ปินจวี๋ที่อยู่ข้างๆ รีบอธิบาย “ฮูหยิน คุณชายน้อยห้าได้ยินว่าท่านกลับมาแล้วจึงอยากจะมาพบท่าน พวกบ่าวจะห้ามก็ห้ามไม่อยู่เจ้าค่ะ…”
เหตุผลหลักก็คือเป็นเพราะตอนนี้สวีซื่อเจี้ยเป็นคุณชายน้อยแล้วจึงไม่อาจห้ามได้กระมัง
สืออีเหนียงมองมือของเขาที่กำแน่นแล้วถามเสียงเบาว่า “เจี้ยเกอ เจ้าอยากให้ข้าทานขนมหรือ เจ้าเอาขนมที่จุนเกอมอบให้เจ้ามาให้ข้าทานใช่หรือไม่”
เขาซุกหัวลงในอ้อมกอดของปินจวี๋แล้วเงียบไป
สืออีเหนียงใจอ่อน นางถอนหายใจเบาๆ
การปฏิเสธตามสัญชาติญาณของนางคงทำให้เด็กคนนี้เสียใจกระมัง
สืออีเหนียงลุกขึ้น ลูบหัวของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจี้ยเกอ เจ้าจะให้ข้าทานขนมใช่หรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยเงยหน้าขึ้น มองสืออีเหนียงอย่างไม่แน่ใจ
สืออีเหนียงมองเขาด้วยรอยยิ้มสดใส
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเงียบๆ
ปินจวี๋พูดอย่างไม่สบายใจว่า “ฮูหยิน หลังจากที่ท่านไปคุณชายน้อยสี่ก็จะสอนคุณชายน้อยห้าเตะลูกขนไก่ แต่คุณชายน้อยห้าไม่ยอมอยากจะกลับเรือนอย่างเดียว คุณชายน้อยสี่จึงเอาขนมมะม่วงหิมพานต์มาเกลี้ยกล่อมคุณชายน้อยห้าแต่ก็ไม่สำเร็จบ่าวจึงต้องพาคุณชายน้อยห้ากลับมา แต่เขาก็ไม่ยอมเข้าเรือน กอดเสาประตูไม่ยอมไปไหน พวกบ่าวไม่รู้จะทำอย่างไรจึงทำได้เพียงยืนเป็นเพื่อนคุณชายน้อยห้า เมื่อถึงเวลาทานข้าวเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ บ่าวกับตงชิงไม่เพียงแต่ผลัดกันเกลี้ยกล่อมเท่านั้น ซ้ำยังนำน้ำแกงเนื้อแพะของป้าอู๋ที่อยู่โรงครัวมาเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้าไปทานข้าวในเรือน…กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้คุณชายน้อยห้าเข้าไปในเรือนได้นั้นไม่ง่ายเลย ไม่รู้ว่าใครพูดออกมาว่าฮูหยินกลับมาแล้ว เขาก็กระโดดลงมาจากเก้าอี้แล้ววิ่งมาที่ห้องของท่านเจ้าค่ะ” ขณะที่พูดเสียงของนางก็ค่อยๆ เบาลง “ก่อนหน้านี้พวกบ่าวก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายน้อยห้าจึงกำมือแน่นไม่ยอมปล่อยมือ…คิดไม่ถึงว่าเขาจะกำขนมไว้ในมือ”
สีหน้าของสืออีเหนียงค่อยๆ สงบนิ่ง นางพูดอีกครั้งว่า “เจี้ยเกอ ขนมที่จุนเกอให้อร่อยหรือไม่”
เขาพยักหน้าแล้วก็ส่ายหัว จากนั้นเขาก็ค่อยๆ แบมือออกมา
เนื่องจากว่าเขากำมันไว้นานเกินไป ขนมสีกุหลาบที่ละลายแล้วได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าสืออีเหนียงอีกครั้ง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วหยิบขนมจากฝ่ามือของเขา
อาจจะเป็นเพราะโดนเหงื่อในมือ พอเขาเข้าปากจึงมีรสเค็มเล็กน้อย
“อื้ม!” มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มของนางปรากฏให้เห็นในแววตา “ขนมนี่หวานมากจริงๆ”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มด้วยความดีใจ ดวงตาหงส์งดงามราวกับดวงดาวในยามเย็นช่วงฤดูร้อน เปล่งประกายอย่างมีความสุข
สืออีเหนียงกำชับปินจวี๋ว่า “ช่วยเขาล้างมือให้สะอาด แล้วหาขนมของเขาทั้งหมดให้เจอ เดี๋ยวเขาจะเอาไปซ่อนไว้บนเตียงหรือใต้หมอนจนละลาย” คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมจึงพูดเสริมว่า “หากล่องเล็กๆ ให้เขาใส่ของ ให้เขาฝึกนิสัยเก็บของไว้ในกล่อง”
ปินจวี๋รีบพยักหน้าตอบรับ
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบศีรษะสวีซื่อเจี้ย “จำไว้ว่าคราวหน้าหากจะทำอะไรจะต้องบอกข้าก่อน” จากนั้นก็มองเขาด้วยความจริงใจเพื่อดูว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้า จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “ขนมหวาน”
สืออีเหนียงยิ้มกว้าง “เจี้ยเกอของพวกเราว่านอนสอนง่ายจริงๆ ต่อไปนี้ก็ให้พูดกับข้าเช่นนี้ เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มพลางพยักหน้า
สืออีเหนียงถามปินจวี๋ว่า “เขาทานข้าวแล้วหรือยัง”
ปินจวี๋ท่าทางลำบากใจ “ทานเกี๊ยวไปสองชิ้นเจ้าค่ะ”
ก็เท่ากับว่ายังไม่ได้ทาน…
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “คุณชายน้อยใหญ่กับคุณชายน้อยสองยังเล่นอยู่ที่เรือนไท่ฮูหยินหรือไม่”
ตอนที่พวกเขาเข้าวังไปถวายพระพรได้มอบหมายให้ป้าตู้เป็นคนดูแลเด็กๆ
ปินจวี๋พยักหน้า “ตอนที่บ่าวกลับมา คุณชายน้อยทั้งหลายกำลังนอนหลับอยู่ในห้องคุณชายน้อยสี่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดกับสวีซื่อเจี้ยว่า “เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยรีบพยักหน้า
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้ากำชับเจ้าไว้ว่าอย่างไร หากเจ้าจะทำอะไรให้พูดออกมา เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยรีบพูดขึ้นมาทันที “ข้าไปด้วยขอรับ”
“ดีมาก เช่นนั้นเจ้าต้องทานเกี๊ยวที่ปินจวี๋ป้อนก่อนแล้วข้าถึงจะพาเจ้าไป”
เมื่อสวีซื่อเจี้ยได้ฟังก็ผลักปินจวี๋ออกแล้ววิ่งออกไปทันที
“คุณชายน้อยห้าเจ้าคะ!” ปินจวี๋รีบทรงตัว หันไปพูดกับสืออีเหนียงอย่างรีบร้อน “บ่าวจะตามไปดูเจ้าค่ะ” แล้วรีบตามออกไป
หู่พั่วที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านจะพาคุณชายน้อยห้าไปด้วยจริงๆ หรือเจ้าคะ บ่าวเกรงว่าจะมีคนมาอวยพรตรุษจีนให้ท่าน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ให้สาวใช้น้อยบอกให้เขาไปเตะลูกขนไก่ที่ห้องด้านในก็พอแล้ว”
สวีซื่อเจี้ยไม่ใช่เด็กที่ติดคนอื่น ขอเพียงแค่สืออีเหนียงอยู่ในที่ที่เขามองเห็นเขาก็จะสบายใจ หากสืออีเหนียงต้อนรับแขกอยู่ที่ห้องตะวันออกก็ให้สาวใช้น้อยพาเขาไปเล่นที่ห้องตะวันตก เขาไม่มีทางงอแงแน่นอน
จากการสังเกตหลายวันมานี้ หู่พั่วรู้นิสัยของสวีซื่อเจี้ยอยู่ไม่น้อย ได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้มีการโต้แย้ง ช่วยสืออีเหนียงเปลี่ยนเป็นเสื้อกั๊กยาวผ้าแพรสีชมพู และกระโปรงยาวปักลวดลายสีเขียวเข้ม สวีลิ่งอี๋ที่ใส่ชุดลำลองได้เดินเข้ามา “เรียบร้อยแล้วหรือยัง”
ดวงตาเขาเป็นประกาย
ผ้าแพรสีชมพูทำให้ใบหน้าของนางงดงามราวดอกท้อ
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้น “แต่ปินจวี๋กำลังป้อนข้าวให้เจี้ยเกออยู่ พวกเรารอก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเหตุใดยังทานข้าวอยู่อีก ต่อไปต้องสอนให้เขารู้จักกฎเกณฑ์ในเรือน”
“เขาพึ่งจะมาอยู่ในจวนได้ไม่นาน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไรอีก นั่งลงบนเตียงเตาริมหน้าต่าง
“วันนี้โรงครัวของเราก็ทำเกี๊ยวเช่นกัน ให้ข้ายกมาให้ท่านโหวทานรองท้องดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก” สวีลิ่งอี๋ปฏิเสธโดยไม่คิด
สืออีเหนียงนึกถึงอาหารสามมื้อต่อวันของเขา เขาไม่แตะขนมและผลไม้มื้อดึกแม้แต่นิดเดียว จึงทำได้เพียงนั่งลงเป็นเพื่อนเขา
“ตอนบ่ายพวกเราไปสกุลเจียงกันเถิด” จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็พูดขึ้นมา “เดี๋ยวจะต้องไปแต่งลูกสะใภ้ ยิ่งไปกว่านั้นการแต่งงานครั้งนี้ถูกหมั้นหมายโดยนายท่านใหญ่สกุลเจียงคนก่อนกับเจียงไป่ เจียงซงไม่ได้รู้สึกยินดีมากนัก ดังนั้นครอบครัวของเราต้องแสดงความจริงใจให้มากขึ้นจึงจะถูก”
หากมีของไหว้ติดไม้ติดมือไปเยอะแน่นอนว่าย่อมไม่ถูกตำหนิ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานะของสวีลิ่งอี๋คนอื่นก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
สืออีเหนียงพยักหน้า “หลายวันก่อนข้าดูสมุดบัญชี ญาติพี่น้องไปมาหาสู่กันเช่นนี้ใช้เงินในส่วนนี้ไปแค่ห้าสิบตำลึง…”
“แค่ห้าสิบตำลึงหรือ!” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าจะให้ผู้ดูแลจ้าวเลือกภาพวาดจากคลังส่งไปให้อีกสองสามภาพ”
สืออีเหนียงพยักหน้าตอบรับ นางหยิบป้ายที่ไท่ฮูหยินให้มาแล้วให้หู่พั่วนำไปขอรูปภาพจากคลัง
สาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “คุณชายน้อยห้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
“ให้เข้ามา” สืออีเหนียงพยักหน้า ปินจวี๋อุ้มสวีซื่อเจี้ยเดินเข้ามา
เมื่อสวีซื่อเจี้ยเห็นว่าสวีลิ่งอี๋อยู่ด้วยดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
ปินจวี๋พาเขามาคำนับสวีลิ่งอี๋ เขายืนมองสวีลิ่งอี๋อยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ไม่มีความคล่องแคล่วเหมือนปกติ ดูเหม่อลอยเล็กน้อย
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็รู้สึกขบขัน พูดขึ้นมาว่า “เจ้าทานเร็วขนาดนี้เลยหรือ”
เพราะมีสวีลิ่งอี๋อยู่ ปินจวี๋จึงแสดงท่าทีนอบน้อมเป็นอย่างมาก “ทานเกี๊ยวไปเก้าลูกแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า มองสวีซื่อเจี้ยแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจี้ยเกอเก่งมาก”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มด้วยความดีใจ
แต่สวีลิ่งอี๋กลับขมวดคิ้ว “เหตุใดเด็กคนนี้จึงไม่พูดไม่จา”
สวีซื่อเจี้ยเห็นดังนั้นจึงรีบถอยหลังไปสองก้าว ใบหน้าเล็กของเขาดูตึงเครียด
สืออีเหนียงอดยิ้มไม่ได้ นางเข้าไปอุ้มสวีซื่อเจี้ย “พวกเราไปหาไท่ฮูหยินกันเถิด”
“เขาเดินเองไม่เป็นหรืออย่างไร” สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ให้ปินจวี๋อุ้มเถิด หากเจ้าอุ้มระวังจะหลุดมือเอา”
การที่อุ้มเด็กสามขวบนั้นรู้สึกลำบากจริงๆ สืออีเหนียงจึงให้ปินจวี๋เป็นคนอุ้มตามที่สวีลิ่งอี๋บอก ยิ้มแล้วพูดว่า “เดินไปที่เรือนไท่ฮูหยินต้องใช้เวลาสองถ้วยน้ำชา เจี้ยเกอยังเล็กเกินไป”
สวีลิ่งอี๋ก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย
เขาไม่มีประสบการณ์ในการพูดคุยกับเด็ก
ครั้งแรกที่เขาได้เป็นพ่อคนก็ตอนที่เขาไปรับราชการ ลูกนั้นยังอยู่ในท้อง พอกลับมาลูกก็วิ่งเล่นได้แล้ว พอมีจุนเกอเขาก็ย้ายไปอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น จากนั้นก็ไปออกรบ…
ส่วนสืออีเหนียงกำลังคิดถึงเรื่องไปเยี่ยมสกุลเจียง
ในวันตรุษจีนพึ่งจะกลับมาจากวัง แต่สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือไปเยี่ยมสกุลเจียง
ดูเหมือนว่าเขาไม่เพียงแต่ตัดสินใจที่จะทำให้การหมั้นหมายในครั้งนี้เสร็จสิ้นเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากอีกด้วย
นางพลันนึกถึงเรื่องที่อยู่ในใจของตัวเองมาเสมอ นั่นก็คือการเลือกอาจารย์ให้จุนเกอ
“ท่านโหว ครั้งก่อนพี่สะใภ้สองบอกว่าฉินเกอกับอวี้เกอมีวิชาความรู้ที่ดีมาก อยากจะเชิญอาจารย์มาสอนโดยเฉพาะไม่ใช่หรือเจ้าคะ สกุลเจียงมีสำนักศึกษาอยู่ที่บ้านเกิด เหตุใดท่านไม่ขอให้สกุลเจียงช่วยแนะนำอาจารย์ให้สักท่าน…”
สวีลิ่งอี๋ส่ายหน้าเบาๆ “อย่างไรเสียทั้งสองสกุลก็ยังไม่ได้นับญาติกันอย่างเป็นทางการ” หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นสำนักศึกษาของสกุลเจียงให้ความสำคัญกับบทเรียนแปดบทมากกว่าบทกวีนิพนธ์ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ช่างมันเถิด”
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่สวีลิ่งอี๋เคยกล่าวไว้ว่าท่านโหวคนก่อนที่ล่วงลับไปแล้วก็เคยขัดขวางคุณชายสามจากการเข้าร่วมการสอบ
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่ตัวเองอยู่ในจวนสกุลหลัว ไม่ว่าจะเป็นนายท่านใหญ่หรือนายหญิงใหญ่ ต่างก็กำชับให้หลัวเจิ้นซิ่งและหลัวเจิ้นเซิงเรียนบทเรียนแปดบทเพื่อเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการ แล้วยังบอกอีกว่าบทกวีนิพนธ์ล้วนเป็นวิชาที่ไร้สาระ แต่ความคิดของสกุลสวีกลับตรงกันข้าม ไม่ส่งเสริมให้บุตรชายเข้าร่วมการสอบ อย่าลืมว่าตอนที่ราชวงศ์โจวประกาศรับข้าราชการทหาร มีเพียงคนที่เกิดในตระกูลขุนนางที่ประพฤติดีถึงจะได้เข้าร่วม ที่เหลือต่างถูกมองว่าเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ไม่มีสิทธิ์ได้รับโอกาสนี้ สวีลิ่งอี๋มีทั้งบุตรชายของอนุภรรยาและบุตรชายของภรรยาเอก แต่ตำแหน่งหย่งผิงโหวกลับมีเพียงตำแหน่งเดียว วิธีที่ดีที่สุดในการลดความขัดแย้งเหล่านี้คือการส่งเสริมให้ลูกๆ พึ่งพาตัวเอง ในท้ายที่สุดการแข่งขันของอำนาจก็คือการแข่งขันของสิทธิในการดำรงชีวิต ถ้าลูกๆ มีความสามารถในการอยู่รอด ความโลภในตำแหน่งก็จะมีน้อยกว่าเด็กที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้
สืออีเหนียงหวังว่าสวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ยจะพึ่งพาตัวเองได้…
“ความคิดของท่านโหวช่างแปลกจริงๆ” นางลองที่จะพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ “ข้าเคยได้ยินแต่คนอยากจะสอนบุตรหลานให้ตั้งใจศึกษาบทเรียนแปดบท ไม่เคยได้ยินว่าสกุลไหนที่ไปเชิญอาจารย์มาแต่กลับไม่ชอบอาจารย์ที่สอนบทเรียนแปดบท”
สืออีเหนียงเป็นบุตรสาวของสกุลหลัว เติบโตในเรือนใน ดังนั้นมุมมองที่กล่าวมาเหล่านี้ย่อมเป็นความเห็นของสกุลหลัว
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “พวกเรากับสกุลหลัวแตกต่างกัน”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
หมายความว่าสกุลสวีเป็นตระกูลขุนนางที่สืบทอดตำแหน่งกันมาอย่างนั้นหรือ
สวีลิ่งอี๋เห็นความสับสนในแววตาของสืออีเหนียงจึงอดยิ้มไม่ได้
ไม่ว่าสืออีเหนียงจะฉลาดแค่ไหนแต่นางก็ยังขาดความรู้ไปบ้าง
“หลังจากที่ได้เข้ารับราชการแล้ว สกุลคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีใครที่จะไม่ใช้ตำแหน่งมาเชิดชูตระกูล เมื่อเข้ารับราชการแล้วก็จะมีสหายร่วมชาติ มีสหายร่วมตำแหน่ง มีที่หลบภัย แต่สกุลขุนนางของเรานั้นแตกต่างกัน ได้รับคำสั่งให้จงรักภักดีต่อฝ่าบาท ความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งขึ้นอยู่กับฮ่องเต้เพียงคนเดียว” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างอ้อมค้อมว่า “พวกเราจะโลภมากจนทำผิดกฎของเรือนไม่ได้”
สืออีเหนียงพิจารณาคำพูดของสวีลิ่งอี๋อยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจ
สกุลหลัวมีเพียงการเข้ารับตำแหน่งจากการสอบเข้าจึงจะทำให้ตระกูลเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นจึงต้องศึกษาบทเรียนแปดบทให้ดี แต่คนอย่างสกุลสวีขอเพียงแค่รับใช้ฮ่องเต้ให้ดีก็พอแล้ว การผ่านความยากลำบากมาสิบปี เมื่อผ่านมาได้แล้วก็จะได้รับการดูแลจากผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์เช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถสอบผ่านเข้ารับราชการได้ ประการแรกคือไม่ได้รับการยอมรับจากขุนนางที่เข้ามาโดยผ่านการสอบ สองคือไม่มีเส้นสายในแวดวงนี้ สิ่งที่ต้องทำต่อไปและทำได้ดีคือการพึ่งพาฮ่องเต้อย่างเดียวเท่านั้น
ดังนั้นหากคนสกุลหลัวต้องการให้สกุลมีหน้ามีตาก็ต้องอาศัยการสอบจอหงวน ส่วนสกุลสวีหากต้องการให้มีหน้ามีตาก็ต้องอาศัยคำชมเชยจากฮ่องเต้เพราะว่าไม่มีทางออกทางอื่น ดังนั้นจึงต้องเรียนรู้สิ่งที่แตกต่างจากผู้อื่น
นี่คงเป็นวิธีที่ฮ่องเต้ทำให้เหล่าบรรดาขุนนางเท่าเทียมกันกระมัง
นางพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง