุณอินซอบคืออะไรเหรอครับ”

อินซอบกะพริบตา และตอบคำถามที่ถูกโยนมาโดยไม่ทันได้คาดคิดว่า “ผมไม่รู้ครับ” ด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

นี่เป็นความจริง เขาไม่รู้เหตุผลที่อีอูยอนชอบตน เขาไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ได้มีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม ไม่ได้มีเงินเยอะ และไม่มีความสามารถที่โดดเด่นอะไรเลยสักอย่างเดียว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจ เพราะตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่อีอูยอนชอบตนเหมือนกัน

“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เหตุผลนั้นน่ะ”

อีอูยอนแกะนิ้วที่จับชายเสื้อไว้ออกทีละนิ้ว ดวงตาที่งดงามของเขาโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยวที่เกี่ยวอยู่กับกิ่งไม้

“แล้วผมยังจำเป็นต้องรู้เหตุผลที่เกลียดด้วยเหรอ”

“คุณอูยอน…”

อีอูยอนเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป อินซอบดึงเข็มน้ำเกลือที่ติดอยู่กับข้อมือออก และวิ่งเท้าเปล่าออกไปนอกห้องพักผู้ป่วย เขามองเห็นด้านหลังของอีอูยอน น้ำตาของเขาเอ่อขึ้นมาและลมหายใจก็ติดขัด

เขาอยากจะเรียกอีกฝ่ายไว้ แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อ เพราะกลัวว่าใครจะได้ยิน

“เดี๋ยวครับ เดี๋ยวก่อนครับ…”

อีอูยอนค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ความคิดที่ว่าถ้าอีกฝ่ายหายไปแบบนี้ทุกอย่างก็จะจบลงผุดขึ้นมา อีอูยอนหันกลับมาเมื่อเดินไปถึงสุดทางเดิน นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะสามารถคว้าอีกฝ่ายไว้ได้

“…!”

อินซอบเด้งตัวขึ้นจากเตียง ทั่วทั้งตัวชื้นไปด้วยเหงื่อ และหัวใจก็เต้นดังตุบๆ

“แฮ่กๆ…”

เขาหอบหายใจพลางมองไปรอบๆ ภายในห้องพักผู้ป่วยที่เงียบสงบเต็มไปด้วยเสียงการทำงานของเครื่องทำความชื้น อินซอบนั่งเหม่ออยู่พักหนึ่งถึงได้รู้ว่าทุกอย่างคือความฝัน แม้จะรับรู้ว่าเป็นความฝัน แต่ตัวของเขากลับไม่หยุดสั่น

“ไม่เป็นไร มันเป็นแค่ฝัน…”

อินซอบนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ตอนเด็กๆ เขาฝันร้ายอยู่บ่อยๆ ในวันที่จะต้องไปโรงพยายบาลในวันรุ่งขึ้น หรือวันที่ช่วงปิดเทอมหมดลง ความกังวลใจเป็นเหตุให้ฝันร้ายออกมาเป็นรูปเป็นร่าง

อินซอบดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มถึงไหล่และพึมพำว่าไม่เป็นไร แต่ยิ่งทำแบบนั้น ก็ยิ่งนึกถึงสีหน้า แววตา และน้ำเสียงของอีอูยอนที่เห็นในฝันได้อย่างชัดเจน

อินซอบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากตู้เก็บของ ตีสองแล้ว แม้จะรู้ว่าเป็นเวลาที่ดึกเกินไปที่จะโทรศัพท์ไปหา แต่เขาก็ไม่หยุด เพราะอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจด้วยตัวเองว่ามันเป็นแค่ฝันด้วยเสียงของอีอูยอน

เสียงสัญญาณดังอยู่ไม่กี่ครั้งและเปลี่ยนไปเป็นโหมดการคุยโทรศัพท์หลังเสียง แกร๊ก

“ฮัลโหลครับ”

[…]

ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา อินซอบเช็กหน้าจอโทรศัพท์มือถือว่าต่อสายอยู่หรือไม่

“ฮัลโหล?”

[…ฟังอยู่ครับ]

น้ำเสียงทุ้มต่ำของอีอูยอนย้อนกลับมาหา

“ขอโทษครับ ดึกแล้วแท้ๆ…”

[ดึกสินะครับ]

อีอูยอนพูดซ้ำราวกับจะใคร่ครวญถึงคำพูดของอินซอบ อินซอบมึนงงเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปทันที

“ถ้าคุณนอนอยู่ ผมจะโทรกลับไปทีหลังครับ”

[ยังไม่นอนครับ]

นี่ไม่ใช่คำพูดที่พูดไปอย่างนั้น เขาแน่ใจว่ามันไม่ใช่น้ำเสียงที่เพิ่งตื่นนอน และเป็นเสียงพูดที่ชัดเจนมาก

ว่ากันว่าโดยทั่วไปแล้วมีเงื่อนไขสามอย่างที่จำเป็นสำหรับนักแสดงที่มีพรสวรรค์ นั่นคือหน้ากาก ทักษะทางการแสดง และน้ำเสียง

โดยเฉพาะน้ำเสียงของอีอูยอนนั้นอยู่ในขั้นที่สามารถบอกได้ว่าได้รับพรจากพระเจ้า มีพลังอยู่ในน้ำเสียงของเขา ถึงขนาดที่พอจะสั่นไหวความรู้สึกของคู่สนทนาได้เลยทีเดียว

[ผมฟังอยู่ครับ พูดมาเลย]

อีอูยอนบอกให้รู้อีกครั้งว่าตนยังอยู่ในสาย อินซอบกำโทรศัพท์แน่นและสูดลมหายใจเข้าช้าๆ แม้จะตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำตัวอ่อนแอ แต่เสียงของอีอูยอนก็ทำให้ความตั้งใจนั้นพังลงอย่างไม่เป็นท่า

“…ผมโทรมาเพราะอยากได้ยินเสียงของคุณอูยอนครับ”

อินซอบค่อยๆ สารภาพถึงความรู้สึกภายในจิตใจของตนเองออกมาอย่างซื่อตรง คราวนี้เขาได้ยินเสียงหายใจอย่างช้าๆ จากฝั่งนั้น “จะบ้าตาย” และได้ยินเสียงของอีอูยอนที่ฟังดูเหมือนพูดคนเดียวตามมา น้ำเสียงที่แฝงด้วยความโกรธรางๆ ทำให้อินซอบมึนงงไปชั่วขณะ

[บางครั้งผมก็คิดนะครับ ว่าคุณยังแก้แค้นไม่เสร็จหรือเปล่า]

อินซอบรู้ตัวช้าเกินไปว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องเจนนี่ และตอบกลับไปว่าไม่ใช่แบบนั้น ตนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน

[ถ้ากำลังแก้แค้นอยู่ ก็พอได้แล้วครับ เพราะผมได้รับโทษที่ควรจะได้รับแล้ว]

“ไม่ใช่จริงๆ นะครับ ทำไมผมต้องทำแบบนั้นกับคุณอีอูยอนด้วยล่ะ”

[นั่นสินะครับ ถ้าคุณอินซอบว่าอย่างนั้น ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละครับ]

ลักษณะการพูดที่ฟังดูเหมือนตำหนิทำให้อินซอบเกร็งมือที่กำโทรศัพท์มือถือไว้

“…ผมโทรศัพท์มาเพราะแค่อยากได้ยินเสียงครับ จริงๆ นะครับ”

นี่ก็ดึกมากแล้ว และอินซอบก็เพิ่งจะเคยเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปก่อนในเวลาแบบนี้เป็นครั้งแรก เขากลัวว่าตัวเองกำลังทำเรื่องที่เสียมารยาทอย่างมากลงไปหรือเปล่า

[ถ้าอยากได้ยินเสียงก็ฟัง CD ที่ผมให้ไปที่บ้านก็ได้นี่ครับ]

น้ำเสียงเย็นชา เขาไม่รู้เลยว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงเป็นแบบนี้ แม้จะพยายามที่จะไม่เป็นแบบนั้น แต่เขากลับนึกถึงภาพของอีอูยอนในความฝันอยู่ตลอด อินซอบกัดริมฝีปากล่าง และกลั้นน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาไว้

วันนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริงๆ เขายังแก้ปัญหาเรื่องคังยองโมไม่ได้ และด้วยนิสัยของคนคนนั้น อีกฝ่ายจะต้องโผล่มาทำเรื่องชั่วร้ายหลังจากนี้แน่ๆ ส่วนเรื่องที่ยุนอารึมเล่าให้ฟังก็ทำให้เขากังวลใจ ตนเองที่คบกับดาราเป็นชนชั้นสาม และเป็นคนที่อยู่ต่ำที่สุดในบรรดาชนชั้นสามทั้งหลายด้วย เพราะเขาไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะได้เป็นตัวเอกถ้าหากอีอูยอนประกาศแต่งงาน

สิ่งที่เขากลัวมากกว่าอะไรทั้งหมดก็คือสภาพร่างกายของตัวเอง

แม้ผลตรวจจะยังไม่ออก แต่เขาอาจจะต้องผ่าตัดอีกครั้งก็ได้

จะต้องกลับไปที่อเมริกาอีกรอบเหรอ แล้วเมื่อไรจะได้กลับมาที่เกาหลีอีกครั้งล่ะ การผ่าตัดจะสำเร็จหรือเปล่า ถึงจะผ่าตัดสำเร็จ แต่เราก็อาจจะไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ก็ได้ อีอูยอนจะยินดีกับตัวเราที่เป็นแบบนั้นหรือเปล่า แล้วมันจะถือว่าเป็นการทำให้วุ่นวายและรำคาญไหม

ความกังวลใจเกิดขึ้นเป็นทอดๆ เหมือนไฟที่ติดใบไม้แห้ง เพราะฉะนั้นเขาถึงอยากได้ยินเสียงของอีอูยอน แม้ไม่ได้คาดหวังถึงการปลอบโยนที่อ่อนโยนและอบอุ่นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ แต่เขาก็ภาวนาให้เจ้าตัวหยุดการเย้าแหย่อันเป็นลักษณ์เฉพาะโดยการบอกว่าล้อเล่นเสียที

[ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหรอครับ]

อีอูยอนเอ่ยถาม

“…ขอโทษครับที่ผมรบกวนคุณโดยไม่จำเป็นในเวลาแบบนี้ ฝันดีครับ”

อินซอบไม่อยากโดนจับได้ว่าร้องไห้ เขาจึงรีบวางโทรศัพท์ไป และน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ระเบิดออกมา

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนอีอูยอนยังกอดอินซอบที่ตื่นตกใจอย่างอ่อนโยน และช่วยปลอบตรงชั้นใต้ดินของตึกบริษัทอยู่เลย ท่าทีของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และไม่สามารถเข้าใจได้ทำให้ความเศร้าของอินซอบเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

“อย่าร้อง ไม่มีอะไรหรอก…”

ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงมากกว่านี้มาแล้ว

เพื่อที่จะรู้เกี่ยวกับอีอูยอน เขาเคยตามติดอีกฝ่ายอยู่หลายวัน เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสตอลกเกอร์และโดนแจ้งความด้วย เคยโดนมีดบาดนิ้ว เพราะถูกแฟนคลับดันจนล้ม และเคยทรุด เพราะอาหารเป็นพิษ เนื่องจากกินขนมปังที่คุณภาพไม่ดีเข้าไปเพื่อที่จะประหยัดค่าอาหารด้วย

ตอนนี้ดีกว่าจนไม่สามารถเทียบกับตอนนั้นได้ด้วยซ้ำ หากมองตามรูปธรรม สมองของเขารู้ถึงความจริงนั้น แต่ความเศร้าเสียใจก็พุ่งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แขนเสื้อของชุดผู้ป่วยเปียกไปด้วยน้ำตาทันที

ในตอนที่เขากำลังจะลุกออกจากเตียง เพราะคิดว่าจะต้องไปล้างหน้า เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น อินซอบรีบเช็ดน้ำตาก่อนจะรับโทรศัพท์

“…พูดมาได้เลยครับ”

[ร้องไห้เหรอครับ]

“เปล่าครับ ไม่ได้ร้อง”

แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมองเห็น แต่อินซอบก็เช็ดตาอีกครั้งหนึ่ง

[อย่าร้องไห้ในที่ที่ไม่มีผมสิครับ ถ้าไม่อยากเห็นผมบ้าคลั่ง]

“ครับ เข้าใจแล้วครับ”

นี่เป็นเรื่องที่เขาสัญญากับอีอูยอนเอาไว้

[อยู่ที่ไหนครับ]

อินซอบตื่นตระหนก ในเวลาที่ดึกแบบนี้ แต่อีกฝ่ายกลับถามว่าอยู่ที่ไหน แทนที่จะถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ อินซอบสั่นกลัวอยู่พักหนึ่งก่อนจะอ้าปากพูดอย่างยากลำบาก

“…กำลังจะนอนครับ”

เขาไม่อยากโกหก แต่ก็ไม่สามารถพูดออกไปตรงๆ ได้เช่นกัน

เขาเห็นแววตาของอีอูยอนที่โดนกาแฟราดเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อตอนกลางวัน ถ้าอีอูยอนรู้เรื่องคราวนี้ เจ้าตัวคงจะไม่ใช้แค่ก้อนอิฐ แต่จะใช้ค้อนใหญ่ๆ ฟาดคังยองโมอย่างแน่นอน

หลังจากได้ยินคำตอบของอินซอบ อีอูยอนก็เงียบไปครู่หนึ่ง

หรือว่าเขาจะรู้อะไรบางอย่างนะ

อินซอบรู้สึกกระวนกระวายใจมากยิ่งขึ้น ความเงียบที่น่าอึดอัดทำให้อินซอบกดดันราวกับเป็นนักโทษประหารชีวิตที่กำลังรอคำตัดสิน

[ผมจะอ่านหนังสือให้ฟังครับ]

ปลายสายตอบกลับมาด้วยคำพูดที่คาดไม่ถึง

“ตอนนี้เหรอครับ ไม่ต้องหรอกครับ ไม่เป็นไร”

[คุณบอกว่าโทรศัพท์มาหาเพราะอยากได้ยินเสียงนี่ครับ นอนฟังนะครับ แล้วก็เปิดลำโพงทิ้งไว้]

อีอูยอนไม่แม้แต่จะแกล้งทำเป็นได้ยินคำปฏิเสธของอินซอบ และออกคำสั่ง เนื่องจากเป็นบรรยากาศที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ อินซอบจึงเปิดลำโพงตามที่อีอูยอนสั่งโดยไม่สามารถพูดอะไรได้ และวางลงข้างเตียง

[เพิ่มเสียงด้วย]

อินซอบรีบเพิ่มเสียงให้ดังที่สุด เขาคิดว่าโชคดีแล้วที่ได้เข้าพักในห้องพักสำหรับหนึ่งคน ไม่ใช่สำหรับหกคน

เขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะกำลังเลือกหนังสือ เขานึกภาพของอีอูยอนที่ยืนอยู่หน้าชั้นวางหนังสือขึ้นมาโดยอัตโนมัติ และได้ยินเสียงอีกฝ่ายพลิกกระดาษหลังจากเลือกหนังสือได้แล้ว

[ในตอนที่รถบัสเลี้ยวเข้าโค้งของภูเขา ฉัน…]

อินซอบรู้ว่าอีกฝ่ายเลือกหนังสือเล่นไหนมาก่อนที่จะอ่านจบประโยคเสียอีก ‘การท่องเที่ยวไม่มีสิ้นสุด’ เป็นนิยายที่เขาท่องจำคำนำของนิยายเล่มนี้ได้ทั้งหมด เพราะอ่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

[ฉันได้ยินพวกเขาทำตัวมีมารยาทและพูดคุยกันด้วยเสียงเบาๆ ไม่เหมือนเป็นคนต่างจังหวัดในสภาพที่งัวเงีย]

น้ำเสียงที่ไพเราะและนุ่มนวลของอีอูยอนไหลเอื่อยๆ อยู่ระหว่างประโยคในหนังสือ ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลก นิยายที่เขาชอบจนจำประโยคได้ทั้งประโยคเข้ามาใกล้อย่างไม่คุ้นเคย

อีอูยอนไม่หยิบยื่นการปลอบโยนที่อ่อนโยนให้ และไม่พูดจาหวานๆ อีกฝ่ายแค่เลือกหนังสือที่ตนชอบที่สุด และอ่านให้ฟังด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเท่านั้น

เสียงพลิกหน้าหนังสือและเสียงลมหายใจหยุดเป็นระยะๆ คำพูดต่างๆ ที่ถูกทำให้แยกจากกันและนำมาต่อกันสลับกันไปเรื่อยๆ ผ่านน้ำเสียงของชายหนุ่มเข้ามาในหูของเขาเอง ความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาทำให้อินซอบทำตัวไม่ถูก และกำผ้าห่มไว้แน่น

[ฟังอยู่หรือเปล่าครับ]

อินซอบตอบคำถามที่ถูกโยนมาระหว่างทางว่าครับ และอีอูยอนก็เริ่มอ่านหนังสืออีกครั้ง

อินซอบคิดว่าเขาพอใจจนไม่อาจจะมีอะไรดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

และค่อยๆ หลับตาลง

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท