จางเหยาและหลิวจั่งกุ้ยพบหน้ากัน แต่ละคนในตระกูลต่างมีความคิดอย่างไร เฉินตันจูไม่สนใจ นางกลับอารามดอกท้อหลับอย่างสบายใจ วันรุ่งขึ้นให้จู๋หลินเคลื่อนรถเข้าเมืองอีกครั้ง
“ยังคงไปหุยชุนถังหรือ” จู๋หลินอดถามไม่ได้
เฉินตันจูยิ้ม “ไม่ไป เมื่อวานไปมาแล้วไม่ใช่หรือ ข้ายังมีเรื่องต้องทำมากมาย”
จริงหรือ ดูไม่ออกเสียจริง จู๋หลินเหลือบมองฟ้าภายในใจ ก่อนจะสะบัดแส้ม้า
เฉินตันจูเข้าเมืองแต่ไม่ได้เดินทางไปหุยชุนถังอย่างที่พูด หากแต่เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมเรียกหาพ่อค้าทั้งหลายตอนขายจวนมา
เหล่าพ่อค้าต่างกังวล ภายในใจครุ่นคิด การซื้อขายจวนของโจวเสวียนและเฉินตันจูจบสิ้นลงแล้ว เหตุใดจึงต้องหาพวกเขาอีก
คุณหนูตันจูสูญเสียจวนไป ทำสิ่งใดโจวเสวียนไม่ได้ จึงต้องการใช้พวกเขาเป็นที่ระบายอารมณ์หรือ
แต่ไม่คิดว่าเมื่อเดินเข้าประตูมา เฉินตันจูให้อาเถียนมอบอั่งเปาให้พวกเขาคนละใบ “จวนของข้าขายออกไปแล้ว แต่ข้ายังไม่เคยตอบแทนพวกเจ้าเลย”
เหล่าพ่อค้าต่างถืออั่งเปาด้วยมือสั่นเทา เป็นครั้งแรกที่อยากร้องไห้หลังจากได้รับค่าจ้างขายจวน จวนนั้นเป็นของเฉินตันจู อีกทั้งยังขายไม่ได้เงินอีก
คุณหนูตันจูกำลังโทษพวกเขา? บอกพวกเขาเป็นนัยว่าต้องการให้ชดใช้ด้วยเงิน?
มองดูสีหน้าซีดเผือดของเหล่าพ่อค้า เฉินตันจูหัวเราะ “เป็นน้ำใจตอบแทนพวกเจ้า อย่ากังวล ข้าไม่ได้โทษพวกเจ้า”
เหล่าพ่อค้ากล่าวขอบคุณตัวสั่นเทา ดูท่าทางไม่เชื่อเท่าใดนัก
“ข้าแค่ต้องการถามพวกเจ้าหนึ่งเรื่อง” เฉินตันจูพูดต่อ “พ่อค้าที่โจวเสวียนหามามีประวัติอย่างไร พวกเราคุ้นเคยหรือไม่”
เหล่าพ่อค้าต่างยืดหลังตรงในทันที มือก็ไม่สั่นแล้ว พวกเขากระจ่างใจ ใช่ เฉินตันจูต้องการระบายความโกรธจริง แต่เป้าหมายไม่ใช่พวกเขา หากแต่เป็นพ่อค้าที่ซื้อจวนแทนโจวเสวียน
สหายตายตัวไม่ตาย เหล่าพ่อค้าต่างดีใจ พูดกันเจื้อยแจ้ว “รู้ขอรับ รู้ขอรับ”
“คนผู้นั้นแซ่เหยิน”
“ไม่ใช่คนเมืองอู๋เหมือนพวกเรา”
“มาจากเมืองซีจิง หลังจากมาถึงก็แย่งการค้าไปจำนวนมาก”
“อันที่จริงไม่ใช่เพราะเขาเก่ง แต่ด้านหลังเขามีคนช่วยเหลือ”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เฉินตันจูส่งเสียงสงสัย เอ่ยถาม “คนที่ช่วยเขาเป็นใคร”
เหล่าพ่อค้าต่างมองหน้ากัน
“คุณหนูตันจู คนที่อยู่เบื้องหลังเขาไม่ธรรมดา” พ่อค้าคนหนึ่งพูด “เขากระทำอย่างระมัดระวัง พวกเราไม่เคยพบเห็นเขาแม้แต่น้อย”
เฉินตันจูพยักหน้า “พวกเจ้าช่วยข้าสืบว่าเขาคือใคร” นางส่งสัญญาณให้อาเถียน “ข้าจะให้อั่งเปาเป็นการตอบแทนให้พวกเจ้าอีกครั้ง”
เหล่าพ่อค้าต่างโบกมือพร้อมกัน “ไม่ต้อง ไม่ต้อง”
“คุณหนูตันจูเกรงใจเกินไปแล้ว” ยังมีคนใจกล้าหยอกล้อกับเฉินตันจู “รอหาคนผู้นี้ออกมาแล้ว คุณหนูตันจูค่อยให้ค่าตอบแทนยังไม่สาย”
ที่แท้นางต้องการถามเรื่องจวน สีหน้าของจู๋หลินทั้งซับซ้อนทั้งกระจ่าง เรื่องนี้ไม่มีทางผ่านไปอย่างง่ายดายจริงๆ
“ข้าไม่อาจทำอันใดโจวเสวียนได้” ระหว่างทางกลับไป เฉินตันจูอธิบายกับจู๋หลิน “แต่ข้าจะทำอันใดคนที่ช่วยเหลือเขาไม่ได้หรือ”
เวลานี้โจวเสวียนซื้อจวนไปแล้ว นางไม่ได้เป็นปรปักษ์กับเขา เพียงแต่หาเรื่องสุนัขรับใช้เขา ถือว่าไม่ได้ทำเกินไปกระมัง ฮ่องเต้คงไม่อาจให้นางเสียเปรียบได้จริงๆ ?
อีกอย่างเวลานี้โจวเสวียนถูกขังไว้ในพระราชวัง เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่ง
พ่อค้าเหล่านี้นำข่าวกลับมาอย่างรวดเร็ว พรรคพวกที่อยู่เบื้องหลังของเหยินซินแสคือเหวินจ้าน คุณชายเหวิน บุตรชายของเหวินจงขุนนางใหญ่ของเมืองอู๋เดิม เวลานี้เป็นเป็นท่านมหาราชครูเมืองโจว
“คุณหนู จัดการคุณชายเหวินนี้อย่างไรดีเจ้าคะ” อาเถียนพูดอย่างโกรธแค้น “คนผู้นี้ร้ายกาจนัก เขาแอบลักลอบขายจวนของเหล่าชนชั้นสูงในเมืองอู๋เสมอมา ก่อนหน้านี้ที่เป็นคดีต้องโทษประหารก็เป็นฝีมือของเขา เขาวางแผนลอบทำร้ายคนอื่นก็แล้วไป ยังบังอาจมาวางแผนทำร้ายคุณหนูอีก”
เฉินตันจูเรียบเฉยอย่างมาก “เขาวางแผนลอบทำร้ายข้าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล สำหรับคุณชายเหวินแล้ว เขาแทบอยากจะให้คนทั้งตระกูลข้าไปตายด้วยกัน”
อาเถียนกำมือกัดฟันแน่น “สั่งสอนเขาอย่างไรดีเจ้าคะ ฟ้องร้อง? ให้หลี่จวิ้นโส่วขังเขาเอาไว้”
คุณชายเหวินไม่ใช่โจวเสวียน ถึงแม้จะมีบิดาผู้เป็นท่านมหาราชครูที่เมืองโจว แต่หลี่จวิ้นโส่วก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
เฉินตันจูหัวเราะ “เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ไม่ต้องฟ้องร้อง พวกเราจัดการเองก็พอ” พูดพลางเรียกขาน
จู๋หลิน “เจ้าให้คนไปสืบ คุณชายเหวินอยู่ที่ใด”
จู๋หลินตอบรับก่อนจะสั่งการองครักษ์ ไม่นานนักก็มีข่าวส่งกลับมา คุณชายเหวินกำลังดื่มสุรากับเหล่าคุณชายชนชั้นสูงบนแม่น้ำฉินหวาย
ฟ้ายังไม่ทันมืดค่ำ บนแม่น้ำฉินหวายยังไม่ถึงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุด แต่เรือที่จอดอยู่ริมแม่น้ำก็มีเสียงร้องเพลงเต้นระบำดังออกมาเป็นระลอก บางครายังมีหญิงสาวงดงามเอนกายพิงรั้วเสา เรียกขานพ่อค้าที่ล่องไปตามแม่น้ำเพื่อซื้อขนม เมื่อเทียบกับความคึกคักในยามค่ำคืน เวลานี้กลับมีกลิ่นอายความราบเรียบอ่อนโยนไปอีกแบบ
ภายในเรือลำหนึ่ง คุณชายเหวินและสหายอีกเจ็ดแปดคนกำลังดื่มสุรา พวกเขาไม่มีหญิงงามเคียงข้าง หากแต่วางเต็มไปด้วยพู่กัน กระดาษและหมึกสำหรับแต่งกลอนวาดภาพ
หลังจากเขียนบทกลอนออกมาแล้ว เรียกหญิงสาวมาดีดพิณขับบทกลอนออกมา แต่ละคนบ้างแสดงความชื่นชม บ้างแสดงความคิดเห็นไปมาเช่นนี้อย่างสุภาพมีมารยาท
“หลายวันนี้ข้าเข้าร่วมงานแต่งกลอนของเหล่าคุณชายจากเมืองซีจิง” คุณชายคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไม่แพ้พวกเขาแม้แต่น้อย”
คุณชายเหวินยิ้มอยู่ด้านข้าง “คุณชายฉี ท่านพูดถ่อมตนเกินไป ข้าสามารถเป็นพยานได้ ในงานแต่งกลอนของตระกูลจงนั้น ไม่มีผู้ใดเทียบท่านได้”
คุณชายฉีท่านนี้หัวเราะร่า “บังเอิญ บังเอิญ”
“ท่านอย่าถ่อมตนเลย” คุณชายคนหนึ่งพูดออกมา “หากว่ากันตามชาติกำเนิด พวกเขาคิดว่าพวกเราเป็นคนของตระกูลอู๋เก่า ไม่เคารพต่อฮ่องเต้ แต่หากพูดกันตามความรู้ พวกเราต่างเป็นลูกศิษย์ของนักปราชญ์ ไม่ต้องถ่อมตนหรือดูแคลนตนเอง”
คุณชายเหวินพยักหน้า “พูดได้ดี เวลานี้สำนักการศึกษารวมเข้าไปในกั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว ราชสำนักบอกว่า ไม่ว่าตระกูลจากซีจิงหรือเมืองอู๋ แค่เพียงมีทะเบียนเหลืองหรือจดหมายแนะนำล้วนสามารถเข้าไปศึกษาได้”
เมืองอู๋กลายเป็นเมืองหลวง สำนักการศึกษากลายเป็นกั๋วจื่อเจี้ยน บุตรหลานตระกูลชนชั้นสูงต่างหลั่งไหลมารวมตัวอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ เหล่าองค์ชายต่างเรียนหนังสือในสถานที่แห่งนี้ เวลานี้พวกเขาก็สามารถเข้าไปได้
เมื่อเข้าศึกษาที่กั๋วจื่อเจี้ยน จากนั้นถูกผลักดันให้เป็นขุนนางก็จะกลายเป็นขุนนางที่ฟังคำสั่งจากราชสำนัก สามารถควบคุมแคว้นได้ มีอนาคตที่ก้าวไกลกว่าการเป็นบุตรหลานของเมืองอู๋เหมือนแต่ก่อนอย่างมาก
“คุณชายเหวินอาจไปเป็นขุนนางที่เมืองโจวได้ก็ไม่แน่” คุณชายคนหนึ่งพูดกลั้วหัวเราะ “เมื่อถึงเวลา คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อน”
คุณชายเหวินหัวเราะร่า ไม่ถ่อมตนแม้แต่น้อย “ขอบคุณคำอวยพรของท่าน ข้ายอมรับใช้ฝ่าบาทอย่างสุดความสามารถ”
งานเลี้ยงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่ทุกคนไม่ได้อยู่จนได้ดื่มด่ำกับความสนุกยามค่ำคืน คุณชายเหวินเป็นคนระมัดระวัง หลังจากเมืองอู๋กลายเป็นเมืองหลวง เขาไม่ได้เที่ยวเล่นในยามค่ำคืน ยิ่งไม่มีการพักค้างแรมด้านนอกอีก
เวลานี้ฐานะของราษฎรอู๋เก่ายังไม่ถูกลืมเลือนไป ต้องระมัดระวังอย่างมาก
เวลาผ่านไปอย่างเรียบง่ายเสียจริง คุณชายเหวินนั่งอยู่ในรถม้า ถอนหายใจด้วยท่านั่งโยกไปมา แต่ว่าก็ยังดีกว่าไปเมืองโจว ไม่ว่าเมืองโจวจะสบายอย่างไร แต่เมื่อผูกเกี่ยวเข้ากับท่านอ๋องอู๋ อย่างไรบนหัวของพวกเขายังคงมีดาบจ่อคาเอาไว้อยู่ อยู่ในเมืองนี้ต่อ ก่อนจะถูกแนะนำให้เป็นขุนนางของราชสำนัก อนาคตของตระกูลเหวินถึงจะมั่นคง
ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำฉินหวายเต็มไปด้วยคนและรถ เดินทางได้อย่างเชื่องช้ามาก หลิวเวยนั่งอยู่บนรถอดบ่นกับอาอวิ้นขึ้นมาไม่ได้ “เหตุใดเดินผ่านทางนี้ คนมากรถมาก เชื่องช้ายิ่งนัก”
อาอวิ้นยิ้มให้จางเหยาที่นั่งอยู่หน้ารถ “ข้าอยากให้ท่านพี่ได้เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำฉินหวายอย่างไรเล่า”
หลิวเวยตำหนิ “เวลาทั่วไปก็มาได้ บอกว่าท่านยายรีบร้อนอยากพบท่านพี่ แต่การเดินทางก็ไม่เร่งรีบ”
อาอวิ้นยิ้มเป็นการขอโทษ “ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว เมื่อพบท่านพี่ ข้าก็ดีใจจนมึนงง”
จางเหยาได้ยินหญิงสาวทั้งสองในรถสนทนากัน จึงหันกลับไปพูด “รอข้ากลับจากจวนของท่านยาย จะแวะมาดูอีกครั้งหากไม่รีบร้อน”
อาอวิ้นและหลิวเวยต่างหัวเราะขึ้นมา ทันใดนั้นสีหน้าของหลิวเวยชะงัก มองไปด้านนอก “คันนั้น เหมือนจะเป็นรถของคุณหนูตันจู”
อาอวิ้นและจางเหยารีบมองไป รถของคุณหนูตันจูไม่มีสิ่งใดพิเศษ เป็นเพียงรถม้าที่พบบ่อยบนท้องถนนทั่วไป แต่สิ่งที่สามารถแยกแยะได้คือคน อาทิคนเคลื่อนรถที่ชูแส้ม้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่เพียงแค่มองก็รู้ว่าโหดเหี้ยมอย่างมาก…
“คุณหนูตันจูจริงด้วย”
ถึงจะพบกันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่อาอวิ้นและจางเหยาต่างมีความทรงจำอันลึกซึ้ง พวกเขาต่างจำคนเคลื่อนรถคนนี้ได้ในทันที”
“ไปหาเจ้าหรือไม่” อาอวิ้นหันมาเรียกหลิวเวยอย่างตื่นเต้น “เร็วเข้า เร็วเข้า ทักทายเรียกนางเอาไว้”
หลิวเวยคาดเดาเช่นนี้ นางยื่นตัวออกไปนอกรถ ในขณะที่กำลังจะโบกมือ ก็พบเห็นรถของคุณหนูตันจูเร่งความเร็วขึ้น พุ่งตรงไปยังรถอีกคันท่ามกลางฝูงชนที่คึกคัก…
มือที่ยกขึ้นของนางปิดปากเอาไว้ ส่งเสียงร้องตกใจออกมา
เสียงดังโครม บนท้องถนนเต็มไปด้วยเสียงคนกรีดร้อง เสียงม้าร้องด้วยความตกใจ คุณชายเหวินหัว
กระแทกเข้ากับเพดานรถอย่างไม่ทันระวัง หน้าผากเจ็บอย่างมาก มีเลือดไหลออกมาทางจมูก…
“เกิดเรื่องใดขึ้น” เขาตะโกนอย่างขุ่นเคือง ยกมือดึงม่านรถลง มองออกไปนอกรถที่ถูกชนจนเกือบคว่ำ “ผู้ใดไม่มีตาเช่นนี้”
การชนในครั้งนี้ประจวบเหมาะยิ่งนัก ม้าทั้งสองตัวหลีกเลี่ยงการชนซึ่งกันและกัน มีเพียงตัวของรถทั้งสองที่กระแทกเข้าด้วยกัน เวลานี้ตัวรถแนบติดกัน คุณชายเหวินเห็นหญิงสาวคนหนึ่งใช้สองมือจับไว้ที่ริมหน้าต่างรถที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ดวงตาของนางยิ้มหยีจ้องมองเขา
เมื่อเห็นใบหน้านี้ หัวใจของคุณชายเหวินหล่นวูบ คำพูดชะงักไว้ที่ริมฝีปาก
เฉินตันจู
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายเหวิน” เฉินตันจูยิ้มหวานให้เขา “บังเอิญเสียจริง”