หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 779 ไล่เรียงลำดับชั้น!

บทที่ 779 ไล่เรียงลำดับชั้น!

บทที่ 779 ไล่เรียงลำดับชั้น!
“อู๋น้อยรึ” หวังเป่าเล่อเหล่ตามองเด็กหนุ่มในชุดไร้รสนิยมที่เต็มไปด้วยกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยส่องแสงวิบวับ พอนึกได้ว่าสัตว์ประจำอาณาจักรของหมอนี่เป็นนกแก้วก็รู้สึกว่าเหมาะสมดีแล้ว และเมื่อพาลนึกไปถึงบิดาของเด็กหนุ่ม หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าช่างเป็นชายที่มีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อเหมือนกับตนเสียจริง

เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็กำลังจะพยักหน้าตอบรับ แต่กลับหรี่ตาลงเสียก่อนและมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง สายตาของเขาในครั้งนี้แตกต่างจากคราวก่อนๆ ทำให้อู๋น้อยรู้สึกเครียดขึ้นมาในทันที ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าตนเองเผลอปากพล่อยพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

น่าสนใจดี เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกตั้งแต่แรกนะ…ภาษาที่หมอนี่พูดไม่ใช่ทั้งภาษาของสหพันธรัฐและอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ข้ากลับเข้าใจสิ่งที่เจ้านี่พูดได้ แถมยังอ่านเนื้อหาในแผ่นหยกที่เขาให้มารู้เรื่องอีกด้วย! หวังเป่าเล่อหัวใจเต้นแรงอย่างไม่ตั้งตัว เขาก้มลงมองแผ่นหยกในมืออีกครั้ง เมื่อลองดูตัวอักษรทีละตัวก็มั่นใจว่าเป็นภาษาต่างดาวที่ตนเองไม่รู้จักแน่นอน ทว่าแต่ละคำนั้นกลับมีพลังประหลาดบางอย่างที่ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันที!

นี่เป็นเรื่องที่ทั้งลึกลับและแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แต่เรื่องที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งกว่าคือการที่เขาเพิ่งมาตระหนักถึงความแตกต่างด้านภาษาก็ในตอนนี้เอง ราวกับว่าภาษาที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดมีพลังลึกลับที่ทำให้เขามองข้ามความจริงข้อนี้ไปได้ในตอนแรก

อาณาจักรพิภพทมิฬรึ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่สักพัก ขณะที่เด็กหนุ่มต่างดาวกำลังมีท่าทีกระสับกระส่าย ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็เอื้อมมือออกไปคว้าตัวอีกฝ่ายเอาไว้ และกระโจนออกสู่ห้วงอวกาศในทันทีเพื่อมุ่งหน้าสู่เรือบินรบของตน

พลังของหวังเป่าเล่อทำให้เขาก้าวเพียงทีเดียวก็เกือบถึงที่หมาย หลังจากที่เขาไปในเรือเรียบร้อย จั่วอี้เซียนที่ถูกกักขังไว้ภายในก็เห็นชายแปลกหน้าที่หวังเป่าเล่อลากมาในทันที

ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย ส่วนหวังเป่าเล่อก็โยนเจ้าอู๋น้อยลงพื้นเรียบร้อย และปล่อยตัวจั่วอี้เซียน

ทันทีที่เป็นอิสระ จั่วอี้เซียนก็ขาอ่อน เขาเซถลาไปด้านหลัง กำลังจะทำความเคารพหวังเป่าเล่อ แต่ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ เขาเอียงคอมองแล้วก็เห็นว่าชายแปลกหน้าที่หลงหนานจื่อนำกลับมาด้วยนั้น กำลังมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างรุนแรง

“นายท่าน นี่คือ…” จั่วอี้เซียนหยุดกลางคัน เมื่อสัมผัสได้ว่าขั้นปราณของอีกฝ่ายเป็นขั้นกำเนิดแก่นในเช่นกัน เขาก็พอเดาออก

“เหมือนเจ้านั่นละ” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเย็นชา เลิกสนใจทั้งสองในทันที เขานั่งขัดสมาธิ ใช้พลังบังคับเรือบินรบให้มุ่งหน้ากลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ขณะคิดถึงอาวุธเทพที่เจ้าอู๋น้อยเพิ่งมอบให้เขา

ขณะที่เรือบินรบกำลังทะยานไปในห้วงอวกาศ เจ้าอู๋น้อยก็เริ่มบิดตัวไปมา เขามองหวังเป่าเล่อที่กำลังหลับตานั่งสมาธิก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เอียงคอไปมองจั่วอี้เซียน

จั่วอี้เซียนเองก็กำลังประเมินเจ้าอู๋น้อยอยู่เช่นกัน เมื่อทั้งสองประสานสายตากัน ประกายความเป็นปฏิปักษ์ก็ฉายชัดขึ้นในแววตาของเจ้าอู๋น้อย ท่ามกลางความงุนงงของจั่วอี้เซียน เขาสะบัดชายแขนเสื้อ กระจกบานเล็กบานน้อยบนร่างกายส่องประกายวิบวับ น้ำเสียงเย็นชา “ไอ้มนุษย์ต่ำต้อย เจ้ากำลังเข้าเฝ้าองค์ชายอยู่นะ เหตุใดจึงยังไม่คุกเข่าลงอีก!”

จั่วอี้เซียนนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก

“ฟังข้าพูดไม่รู้ความรึ ก็ไม่แปลกใจ ดูจากหน้าเจ้าแล้วก็ดูปัญญาทึบอยู่ สมองคงหนาจนใช้การไม่ได้สินะ เจ้าจำเอาไว้แล้วกันนะว่าจากนี้ ท่านบิดาคืออันดับหนึ่ง ข้าคืออันดับสอง ส่วนเจ้าเป็นอันดับสาม เข้าใจหรือไม่” เจ้าอู๋น้อยเชิดคางขึ้น สายตาเต็มเปี่ยมด้วยความเย่อหยิ่ง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากตัวและโยนไปให้จั่วอี้เซียน

“เอาละ จงมาขัดรองเท้าที่ถักทอมาจากผมสนมทั้งแสนคนของข้าในวาววับเดี๋ยวนี้”

“ไอ้ประสาท!” จั่วอี้เซียนมีปฏิกิริยาตอบโต้ในที่สุด เขาฮึดฮัดฟึดฟัด แววตาวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชัง

“บังอาจนัก” เจ้าอู๋น้อยกำลังจะคำรามออกมาด้วยความโกรธ แต่เมื่อนึกได้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังทำสมาธิอยู่และจะทำเสียงดังรบกวนไม่ได้ ถ้อยคำที่ควรจะเป็นเสียงคำรามก็แผ่วเบาลง กระนั้นเจ้าอู๋น้อยก็ขยับตัวเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว พุ่งตรงเข้าไปหาจั่วอี้เซียนในทันที เมื่อเข้าไปใกล้ก็ยกขาขึ้นเตะอัดไปที่ท้องของอีกฝ่าย

ภาพนี้เหมือนตอนที่หวังเป่าเล่อเตะเขาก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

จั่วอี้เซียนรู้สึกโกรธอย่างประหลาด แค่ต้องมาเป็นสัตว์เลี้ยงในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ทำให้เขาหดหู่คับแค้นใจมากพอแล้ว เมื่อมีชายในชุดงิ้วสติฟั่นเฟือนมาข่มเหงเขาอีก ชายหนุ่มก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาโต้กลับในทันที ก่อนจะกลายเป็นการต่อสู้กันอย่างดุเดือดพัลวันในเรือบินรบของหวังเป่าเล่อ

ทั้งสองเกรงกลัวหวังเป่าเล่อมาก จึงไม่กล้าหยิบสมบัติเวทหรือนำกระบวนเวทออกมาใช้ ได้แต่อัดพลังปราณเข้าไปในแขนขาของตนเองเพื่อใช้ต่อยตีแทน ทั้งสองดูมีกำลังกายสูสีกัน แต่จั่วอี้เซียนก็ตกเป็นรองอย่างรวดเร็ว แม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังคิดว่าความทนทานแรงโจมตีของร่างกายเจ้าอู๋น้อยนั้นยอดเยี่ยม แล้วนับประสาอะไรกับจั่วอี้เซียนเล่า แม้การโจมตีของเขาจะไม่ได้เบาเหมือนจักจี้ แต่ก็ยังเบากว่าหวังเป่าเล่อมากนัก

ภายในสิบวินาที จั่วอี้เซียนก็กลายเป็นฝ่ายถูกอัดอย่างรวดเร็ว เจ้าอู๋น้อยกระโจนกดร่างของชายหนุ่มไว้กับพื้น เสียงการต่อสู้คำรามขู่ดิ้นรนต่อยตีกันของทั้งสองดังขึ้นเรื่อยๆ จนหวังเป่าเล่อรู้สึกตัว เขาลืมตาขึ้นมุ่นคิ้วมองนักมวยทั้งสอง

“หยุดเดี๋ยวนี้!” เมื่อเห็นว่าสีหน้าของจั่วอี้เซียนเปลี่ยนไป หวังเป่าเล่อก็พูดปรามขึ้นมา เจ้าอู๋น้อยถอยทันทีที่ได้ยิน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นอาการประจบเอาใจ เขารีบพูดโพล่งขึ้นในทันที

“ท่านบิดา ข้าผิดเองขอรับ!”

จั่วอี้เซียนก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ใบหน้าบวมปูดทำให้เขาดูน่าสมเพชกว่าเดิม ความโกรธที่สุมอยู่ในใจรุนแรงจนแทบระเบิดได้กระทั่งท้องฟ้า แต่ก็ไม่กล้าขวางหูขวางตาหลงหนานจื่อ จึงทำได้เพียงพูดเสียงแผ่วเท่านั้น

“นายท่าน ไอ้นี่เริ่มก่อนขอรับ”

หวังเป่าเล่อหลับตาลง เลิกสนใจทั้งสอง จิตใจคิดถึงแต่สูตรการหลอมอาวุธเทพที่เจ้าอู๋น้อยมอบให้เขาเท่านั้น เขาเข้าใจมันมากขึ้น และรู้สึกว่าสูตรนี้สามารถนำไปใช้หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดได้ ทั้งยังคิดวิธีพลิกแพลงเอาไว้สองสามวิธีด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่รู้ว่าหลังจากที่หลับตาลงอีกครั้ง เจ้าอู๋น้อยก็มีสีหน้าพอใจคำที่ตนเองเลือกใช้เรียกหวังเป่าเล่อ จนเอ่ยทับถมจั่วอี้เซียนออกมา

“ข้าเรียกเขาว่าบิดา เจ้าเรียกเพียงนายท่านเท่านั้น ยังไม่เห็นอีกหรือว่าใครเหนือกว่าใคร”

“ไอ้ประสาท!” จั่วอี้เซียนพยายามสะกดความโกรธของตนเองเอาไว้ เขาเกลียดเจ้าอู๋น้อยมาก จึงเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของยานแล้วเลิกสนใจอีกฝ่าย เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า โดยมีเจ้าอู๋น้อยยั่วยุกวนประสาทจั่วอี้เซียนไปตลอดทาง

เรือบินรบซึ่งกำลังเดินทางกลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เข้ามาในอาณาเขตที่ควบคุมโดยสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลงจอดบนดวงจันทร์บริวารที่เป็นของกองทหารวิหคน้ำแข็ง ข้างดาวเคราะห์มหาทัณฑ์

ทันทีที่กลับมาถึง หวังเป่าเล่อก็รีบกลับถ้ำที่พัก และเตรียมตัวปลีกวิเวกเพื่อทดสอบทฤษฎีเกี่ยวกับสูตรหลอมอาวุธเทพที่คิดได้ก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าหากตนเองหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาด้วยวิธีที่คิดไว้ ก็น่าจะเสริมพลังเป็นระดับแปดได้สำเร็จอย่างง่ายดาย และอาจได้ผลลัพธ์ที่สูงกว่าระดับแปดเสียด้วยซ้ำ

ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเป็นอันมาก หลังจากที่จัดแจงให้จั่วอี้เซียนและเจ้าอู๋น้อยเฝ้ายามประตูเอาไว้แล้ว เขาก็เริ่มการทดลองในทันที

ทว่า…หวังเป่าเล่อที่กำลังสาละวนอยู่กับการวิจัยก็หัวเสียอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก…พอไม่มีเขาคอยเฝ้ามอง ข้ารับใช้ทั้งสองก็เริ่มทะเลาะกันเองอยู่ตรงหน้าประตูราวกับเป็นลิ้นกับฟัน เสียงครึกโครมจากการวางมวยของทั้งสองดังลั่นไปทั่ว ทำให้ผู้ฝึกตนจากกองทหารวิหคน้ำแข็งที่ผ่านไปผ่านมาหันมาสนใจ พวกนางวิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้อย่างออกรสออกชาติ เหมือนดูสุนัขกัดกัน

เสียงดังอึกทึกนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหงุดหงิดมาก เขาเรียกเจ้าลาที่กำลังวิ่งเริงร่าอยู่ที่ไหนสักแห่งกลับมา และสั่งให้มันเฝ้าสองคนนั้นเอาไว้ ทั้งยังปรามไม่ให้มันเปิดเผยตัวตนอีกด้วย

วิธีนี้ได้ผลชะงัด เจ้าลาที่กำลังเล่นอย่างสนุกสนานอยู่ดูจะอารมณ์เสียเพราะถูกขัดจังหวะ แม้มันจะเห็นจั่วอี้เซียนที่เป็นคนคุ้นเคย ก็ยังไม่สามารถทำให้มันอารมณ์ดีขึ้นได้ ทุกครั้งที่จั่วอี้เซียนขยับตัวจากการยืนเฝ้าหน้าปากประตู มันจะร้องฮี้ออกมาพร้อมยิงฟันขู่ ก่อนหันไปกัดก้อนหินข้างหลังกินด้วยเสียงดังน่ากลัว

เจ้าลารำคาญเจ้าอู๋น้อยผู้ที่เป็นคนแปลกหน้าเสียยิ่งกว่า โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินเจ้าอู๋น้อยเรียกหวังเป่าเล่อว่าบิดา ซึ่งทำให้มันรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอันมาก ทุกครั้งที่เจ้าอู๋น้อยขยับตัว มันไม่ได้หันไปขู่ด้วยการกินหิน แต่จะเลียริมฝีปากตนเองขณะมองจ้องเด็กหนุ่มแทน

ท่าทีนี้ทำให้เจ้าอู๋น้อยรู้สึกเครียดขึงเป็นอันมาก แต่เจ้าอู๋น้อยคุ้นเคยกับการพะเน้าพะนอเอาใจผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเป็นอย่างดี เขาจึงเลิกตีกับจั่วอี้เซียนและหันมาประจบประแจงเจ้าลาแทน เด็กหนุ่มเริ่มเรียกเจ้าลาว่านายท่านคนที่สอง และยังคอยนวดเฟ้นให้มันอีกด้วย การกระทำนี้ทำให้เจ้าลาส่งเสียงร้องฮี้ให้เจ้าอู๋น้อยอย่างเป็นมิตรมากขึ้น

จั่วอี้เซียนกลับเป็นฝ่ายที่รู้สึกสยองถึงขีดสุด เขากลัวความโหดร้ายของเจ้าลา แต่ก็ยังรู้สึกว่าเจ้าลาดูคุ้นตามากเหลือเกิน เหมือนสัตว์เลี้ยงของชายในความทรงจำที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำไม่มีผิด

แต่สัญชาตญาณก็บอกเขาว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงคิดว่าในอารยธรรมการฝึกตนนั้นคงมีอสูรร้ายที่หน้าตาเหมือนกันเต็มไปหมด

ขณะที่ทาสรับใช้ทั้งสองกำลังทำความคุ้นเคยกับเจ้าลาอยู่นั้น เวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน หวังเป่าเล่อที่ถือสันโดษอยู่ในถ้ำที่พัก แม้จะมีใบหน้าซีดเซียวตาโหลจากการตรากตรำทำวิจัยอย่างหนักเป็นเวลานาน แต่ดวงตากลับเป็นประกายแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป

การหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปด…ใกล้ความจริงแล้ว!

…………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท