เช้าวันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่ทันสางสืออีเหนียงก็ตื่นขึ้นมาทานซาลาเปาไส้เนื้อกับสวีลิ่งอี๋สองลูก จากนั้นก็ไปแต่งตัว
พึ่งจะแต่งตัวเสร็จปินจวี๋ก็อุ้มสวีซื่อเจี้ยเข้ามา อี๋เหนียงทั้งสาม ป้าเถาและคนอื่นๆ ต่างก็มาอวยพรวันตรุษจีนให้พวกเขา
สวีซื่อเจี้ยยังไม่ลืมตา ท่าทางงัวเงียเอาหน้าซุกไหล่ปินจวี๋
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบผมสีดำขลับของเขา หยิบถุงเงินออกมามอบให้พวกนางแล้วพาสวีซี่อเจี้ยไปหาไท่ฮูหยินพร้อมกับสวีลิ่งอี๋
ไท่ฮูหยินตื่นแล้ว กำลังให้ป้าตู้ไปนำผลไม้และขนมมา “…กลับมาเร็วที่สุดคือตอนต้นยามอู่ ข้าจำได้ว่ามีปีหนึ่งที่ลากยาวไปจนถึงยามเว่ย”
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมสืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋ถึงไม่กล้าทานโจ๊กเป็นอาหารเช้า
ใครจะไปรู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถไปเข้าห้องน้ำกลางคันได้
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า ให้สวีซื่อเจี้ยไปอวยพรตรุษจีนแก่ไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ไปช่วยป้าตู้จัดข้าวของใส่กล่อง
คุณชายสามและฮูหยินสามมาถึงแล้ว ด้านหลังยังมีสวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี่ยนตามมาด้วย
สวีซื่อเจี่ยนเดินเข้าประตูมาก็ถามขึ้นว่า “จุนเกอล่ะ เขายังไม่ตื่นหรือ”
ได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้พวกเขาเล่นกันจนถึงต้นยามโฉ่ว
“ข้าตื่นตั้งนานแล้ว!” จู่ๆ จุนเกอก็มายืนอยู่ที่หน้าประตู “ข้าไม่ได้นอนตื่นสายสักหน่อย!”
เขาถลึงตาใส่สวีซื่อเจี่ยนอย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นก็วิ่งไปอวยพรตรุษจีนให้ไท่ฮูหยิน “ขอให้สมพรปรารถนาในวันตรุษจีนนะขอรับ”
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางลูบหัวเขา
เขาหันไปหาสวีซื่อเจี้ย “เจ้ามาอวยพรตรุษจีนให้ท่านย่าแล้วหรือยัง” ท่าทางเหมือนกำลังจะบอกว่าสวีซื่อเจี้ยควรจะทำอย่างไร
ปินจวี๋รีบพูดขึ้นมาว่า “อวยพรแล้วเจ้าค่ะ พอมาถึงก็รีบมาอวยพรตรุษจีนให้ไท่ฮูหยินเลยเจ้าค่ะ”
เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ทำเอาไท่ฮูหยินหัวเราะ
คุณชายสามกับฮูหยินสามก็หัวเราะเช่นกัน พาสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ เข้าไปอวยพรตรุษจีนให้กับไท่ฮูหยิน คุณชายห้าประคองฮูหยินห้าเข้ามา
ทุกคนทักทายกันอย่างสนิทสนม
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นว่าล่วงเลยเวลามามากแล้ว จึงให้ป้าตู้อยู่ดูแลจวนแล้วพาบุตรชายกับลูกสะใภ้ไปวังหลวง
พวกเขาแยกทางกันที่หน้าประตูพระราชวัง สวีลิ่งอี๋พาสวีลิ่งหนิงและสวีลิ่งควนไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ตำหนักเฟิ่งเซียน ไท่ฮูหยินพาสืออีเหนียง ฮูหยินสามและฮูหยินห้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาที่พระตำหนักคุนหนิง
นอกประตูราชวังได้จัดตั้งกระโจมไว้นานแล้ว กระโจมของนางในอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กระโจมขององค์หญิงอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ กระโจมของบรรดาฮูหยินอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
เมื่อเข้าไปในกระโจม สืออีเหนียงก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย
หลินฮูหยินและคุณนายใหญ่สกุลหลินจวนเวยเป่ยโหว กานฮูหยินจวนจงฉินปั๋ว ถังฮูหยินจวนจงซานโหว เฉียวฮูหยินจวนเฉิงกั๋วกง แล้วยังมีบรรดาพี่สะใภ้ของคุณนายใหญ่สกุลหลิน แต่กลับไม่เห็นหวงฮูหยินและคุณนายสามสกุลหวงจวนหย่งชังโหว
ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน
ไท่ฮูหยินพาบรรดาสะใภ้เข้าไปคำนับ ก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วมาจากทางประตู ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
เห็นหญิงรับใช้เจ็ดแปดคนกำลังรุมล้อมฮูหยินของเจี้ยนหนิงโหวและฮูหยินของโซ่วชังปั๋วเดินเข้ามา
บางคนเดินเข้าไปทักทาย บางคนยืนอยู่ที่เดิมส่งยิ้มพลางพยักหน้าให้ บางคนก็หันหน้าไปพูดคุยกับคนข้างๆ ทำเป็นมองไม่เห็น
ส่วนฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวและฮูหยินโซ่วชังปั๋วใบหน้าต่างก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทักทายคนที่เดินเข้าไปหาอย่างอบอุ่น พยักหน้าทักทายคนที่ยิ้มให้เหล่านั้น บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงได้ยินเสียงคนข้างหลังส่งเสียง “เหอะ” อย่างเย็นชา พูดเสียงเบาว่า “ตอนนี้อยู่ในพระตำหนักคุนหนิง เหตุใดทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้!”
นางลังเลว่าจะหันกลับไปมองว่าใครเป็นคนพูดดีหรือไม่ แต่กลับเห็นฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“ไท่ฮูหยิน” นางทักทายไท่ฮูหยินมาแต่ไกล “ข้าเห็นท่านตั้งแต่งานพิธีศพขององค์ชายห้าเมื่อครั้งก่อน ท่านสุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่”
การสิ้นพระชนม์ขององค์ชายห้าไม่ได้เป็นเพียงความโศกเศร้าของราชวงศ์ แต่ยังเป็นความโศกเศร้าของสกุลสวี บวกกับข่าวลือเรื่องการจากไปขององค์ชายห้า เมื่อทุกคนเห็นว่าคำพูดของฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวมีบางอย่างแอบแฝงก็เผยให้เห็นแววตาสงสัย บางคนก็มีสีหน้าผิดหวัง บางคนก็ขมวดคิ้ว บางคนก็ยินดีในความทุกข์ของคนอื่น ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินที่ถูกทุกคนจ้องมองกลับมีสีหน้าสงบนิ่ง แววตาดูเรียบเฉย “ถึงแม้ว่าข้าจะแก่แล้ว แต่โชคดีที่ฟันยังดีอยู่ ยังทานข้าวได้เหมือนเดิม ขอบคุณฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวที่เป็นห่วง!” ท่าทางดูยังทานข้าวได้เอร็ดอร่อยและพละกำลังแข็งแรงดี
คำพูดของไท่ฮูหยินที่ซ่อนเข็มเอาไว้ทุกคนล้วนฟังออก แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรพากันจ้องเขม็งไปที่ทั้งสองคน
ฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวผู้นั้นแอบโมโหอยู่ในใจ
นึกถึงตอนนั้นที่ฮ่องเต้ยังเป็นเพียงองค์ชาย สกุลสวีก็ทำตัวเหมือนเด็กดีต่อหน้าไทเฮา ตอนนี้บุตรสาวได้เป็นฮองเฮาแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นเย่อหยิ่งไม่รู้จักคนอื่น สกุลสวีปฏิเสธความหวังดีของสกุลหยางซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วยังแนะให้คนสกุลเหวินแย่งชิงกิจการเครื่องลายครามกับสกุลหยาง ครั้งนี้หากไม่แสดงอำนาจให้พวกเขาเห็น เกรงว่าต่อไปจะหยิ่งยโสมากกว่านี้ แล้วสกุลหยางจะมีทางรอดได้อย่างไรเล่า
เมื่อในใจก็คิดได้เช่นนี้ก็ส่งเสียง “เหอะ” อย่างเย็นชา พูดด้วยสีหน้านิ่งว่า “ไท่ฮูหยินช่างโชคดีเสียจริง! มีบุตรชายและลูกสะใภ้ที่กตัญญู มีลูกหลานห้อมล้อม ย่อมทานอิ่มนอนหลับเป็นธรรมดา” จากนั้นก็เหลือบไปมองสืออีเหนียง “จริงสิ ได้ยินว่าท่านมีหลานชายเพิ่มมาหนึ่งคน เหตุใดไม่พาเข้าวังมาให้ฮองเฮาดูหน้าสักหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กที่อยู่ในความดูแลของฮูหยินหย่งผิงโหว คิดว่ากิริยามารยาทคงจะแตกต่างจากคนทั่วไป ”
หย่งผิงโหวสวีลิ่งอี๋เลี้ยงบุตรไว้นอกจวน บุตรชายอายุสามขวบพึ่งจะเอาเข้าจวน นี่เป็นข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมืองเยี่ยนจิงเมื่อไม่กี่วันมานี้ ทั้งคนสูงศักดิ์ไปจนกระทั่งพ่อค้าแม่ค้าเมื่อเจอหน้ากันก็ถามถึงข่าวใหญ่ว่า ‘เจ้ารู้หรือไม่’ มีใครบ้างจะไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้!
แต่การพูดตรงไปตรงมาขนาดนี้ในโอกาสเช่นนี้นั้น…เสียมารยาทเกินไปแล้ว!
มีคนอยู่ไม่กี่คนที่สามารถปกปิดความตกใจไว้ได้ พวกเขามองไปที่ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียง ผู้คนที่มองไปที่ฮูหยินสามและฮูหยินห้าก็มีไม่น้อยเช่นกัน
ชั่วขณะนั้น ทั้งกระโจมพลันเงียบสงัด
หลังจากเรื่องสวีซื่อเจี้ยแพร่งพรายออกไป สืออีเหนียงก็เตรียมทำใจไว้แล้ว เกิดเรื่องซุบซิบใหญ่โตเช่นนี้ ใครก็ตามที่เจอหน้านางก็คงถามถึงเรื่องนี้ นางจึงทำใจไว้แล้ว ตัดสินใจใช้ความนิ่งสยบทุกการเคลื่อนไหว ใช้คำพูดของไท่ฮูหยินมารับมือกับคนเหล่านี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนพูดออกมาในสถานการณ์เช่นนี้
ดูเหมือนว่าการเตรียมใจของตนจะยังไม่พอ
นางหุบยิ้ม มองฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สำหรับการโจมตีที่มุ่งประสงค์ร้ายเช่นนี้ สืออีเหนียงรู้สึกว่าไม่ควรเกรงใจ ยิ่งไม่ควรเอาแต่ถอยหนีและอดทน นางต้องตอบโต้กลับด้วยแรงทั้งหมดที่มี มิฉะนั้นคนประเภทนี้จะทำตัวหยิ่งยโสมากขึ้น จนกระทั่งคิดว่าผู้อื่นเกรงกลัวนาง จะทำให้นางพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังมากขึ้นกว่าเดิม
แต่อย่างไรก็ตามตนก็เป็นลูกสะใภ้ ตอนนี้มีไท่ฮูหยินอยู่ด้วย จะไปโต้แย้งฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวข้ามหน้าข้ามตาไท่ฮูหยินไม่ได้ มิเช่นนั้นจะดูเสียมารยาท
นางอดหันไปมองไท่ฮูหยินไม่ได้
ส่วนฮูหยินสามที่ยืนอยู่ข้างหลังสืออีเหนียงดูอึดอัดเล็กน้อย
ทั้งหมดเป็นความผิดของเรือนสี่! แต่ตอนนี้กลับทำให้ทุกคนต้องขายหน้าตามไปด้วย
นางมองไปที่ฮูหยินห้า
เห็นเพียงว่าฮูหยินห้ากำลังขมวดคิ้ว
ฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวผู้นี้ ไม่แปลกเลยที่คนอื่นๆ จะไม่ชอบหน้า!
นางรู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกมา
คำโบราณกล่าวไว้ว่า ‘ตีคนอย่าตีหน้า’ นางทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ตบหน้าสกุลสวีเท่านั้น แต่ยังตบหน้าฮองเฮาด้วย สกุลหยางเป็นสกุลเดิมของไทเฮา ส่วนสกุลสวีเป็นสกุลเดิมของฮองเฮา แต่ไทเฮาไม่ใช่พระราชมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้ การพูดจาเสียดสีกันเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชน จะให้บรรดาฮูหยินเหล่านี้คิดอย่างไร
เกรงว่าไม่ถึงครึ่งวัน ทั่วทั้งเมืองเยี่ยนจิงคงจะแพร่ข่าวเรื่องความไม่ลงรอยกันระหว่างไทเฮากับฮองเฮา!
นางมองไปที่ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเพียงแต่ยิ้ม “ฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวพูดถูกแล้ว” จากนั้นก็ยิ้มพลางจับมือสืออีเหนียง “ลูกสะใภ้ข้าผู้นี้ ข้าไม่ได้อยากจะชมนักหรอก แม้จะอายุยังน้อยแต่กลับรู้จักวางตัว รู้จักขอบเขต การที่ให้นางเป็นคนดูแลเด็ก ทำให้ข้าวางใจเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
การที่ไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้โต้แย้งคำพูดของฮูหยินเจี้ยนหนิงโหว ทำให้สถานการณ์บานปลายยิ่งขึ้น
เมื่อฮูหยินทุกคนในที่นี้ได้ยินก็หัวเราะเบาๆ มีเพียงฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวเท่านั้นที่มีสีหน้าหม่นหมอง ท่าทางเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ไท่ฮูหยินก็หันหลังให้นางทำเอาทุกคนมองตาม
เห็นเพียงนางยิ้มพลางถามถังฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างๆ “เอ๊ะ เหตุใดจึงไม่เห็นนายหญิงสี่จวนเจ้าเล่า นางเสียงเพราะเหมือนนกการเวก เวลาพูดจานั้นน่าฟังเป็นอย่างมาก ข้ามักจะบอกกับบรรดาลูกสะใภ้ของข้าว่าต้องเรียนรู้วิธีการพูดอย่างนายหญิงสี่สกุลถังจึงจะถูก!” มีเจตนาแอบประชดว่าฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวไม่รู้จักพูด จากนั้นก็ลากไปถึงผู้อาวุโสที่ไม่รู้จักสั่งสอน
ถังฮูหยินมีสีหน้าลังเล
นางไม่อยากล่วงเกินสกุลสวี แต่สกุลหยางก็เป็นญาติของนาง นางไม่สามารถเข้าข้างคนนอกได้!
ส่วนฮูหยินโซ่วชังโหวที่คอยจับตาดูอยู่ตลอดเห็นว่าพี่สะใภ้ของตัวเองเสียเปรียบก็หันหน้ามามองด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
บรรยากาศในกระโจมประเดี๋ยวก็เงียบ ประเดี๋ยวก็ครึกครื้น
ฮูหยินห้าหันไปมองแล้วรีบเข้าไปพยุงแขนไท่ฮูหยินทันที “เดี๋ยวท่านแม่ก็ให้เราทำตามนายหญิงสี่สกุลถัง เดี๋ยวก็ให้ทำตามคุณนายใหญ่สกุลหลิน แล้วยังให้เราทำตามคุณนายสามสกุลหวง…พวกเราควรจะทำตามใครดี ท่านแม่ควรจะพูดให้แน่นอนด้วยนะเจ้าคะ” คำพูดออดอ้อนเหมือนเด็กทำให้ความตึงเครียดในกระโจมลดลงอย่างทันที
ทุกคนพากันหัวเราะ
กานฮูหยินเป็นญาติของไท่ฮูหยิน ในสถานการณ์เช่นนี้นางย่อมต้องช่วยสกุลสวี เปลี่ยนจากปกติที่นางค่อนข้างเก็บตัว ตอนนี้รีบยิ้มแล้วพูดหยอกล้อกับฮูหยินห้าว่า “แม่สามีของเจ้าบอกให้เจ้าเรียนรู้การพูดการจาจากนายหญิงสี่สกุลถัง เรียนรู้การดูแลเรือนจากคุณนายใหญ่สกุลหลิน แล้วเรียนรู้การทำให้แม่สามีมีความสุขจากคุณนายสามสกุลหวง…” ทันใดนั้นก็มีคนพูดต่อว่า “ใครกำลังให้ท้ายลูกสะใภ้ข้าอยู่หรือ”
ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นว่าคุณนายสามสกุลหวงกำลังประคองหวงฮูหยินจวนหย่งชังโหวเดินเข้ามา
“ใครใช้ให้พวกเจ้ามาสายกันเล่า” ฮูหยินกานจงใจพูดหยอกล้อฮูหยินหย่งชังโหว เช่นนี้จึงทำให้ฮูหยินโซ่วชังปั๋วที่กำลังเดินเข้ามากลายเป็นอากาศธาตุ “ไม่เข้าข้างลูกสะใภ้เจ้าแล้วจะให้ไปเข้าข้างใครกัน”
แม้ว่าเมื่อครู่นี้หวงฮูหยินจวนหย่งชังโหวจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เมื่อเห็นสตรีสกุลสวีและสตรีสกุลหยางกำลังเผชิญหน้ากันนางก็พอจะเดาออก
นางไม่ต้องการให้สกุลสวีกับสกุลหยางทะเลาะกันในเวลานี้ ไทเฮาเองก็อายุมากแล้ว สักวันหนึ่งก็ต้องจากไป แต่วันเวลาของฮองเฮายังอีกยาวไกล จะให้ล่วงเกินไทเฮาจนขึ้นชื่อว่าอกตัญญูไม่ได้
ฮูหยินหย่งชังโหวรีบหยิกลูกสะใภ้สามของตนเบาๆ
คุณนายสามสกุลหวงเป็นคนเฉลียวฉลาด เมื่อเข้ามาเห็นสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างทั้งสองสกุล ซ้ำยังโดนแม่สามีหยิกอีก มีหรือจะไม่เข้าใจ รีบยิ้มแล้วพูดขึ้นมาทันทีว่า “จะบอกว่าข้าพูดเอาอกเอาใจแม่สามีได้อย่างไร ข้าไปพูดเอาอกเอาใจแม่สามีเมื่อไร ข้าตั้งใจปรนนิบัติแม่สามีด้วยใจจริงต่างหาก!” จากนั้นก็แกล้งทำเป็นไร้เดียงสาแล้วพูดกับฮูหยินหย่งชังโหวว่า “ท่านแม่ ท่านต้องทวงคืนความยุติธรรมให้ข้านะเจ้าคะ”
ทำเอาทุกคนพากันหัวเราะ
มีขันทีวิ่งเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินทุกท่าน ฮองเฮาได้มาประทับ ณ พระที่นั่งแล้วขอรับ”
สีหน้าทุกคนพลันสงบ ยืนเรียงกันตามระดับตำแหน่งของสามีตัวเอง ได้ยินเสียงบรรเลงดนตรีดังมาจากพระตำหนักคุนหนิง
เป็นหวงกุ้ยเฟยที่นำเหล่านางในมาอวยพรตรุษจีนให้แก่ฮองเฮา
สีหน้าทุกคนเคร่งขรึมมากขึ้นกว่าเดิม