เฉินอวี้ยิ้มขมขื่น “ไม่รายงานได้หรือ หากคุณชายเว่ยเกิด…”
จูหงที่อารมณ์ร้อนที่สุดเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าแซ่เซี่ยนั่นไม่ได้เรื่องจริงๆ คุณชายเว่ยออกนอกด่านไปหลายวันเพียงนี้จึงส่งคนมาส่งข่าว ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเจ้าเด็กนี่จะร้ายกาจเพียงนี้”
เฉินอวี้กลอกตา เอ่ย “เขายอมส่งจดหมายมาให้ท่าน ท่านควรลอบยิ้มได้แล้ว หากรอให้กองทัพของคุณชายเว่ยตายสิ้นค่อยมาบอกกับท่าน เช่นนั้นแล้วท่านจะทำอันใดเขาได้” อย่างไรสองฝ่ายก็มิใช่นายเดียวกัน ไม่มีความคิดที่จะร่วมมือกัน เว่ยจวินมั่วเป็นผู้ใต้บัญชาของเซี่ยลี่ ไม่บอกพวกเขาก็ทำอันใดไม่ได้ ถึงตอนนั้นคงจะโยนโทษนำทัพล้มเหลวให้แก่คุณชายเว่ยอีกด้วย
จูหงเอ่ยขึ้นว่า “หากไม่ต้องการกำลังเสริมจากเรา เขาจะส่งจดหมายมาหรือ หากไม่มีพวกเรา อาศัยเพียงทหารไม่กี่หมื่นของเขา คงได้ถูกเป่ยหยวนกลืนไปนานแล้ว”
เซวียเจินยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว เอ่ย “ตอนนี้พวกเราควรหารือว่าควรทำเช่นไรมิใช่หรือ” ไม่เพียงคุณชายเว่ย เหล่าลูกหลานของพวกเขาเองก็อยู่ในกองทัพด้วยนะ
“แน่นอนว่าต้องเคลื่อนทัพ” เฉินอวี้และจูหงเอ่ยขึ้นโดยพร้อมเพรียง
เซวียเจินพยักหน้า ลุกขึ้นพลางเอ่ย “ได้ ข้าน่าจะอยู่ใกล้เส้นทางของกองทัพคุณชายเว่ยที่สุด ข้าจะนำทัพไปเอง”
จูหงกังวลเล็กน้อย “คุณชายเว่ยออกจากด่านไปกว่าสิบวันแล้ว จะไปทันหรือ” ฤดูนี้ พื้นที่นอกด่านนั้นไม่อาจอยู่ได้ง่ายๆ ต่อให้ไม่ได้ทำสงครามแต่อาจหลงทางก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้มีทหารเป่ยหยวนนับแสนตระเวนไปทั่วเขตทุ่งหญ้า เพียงปะทะครั้งเดียว ก็สามารถสังหารคนสองหมื่นคนราวกับดอกไม้ได้ง่ายๆ
“จะทันหรือไม่ทันก็ต้องไป” เฉินอวี้เอ่ย “แม่ทัพเซวีย รบกวนท่านแล้ว พวกเราจะส่งข่าวไปให้เยี่ยนอ๋องโดยเร็วที่สุด”
“ได้ ข้าต้องไปแล้ว” เซวียเจินลุกขึ้น รีบกล่าวลาและเดินออกไป
คุณชายฉังเฟิงคิดว่า หากสวรรค์ให้โอกาสกับเขาอีกสักครั้ง เมื่อไรที่เขาได้เจอหน้ากับเว่ยจวินมั่วเจ้าคนนั้นอีกครั้งเขาจะออกห่างให้ไกล ออกห่างได้ไกลเท่าใดก็ห่างเท่านั้น
ยกเท้าถีบทหารเป่ยหยวนที่คิดเข้ามาทำร้าย กระบี่ของลิ่นฉังเฟิงปักลงบนพื้นหอบหายใจ พร้อมเอ่ย “หากเว่ยจวินมั่วยังไม่กลับมาอีก พวกเราคงจะตายกันหมดแน่ ฝัง ไม่คิดว่าชาตินี้ข้าจะมาตายไปพร้อมกับเจ้า” เหนื่อยแทบตาย คุณชายฉังเฟิงคร้านจะนึกว่าควรเรียกเจี่ยนชิวหยางว่าอย่างไรกันแน่
เจี่ยนชิวหยางนั่งพิงม้าที่เพิ่งตายไปพร้อมหลับตาลงตั้งสติ ไม่สนใจว่าพื้นหนาวเหน็บเพียงใด ฟังคำของลิ่นฉังเฟิง เจี่ยนชิวหยางยิ้มขมขื่น เอ่ย “คุณชายฉังเฟิงวางใจเถิด ต่อให้พวกเราตายกันหมดแล้วท่านก็ไม่มีทางตายอย่างแน่นอน”
“เอ๋ ทำไมเล่า”
“จวิ้นจู่บอกว่า คนชั่วอายุยืนยาวเป็นพันปี” เจี่ยนชิวหยางเอ่ยตอบนิ่งๆ
“ฮ่าๆ” พวกเซวียปินไม่กี่คนที่กำลังพักอยู่ด้วยกันหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ หลายวันมานี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของพวกเขาแล้ว เริ่มแรกยังดี หลายวันก่อนพวกเขาถูกทหารเป่ยหยวนเกือบหมื่นเจอเข้า ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันแม้สุดท้ายพวกเขาเป็นฝ่ายเอาชนะและสะบัดพวกเป่ยหยวนหลุดได้ทว่าสูญเสียไปไม่น้อย นับตั้งแต่วันนั้น ในทุกๆ วันล้วนต้องหลบเลี่ยงทหารม้าของเป่ยหยวน พาทหารเป่ยหยวนวิ่งไปทั่วเขตทุ่งหญ้า อีกทั้งหลายวันมานี้อากาศก็ไม่ดีนัก เมื่อคืนเพิ่งมีหิมะตกกลางๆ ไม่หนักมาก วันนี้พลันมีการต่อสู้ตั้งแต่เช้า ตอนออกมาพวกเขามีทหารสองหมื่นนาย ตอนนี้เหลืออยู่เพียงหนึ่งหมื่นสองสามพันนายเท่านั้น สูญเสียไปเกือบสี่ส่วน
เสียงหัวเราะกระทบบาดแผล เซวียปินกัดฟันอย่างอดไม่ได้ ยาหนึ่งขวดถูกโยนเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ไกลออกไปลิ่นฉังเฟิงเอ่ยขึ้นโดยไม่หันหน้ามาด้วยซ้ำ “เหลือเพียงน้อยนิด ให้เจ้า ระวังตัวหน่อย ยามนี้บาดแผลไม่เน่าเปื่อยง่ายๆ แต่หากถูกแช่แข็งแล้วก็คงไม่ดี ถึงตอนนั้นอย่าได้กลายเป็นคนพิการกลับไป เดี๋ยวแม่ทัพเซวียได้ร้องไห้กันพอดี”
เซวียปินกำขวดยาเอาไว้แน่น เอ่ย “ขอบคุณคุณชายฉังเฟิง”
ลิ่นฉังเฟิงส่งเสียงเบาอยู่ในลำคอ โบกไม้โบกมือบอกว่าไม่ต้อง
“ผู้บังคับการกองร้อยเซวีย เจ้าว่า…ไยแม่ทัพเซี่ยต้องส่งพวกเราออกมาในยามนี้” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่ทหารหลายคนสงสัย พวกเราไม่คุ้นเคยกับภูมิศาสตร์พื้นที่นอกด่านกำแพง บอกว่ามาซุ่มโจมตีคงเป็นเรื่องตลก อย่าส่งพวกเขาเข้าปากศัตรูก็ไม่เลวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น กองกำลังสองหมื่นนายสามารถซุ่มโจมตีทหารเป่ยหยวนได้หรือ
เซวียปินเหลือบมองเฉินซิว เฉินซิวเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “เรื่องนี้…แม่ทัพเซี่ยคงมีแผนของเขา พวกเราที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจะเข้าใจได้หรือ”
“แม่ทัพเซี่ยจะส่งคนมาสนับสนุนเราหรือไม่”
เฉินซิวถอนหายใจ “ในมือแม่ทัพเซี่ยตอนนี้ก็มีไม่ถึงเจ็ดหมื่นคน”
นั่นหมายความว่าไม่มีทาง
“ดังนั้น หากพี่น้องอยากมีชีวิตอยู่พวกเราคงต้องสู้ด้วยตนเองแล้ว” เฉินซิวเอ่ย “อย่างน้อย ก็ก่อนที่แม่ทัพเว่ยจะกลับมา”
“แม่ทัพเว่ยจะกลับมาหรือ” ตั้งแต้ต้นยังไม่เห็นแม้แต่เงาเว่ยจวินมั่ว ใช่ว่าจะไม่มีใครมีความคิดนี้
จูเหมิงเอ่ยเสียงหยัน “ร่วมรบกันมานานเพียงนี้ แม่ทัพเว่ยเคยหนีสงครามตั้งแต่เมื่อใด”
ทุกคนนึกถึงคนที่เป็นดั่งอสุรา[1]เมื่อยู่ในสนามรบขึ้นมา ทันใดนั้นความฮึกเหิมกล้าหาญพลันเกิดขึ้นในใจ แม้แต่แม่ทัพเว่ยอสุราผู้นั้นยังไม่กลัว ข้าจะกลัวพวกป่าเถื่อนเป่ยหยวนนั่นไปไย
ผึ่งหูฟังคนเหล่านี้คุยกัน ลิ่นฉังเฟิงส่งสายตากันกับเจี่ยนชิวหยาง เจ้าเด็กนี่ฉลาดนี่นา
เจี่ยนชิวหยางยิ้มบาง เอนตัวพิงม้าด้านหลังทำสมาธิต่อไป
เสียงแตรดังเข้ามา ดวงตาของลิ่นฉังเฟิงหดเกร็งขึ้น รีบลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว “ศัตรูโจมตี ลุกขึ้นเตรียมตัวต่อสู้”
คนที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าเป็นลิ่นฉังเฟิง เจี่ยนชิวหยาง รวมไปถึงเหล่าองครักษ์ของเว่ยจวินมั่ว จากนั้นก็เป็นพวกเซวียปินที่ถูกคุณชายเว่ยทรมานแทบตายเหล่านั้น และคนสองกลุ่มนี้ยังบาดเจ็บสูญเสียน้อยที่สุดในการรบ ผ่านการต่อสู้ดุเดือดติดต่อกันมาหลายวัน คนของวังจื่อเซียวถึงตอนนี้มีเพียงได้รับบาดเจ็บทว่าไม่มีใครล้มตายแม้แต่เพียงคนเดียว
ทุกคนรีบลุกขึ้นมา จูเหมิงกัดฟันพลางเอ่ยว่า “ผู้บังคับการกองพันลิ่น พวกเราจะสู้หรือขอรับ”
“สู้ก็บ้าน่ะสิ หนี” ลิ่นฉังเฟิงกระตุกบังเหียน เอ่ยเสียงเข้ม “วังจื่อเซียว ดักทาง”
“ขอรับ”
ครั้งนี้ กองกำลังเป่ยหยวนตั้งใจแน่วแน่ว่าจะบีบคนกลุ่มนี้ที่กล้าออกมาป่วนนอกด่านกำแพงให้ตายสิ้น เปลี่ยนจากกองกำลังเล็กๆ มาเป็นส่งกองทัพทหารกว่าสี่หมื่นนายมาล้อมกลุ่มของลิ่นฉังเฟิงเอาไว้ ต่อให้ในสถานการณ์ที่กำลังทหารใกล้เคียงกัน ทหารของต้าเซี่ยก็ไม่อาจเอาชนะเป่ยหยวนได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงทหารที่มีมากกว่าสามเท่า บีบทหารหมื่นกว่าคนให้ตายเป็นเรื่องของเวลาว่าจะช้าหรือเร็ว
ห่างออกมาหลายลี้ก็รู้สึกถึงระยะห่างระหว่างสองฝ่าย เฉินซิวควบม้าวิ่งมาอยู่ตรงหน้าลิ่นฉังเฟิง เอ่ยถาม “ผู้บังคับการลิ่น ตอนนี้เราจะทำอย่างไร”
ลิ่นฉังเฟิงกัดฟัน ม้าวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เขายื่นมือเดียวไปหยิบถุงที่อยู่ติดตัวพร้อมเปิดออก ด้านในถุงเล็กนั้นมีกระดาษเล็กๆ หนึ่งแผ่น เขียนสองคำง่ายๆ ลิ่นฉังเฟิงชะงัก เอ่ยเสียงเข้ม “มุ่งหน้าทางตะวันออก”
เจี่ยนชิวหยางควบม้ามาด้านข้างของลิ่นฉังเฟิง เอ่ยเสียงเข้ม “มุ่งหน้าทางตะวันออกเป็นพื้นที่ของหว่าชื่อ”
[1] อสุรา หรือ อสูร คือ เทพนักรบในตำนานของอินเดีย