ลู่เจียวครุ่นคิดเรื่องคุณหนูเจ็ดตระกูลเฉา การที่หญิงผู้นี้ปรากฏตัวย่อมเป็นเพราะอุบายของจางปี้เยียน นางต้องการให้คุณหนูเจ็ดตระกูลเฉาล่อลวงเซี่ยอวิ๋นจิ่นให้ลุ่มหลง จากนั้นก็ให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นทอดทิ้งนาง
จางปี้เยียนน่าจะคิดว่านี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะแก้แค้นนาง บางทีรอให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลิกกับนาง นางอาจแล่นมาหัวเราะเยาะตรงหน้านางก็เป็นได้
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วสีหน้าก็เย็นเยียบอย่างไม่อาจบรรยาย หญิงผู้นี้น่ารังเกียจโดยแท้ ช้าเร็วสักวันหนึ่ง นางจะต้องเอาคืน
วันรุ่งขึ้นลู่เจียวยังไม่ทันตื่นก็ได้กลิ่นดอกกุ้ยหอมละมุน ลู่เจียวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
หอมจริง
นางพลันลืมตาโพลง เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นย่อตัวประคองดอกกุ้ยราตรีช่อโตอยู่ข้างเตียง เขาย่องเข้ามาเตรียมจะวางไว้ข้างหมอนนางอย่างเบามือ เขาไม่อยากให้ลู่เจียวตื่นมาพบในตอนนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นตำหนิตนเอง “ข้าทำเจ้าตื่นหรือ”
ลู่เจียวยิ้มพลางส่ายหน้า “เปล่า กลิ่นหอมทำข้าตื่น”
นางชอบดอกกุ้ย เพราะว่าทุกครั้งที่ดอกกุ้ยบาน ก็จะเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์เดือนแปด เมื่อก่อนตอนเด็ก นางวาดฝันถึงภาพบิดามารดาพานางฉลองเทศกาล จนกระทั่งต่อมาก็รู้ว่านั่นเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ก็ไม่คิดฝันต่ออีก แต่กลับชอบกลิ่นหอมของดอกกุ้ยเพราะเหตุนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นข้างเตียงเห็นลู่เจียวตื่นแล้วก็ยิ้มส่งดอกกุ้ยให้ลู่เจียว “ชอบไหม ข้าหาแจกันดอกไม้มาให้เจ้าปักดีไหม”
ลู่เจียวรีบพยักหน้าอย่างดีใจ “ได้ แต่บ้านเราเหมือนไม่มีดอกกุ้ยนี่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ทันได้กล่าวอันใด นอกประตู เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็พุ่งเข้ามาแย่งกันพูด
“พวกเราเป็นเพื่อนท่านพ่อไปเด็ดดอกกุ้ยที่บ้านท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิว”
“บ้านท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิวมีต้นดอกกุ้ยมากมาย”
“นี่คือดอกกุ้ยที่งามที่สุดที่ท่านพ่อปีนขึ้นไปเก็บมา”
ซานเป่ากล่าวจบ ลู่เจียวก็มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างแปลกใจ “เจ้าปีนต้นไม้?”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นลูบจมูกเก้อเขิน “ข้าก็เป็นคนบ้านนอก ทำไมจะปีนต้นไม้ไม่เป็น”
เพียงแต่ต่อมาพอมาเรียนหนังสือทำให้ภาพลักษณ์เดิมเขาถูกบดบังไป ในความเป็นจริงหลายสิ่งที่ชายบ้านนอกทำได้ เขาเองก็เป็น
ลู่เจียวยิ้มรับดอกกุ้ยมา ก่อนจะมองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตรงหน้า “ขอบคุณเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลูกแม่แล้ว”
ลู่เจียวกล่าวจบก็หันไปหอมแก้มเจ้าหนูน้อยทั้งสี่คนละฟอด
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ถูกหอมกันครบแล้วก็รีบมองลู่เจียว “ท่านแม่ ยังมีท่านพ่ออีกคน ดอกกุ้ยนี่ท่านพ่อปีนขึ้นไปเด็ดมา พวกเราเพียงแค่ไปเป็นเพื่อนท่านพ่อเท่านั้น”
ลู่เจียวหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นด้วยสัญชาตญาณทันที แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นเริ่มรอคอย แต่คิดถึงว่าคำพูดลู่เจียวเมื่อคืนก็รีบหันไปมองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ คิดจะกล่าววาจาดูดีสักหน่อย
ไม่คิดว่าพอเขาหันไปมอง ลู่เจียวก็หอมแก้มเขาทีหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองลู่เจียวบนเตียงด้วยอาการตกตะลึง
นางเพิ่งตื่น ผมสยายทิ้งตัว แววตายังสะลึมสะลือ ผิวขาวผ่องของนางใสและนุ่มลื่นราวกับน้ำนมแพะ ยามที่นางประคองดอกไม้ไว้ในมือเป็นภาพที่น่ารักยิ่ง มองแล้วทำเอาหัวใจเขาเต้นแรง ราวกับหนุ่มน้อยริรัก
ลู่เจียวบนเตียงเริ่มเขินอายแล้ว เมื่อวานนางเพิ่งกล่าววาจาจริงจังว่า เรื่องของนางกับเขาให้ค่อยเป็นค่อยไป แต่ตอนนี้ก็มาทำเช่นนี้ เซี่ยอวิ๋นจิ่นจะคิดมากไหม
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็เงยหน้ามองเซี่ยอวิ๋นจิ่น
นางไม่รู้เลยว่าท่าทางนางในยามนี้ราวกับลูกกวางน้อยที่เพิ่งตื่นขึ้นกลางป่าเขา น่าหลงใหลยิ่ง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยื่นมือไปบีบแก้มนางด้วยสัญชาตญาณ กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เอาละ ตื่นมากินอาหารเช้ากัน”
ลู่เจียวรีบพยักหน้า “อืม”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นท่านพ่อท่านแม่รักใคร่ปรองดอง ซื่อเป่ายิ้มแย้มแก้มปริเลียนแบบท่านพ่อบีบแก้มลู่เจียว กล่าวกับเจ้าหนูน้อยอีกสามคนว่า “ท่านแม่เป็นเทพธิดาน้อยน่ารักน่าชังมาก”
ซื่อเป่ามั่นใจว่าท่านแม่ตนก็คือเทพธิดาที่งามล้ำ
เจ้าหนูที่เหลืออีกสามคนรีบพยักหน้า พวกเขาเองก็รู้สึกว่าเมื่อครู่ท่านแม่น่ารักน่าชังมาก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็กลัวว่าลู่เจียวจะอาย รีบลุกขึ้นพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ออกไป “เอาละ พวกเราออกไปหาแจกันมาให้ท่านแม่พวกเจ้าปักดอกไม้กัน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เดินตามเซี่ยอวิ๋นจิ่นออกไปอย่างว่านอนสอนง่าย
ในห้องลู่เจียวประคองช่อดอกกุ้ยไปชิดติดจมูก หอมจริง พอคิดถึงเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ นางก็ดีใจจนกลิ้งไปมาบนเตียงหลายตลบ
นางพบว่าตนเองเริ่มเปิดใจยอมรับเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้ว ก่อนหน้านี้หอมแก้มเขาไปทีหนึ่งนั้นเป็นการกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่านางไม่ได้รู้สึกต่อต้านการใกล้ชิดกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้ว
นอกประตู เฝิงจือเดินเข้ามา เห็นเหนียงจื่อนอนกลิ้งไปมาบนเตียง น่ารักเกินบรรยาย
เหนียงจื่อปกติเป็นคนนิ่งเงียบ เฝิงจือไม่ค่อยได้เห็นนางแสดงอาการน่ารัก ก็อดหัวเราะขึ้นไม่ได้
พอนางหัวเราะ ลู่เจียวก็ได้สติ พลิกตัวลุกขึ้นนั่งท่าทางเขินอาย ส่งดอกไม้ให้เฝิงจือ เฝิงจือประคองมาวางบนโต๊ะข้างเตียงอย่างเบามือ จากนั้นก็เข้าไปปรนนิบัติลู่เจียว
ลู่เจียวเพิ่งสวมเสื้อผ้าเสร็จ เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็หาแจกันมาให้นางปักดอกไม้ได้แล้ว
ทั้งครอบครัวปักดอกไม้กันอย่างเบิกบานก่อนจะไปกินอาหารเช้ากัน
ตอนกินข้าว ลู่เจียวกำชับเซี่ยอวิ๋นจิ่น “เจ้าต้องระวังหน่อย คนเช่นหลี่เหวินปินและยังเป็นสหายสนิทร่วมชั้นเรียนผู้นี้ไม่ควรค่าแก่การคบหา ยามนี้ตระกูลจางส่งคุณหนูเจ็ดตระกูลเฉามา นายท่านเฉาสามท่านพ่อคุณหนูเจ็ดตระกูลเฉาเรียกได้ว่าโหดเหี้ยมมาก เขาทำลายชีวิตของเหลียงจื่อเหวินได้ลงคอ”
“ได้ยินว่าอนุที่นายท่านเฉาสามรักที่สุด ก็คือท่านแม่ของคุณหนูเจ็ดตระกูลเฉาผู้นี้ คุณหนูเจ็ดตระกูลเฉายังเป็นบุตรสาวที่นายท่านเฉาสามรักมาก คนเช่นนายท่านเฉาสาม เจ้าก็ควรรู้ว่าทำอะไรตามอำเภอใจและยังโหดเหี้ยม”
“ข้าไม่เชื่อว่าหลี่เหวินปินไม่รู้เป้าหมายจางปี้เยียน เขารู้อยู่ว่าตระกูลจางคิดการอันใดยังทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เห็นเจ้าเป็นสหายร่วมชั้นเรียน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องคบหาจริงใจแล้ว”
ตั้งแต่คุณหนูเจ็ดตระกูลเฉาปรากฏตัว เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็รู้สึกรังเกียจสหายร่วมชั้นเรียนเช่นหลี่เหวินปินผู้นี้แล้ว
ยามนี้มาได้ยินลู่เจียวกล่าวนี้ก็พยักหน้าหนักใจ พร้อมกันนั้นเองเขาก็หันไปมองลู่เจียวอย่างไม่วางใจ “เจ้าก็ต้องระวังหน่อย”
กล่าวจบ เขาก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “ต้องมีสักวันที่พวกเราจะกำจัดเหลือบแมลงสี่ตระกูลใหญ่นี้ออกไปจากอำเภอชิงเหอได้”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อยแสดงท่าทีเห็นด้วย
นอกประตู ลู่กุ้ยรีบเข้ามารายงานว่า “พี่เจียว พี่เขย ท่านจ้าวหอยาเป่าเหอมา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วสั่งให้เชิญเข้ามา “เชิญเขาเข้ามา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้ระแวงจ้าวหลิงเฟิงผู้นี้เหมือนตอนแรกแล้ว เพราะลู่เจียวรับปากให้โอกาสเขา คนอย่างนางพูดแล้วก็คำไหนคำนั้น ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงจ้าวหลิงเฟิงจะมาแทรกกลางเรื่องของเขากับนางอีก แม้คิดจะแยกก็แยกไม่ออก
จ้าวหลิงเฟิงเดินตามลู่กุ้ยมาอย่างรวดเร็ว
พอเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นมีคนมาก็รู้ความ รีบไถลตัวลื่นลงจากเก้าอี้วิ่งออกไปด้านนอก
พอเห็นจ้าวหลิงเฟิง เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็เอ่ยทักทายจ้าวหลิงเฟิงอย่างรู้ความ “ท่านลุงเจ้า”
จ้าวหลิงเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ลูบศีรษะเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ จากนั้นก็กล่าวกับพวกเขาว่า “ต้าเป่า เอ้อร์เป่า ซานเป่า ซื่อเป่า ลุงขอพวกเจ้าช่วยสักเรื่องได้ไหม”