ลิ่นฉังเฟิงส่งเสียงหยัน “ไม่สน ถุงที่เว่ยจวินมั่วทิ้งเอาไว้เขียนเช่นนี้ เจ้าบ้านี่ เขานึกว่าตนเองเป็นจูกัดเหลียงหรืออย่างไร”
“…” คุณชายฉังเฟิง ต่อให้คุณชายเว่ยไม่ใช่จูกัดเหลียง[1] ท่านเองก็ไม่ใช่จ้าวจื่อหลง[2]นะ
หากมีใครสามารถลอยขึ้นไปบนฟ้าได้ก็จะได้เห็นภาพน่าสนใจภาพนี้ กองทัพทหารม้าวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่กี่ลี้ด้านหลัง ก็มีกองทัพทหารม้าอีกหนึ่งกองทัพกำลังวิ่งไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง พื้นที่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ราวกับสัตว์ป่าวิ่งไล่กันไม่ยอมพ่าย เพียงมีหนึ่งฝ่ายไล่ล่าหนึ่งฝ่ายหนี สิ่งที่รออยู่ก็คือชะตาชีวิตเจ้าตายข้าอยู่
“คุณชายฉังเฟิง พวกเราหนีไม่พ้น” กองทัพของพวกเขาอ่อนล้า หากต้องการหนีระยะทางยาวไกลตอนนี้อย่างไรก็สู้ทหารเป่ยหยวนไม่ได้
ลิ่นฉังเฟิงแสยะยิ้ม “เจ้าเห็นว่าข้าวิ่งหนีมากับพวกเจ้ากว่าครึ่งวันนี่กำลังเล่นสนุกอยู่กับพวกเจ้าหรือ” หยิบกระบี่ขึ้นมาตัดไปที่ปอยผมของตนเอง เส้นผมลอยตามลมหนาวกลับไปด้านหลัง ลิ่นฉังเฟิงหรี่ตา เอ่ยอย่างพึงพอใจ “ดี เป็นที่นี่แล้ว จุดไฟ”
“คุณชายฉังเฟิง จุดไฟไม่ใช่เรื่องเล็ก เกิดไม่ระวังลมตีกลับมา คนที่โชคร้ายก็คือพวกเขาเอง
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “อย่างไรก็ตายเหมือนกัน ที่นี่ยังไม่ใช่บ้านของเรา เราไม่ต้องดับไฟ เจ้าว่าพวกเขาจะดับหรือไม่”
แน่นอนว่าต้องดับสิ บ้านใครถูกไฟไหม้แล้วไม่ดับยังจะว่างมาต่อสู้กับใครอีก
“เด็กๆ เหล้าที่เหลือเทให้หมด จุดไฟ”
“ขอรับ”
ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ภายใต้ท้องฟ้ายามโพล้เพล้เต็มไปด้วยกลุ่มควันและเปลวเพลิงกระจายเป็นวงกว้าง ลิ่นฉังเฟิงแสยะยิ้ม กลับหัวม้า “ไป”
รอกระทั่งทหารเป่ยหยวนวิ่งเข้ามาใกล้พลันมองเห็นเปลวไฟพุ่งเข้ามาจึงตกตะลึง ลมวันนี้ไม่เรียกว่าเบา ลมช่วยพัดโหมกระพือให้ไฟลุกไหม้อย่างบ้าคลั่ง กองกำลังทหารม้าเป่ยหยวนอดก่นด่าคนจงหยวนชั่วช้า ขอให้สวรรค์ลงโทษอยู่ในใจไม่ได้ สิ่งเหล่านี้แน่นอนว่าคุณชายฉังเฟิงไม่ได้ยิน ต่อให้ได้ยินเขาก็ไม่ใส่ใจ คุณชายอย่างข้าถูกพวกเจ้าบีบจนเกือบตาย ยังจะสนใจว่าสวรรค์จะลงโทษหรือไม่อยู่อีกหรือ
“รีบกลับไปรายงานท่านแม่ทัพ ดับไฟ คนอื่นๆ เลี่ยงไปตามจับพวกจงหยวน”
“ขอรับ”
ในยามท้องฟ้ากำลังจะมืด ในที่สุดกลุ่มของลิ่นฉังเฟิงก็ได้หยุดพักหายใจ อากาศเยี่ยงนี้ต้องวิ่งไกลกว่าหลายร้อยลี้ อย่าว่าแต่คนแม้แต่ม้าเองก็รับไม่ไหว เพียงแต่พักผ่อนยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ถูกไล่ตามมาทัน พวกเป่ยหยวนโกรธแค้นต่อกองทัพน้อยๆ พวกนี้เป็นอย่างยิ่ง หลายวันมานี้เที่ยววิ่งวุ่นไปทั่วก็แล้วไป ยังกล้าจุดไฟเผาทุ่งหญ้าอีก หากบีบเจ้าแมลงพวกนี้ไม่ตาย พวกเขายังจะกล้าต่อสู้กับต้าเซี่ยอีกหรือ ภายใต้ความโกรธของแม่ทัพที่อยู่บริเวณใกล้ๆ จึงส่งทหารกว่าสองหมื่นนายเข้าล้อมเหล่าลิ่นฉังเฟิงสองด้าน
“คุณชายฉังเฟิง ยินดีด้วย” เจี่ยนชิวหยางถอนหายใจ เอ่ย “พวกเราเพียงหนึ่งหมื่นคน ทำให้เป่ยหยวนส่งทหารมาล้อมกว่าหกหมื่นนาย นับว่าเป็นสงครามที่มีชื่อเสียงได้หรือไม่”
คุณชายฉังเฟิงลูบจมูกขำแห้ง
“ทั้งสองท่าน ตอนนี้จะทำเช่นไรหรือ” เซวียปินนั่งอยู่บนหลังม้า อดไม่ได้กลอกตาถาม ยามนี้ใช่เวลามาคุยเล่นหรือ หรือว่าประสาทของคนวังจื่อเซียวล้วนทำมาจากหนังวัวหรือไม่
ลิ่นฉังเฟิงเงยหน้ามองท้องฟ้า ถอนหายใจ “หมดทางแล้ว หนีเถิด รอดไปกี่คนก็รอดไปเท่านั้น พี่น้องที่รอดไปได้ต้องช่วยข้ากัดเนื้อเว่ยจวินมั่ว”
ต่อให้มีชีวิตกลับไป พวกเราก็ไม่กล้า ดังนั้น คุณชายลิ่นท่านไปเองเถิด
เฉินซิวชี้ไปด้านหน้า “เหมือนจะหนีไม่รอดแล้ว ไม่ใช่โจมตีสองด้าน แต่เป็นล้อมมาสามด้าน” ส่วนอีกด้านนั้น อีกด้านห่างออกไปห้าสิบลี้ก็เป็นค่ายใหญ่ของเป่ยหยวน ช่างเป็นสถานที่ที่ดีเสียจริง
เป็นเช่นนั้น ด้านหน้ามีเพียงเกือกม้าวิ่งเข้ามาสะท้านไปทั่วพื้นดิน ลิ่นฉังเฟิงก่นด่าด้วยความโกรธ “ให้ตาย คนที่ต้องตายเพราะเว่ยจวินมั่ว มีมากกว่าคนด้านหลังนั่นเสียอีก”
“ตอนนี้ทำอย่างไรดี”
เจี่ยนชิวหยางไหวไหล่ “ทุกคนเลือกทิศทางที่ตนเองชอบ สังหารมันกลับไปหรือ”
ตอนนี้ดูเหมือนคงต้องเป็นเช่นนี้แล้ว
มองดูกองกำลังทหารม้าเป่ยหยวนที่เข้าใกล้มาเรื่อยๆ ทุกคนต่างกระชับอาวุธในมือแน่น
นอกจากเหล่าลิ่นฉังเฟิงที่มีท่าทีสนุกสนานท่ามกลางความขมขื่น นายทหารชั้นสูงผู้นำทัพของเป่ยหยวนที่วิ่งตามมาด้านหลังนั้นเกิดความสงสัย “ด้านหน้านั่นเป็นกองกำลังจากเผ่าใด”
รองแม่ทัพด้านข้างส่ายศีรษะ พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าด้านหน้านั่นเป็นกองทัพของเผ่าใด หรือว่าท่านแม่ทัพไม่วางใจพวกเขาจึงส่งคนมาเพิ่มหรือ หากมิใช่เพราะความชั่วช้าของพวกจงหยวน พวกเขาคงสังหารไปจนหมดแล้ว
นายทหารชั้นสูงผู้นำทัพลังเล สุดท้ายจึงเอ่ย “ส่งหน่วยสอดแนมไปดู ใครนำทัพกันแน่”
“ขอรับ”
ฝั่งนี้กำลังหารือ กองกำลังฝั่งตรงข้ามกลับไม่มีความเกรงใจ มุ่งตรงไปทางกลุ่มของลิ่นฉังเฟิงโดยไม่หยุดพัก ดวงตาของลิ่นฉังเฟิงฉายแววสังหาร กระบี่ในมือกำลังจะถูกชักออกมา ทว่าถูกร่างชายในอาภรณ์สีครามที่นำทัพอยู่ด้านหน้าทำให้ตกใจจนแทบตกจากหลังม้า
“นั่น…นั่น นั่น…” ใครบอกเขาทีว่ากองกำลังทหารที่เต็มไปด้วยไอสังหารตรงหน้ามิใช่ทหารเป่ยหยวน ใครมาบอกเขาที ไยเขาจึงมองเห็นเว่ยจวินมั่วควบม้าเข้ามาพร้อมกองกำลังเป่ยหยวน และใครก็ได้มาบอกเขาที ไยเว่ยจวินมั่วจึงดูเหมือนเป็นคนนำทัพของคนเหล่านั้น
คุณชายเว่ยทรยศประเทศเข้าร่วมกับศัตรูหรือ
คุณชายเว่ยแสดงพลังข่มขู่ อาศัยตัวคนเดียวก็สามารถยึดกองกำลังหลายหมื่นของเป่ยหยวนได้อย่างนั้นหรือ
ด้านบนนั้น เป็นเพียงการคาดเดาไปต่างๆ นานาของคุณชายฉังเฟิง
กระทั่งคุณชายเว่ยที่อยู่บนหลังม้าพุ่งตรงมาทางนี้เอ่ยขึ้นเสียงเข้ม “ทุกคนหลบไป”
น้ำเสียงทรงพลังถูกเปล่งออกไป ดังเข้าสู่แก้วหูของทุกคนอย่างชัดเจน จากนั้นพลันมองเห็นทหารเป่ยหยวนฝั่งตรงข้ามที่ไม่ทันได้สติ ถูกทหารเป่ยหยวนที่เต็มไปด้วยความโกรธดุจดาบคมยิงเข้าไป…ที่หน้าอกของฝ่ายตนเอง
ทหารเป่ยหยวนรู้สึกหดหู่ แม้ครานั้นจะถูกคนจงหยวนขับไล่ออกมาร่อนเร่ในเขตทุ่งหญ้า แต่นักรบผู้กล้าหาญของเป่ยหยวนไม่เคยยอมอ่อนข้อต่อการต่อสู้กับกองกำลังรักษาการณ์โยวโจวที่ต้องเกิดขึ้นในทุกๆ ปี แต่ว่า…นักรบผู้กล้าหาญของเป่ยหยวนต่อให้กล้าหาญเพียงใด ก็ไม่อาจจัดการกับจิตใจอันชั่วร้ายของชาวจงหยวนได้
ใครจะคิดว่ากองกำลังที่โผล่มาในทุ่งหญ้าที่ดูอย่างไรก็เป็นคนของตนเอง จะกลับไปร่วมมือกับชาวจงหยวนมาทำร้ายคนของตนเอง
ดังนั้น เหล่านักรบผู้กล้าหาญของเป่ยหยวนที่ไม่ทันคาดคิดจึงถูกทหารหลายหมื่นที่พุ่งเข้ามาสังหารไปได้โดยไม่ทันตั้งตัว การรบเพียงครั้งเดียว กองทัพทหารกว่าหกหมื่นต้องสูญเสียไปเกินครึ่ง นี่ยังไม่ใช่เรื่องน่าหดหู่ที่สุด ในยามที่พวกเขารายงานไปที่ค่ายเพื่อรอกำลังเสริม ข่าวที่ได้รับกลับมาคือกองกำลังโยวโจวที่เฝ้าประจำการอยู่เขตชายแดนพลันลุกฮือขึ้นมาอย่างกะทันหัน จัดการกับทหารนับแสนมุ่งหน้าออกจากด่านกำแพงตรงมายังค่ายใหญ่ ดังนั้น…แม่ทัพใหญ่จึงไม่มีเวลามาสนใจพวกเขา กองทัพทหารหลายหมื่นที่เคยวิ่งไล่ล่าเหล่าลิ่นฉังเฟิงอย่างบ้าคลั่งต้องกลายเป็นผู้ถูกล่าเสียเอง
เปรียบกำลังในการรบ ทุกคนล้วนเป็นนักรบผู้กล้าที่เกิดมาในเขตนอกกำแพง ใครก็ไม่เกรงกลัวต่อใคร เปรียบกำลังม้า ม้าที่ถูกเลี้ยงอย่างอ้วนท้วนสมบูรณ์เทียบกับม้าที่ถูกเหล่าลิ่นฉังเฟิงพาวิ่งวุ่นไปทั่วเขตทุ่งหญ้ามาตลอดหลายวันอย่างนั้นหรือ เปรียบมันสมอง แม่ทัพขั้นสองของเป่ยหยวนที่ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความเฉลียวฉลาด เทียบกับคุณชายเว่ย คุณชายฉังเฟิง อดีตมือสังหารวังจื่อเซียว กองกำลังรักษาการณ์โยวโจวที่เกิดมาจากตระกูลขุนพล ผลลัพธ์น่ะหรือ… เหอะๆ
[1] จูกัดเหลียงหรือขงเบ้ง เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก
[2] จ้าวจื่อหลงหรือจูล่ง เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก