หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 784 ตีข้าเลยสิ!

บทที่ 784 ตีข้าเลยสิ!

บทที่ 784 ตีข้าเลยสิ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายวาบ เขาสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่กำลังหมุนวนรอบกายพลันปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า แต่แสงนั้นก็มอดดับลงทันทีหลังจากนั้น ภายในไม่กี่วินาที โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็โปร่งแสง กลืนตนเองไปกับบรรยากาศโดยรอบ

ถึงเวลาแสดงความสามารถในการพรางตนของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าแล้ว หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนนึงไปถึงเรื่องราวที่ตนเองเคยโฆษณาขายสินค้าในการประลองที่สำนักศึกษาศักดิ์สิทธิ์สมัยยังเยาว์วัย

หรือว่าข้าเลือกทางเดินผิดกันนะ ความจริงแล้วข้าไม่เหมาะจะเป็นผู้นำสหพันธรัฐแต่ควรเป็นนักธุรกิจมากกว่า ต้องเป็นเพราะเหตุนี้แน่ๆ เซี่ยไห่หยางถึงใจดีกับข้านัก หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกซาบซึ้งในความยอดเยี่ยมของตนเองขึ้นมาในใจ แต่ก็ไม่ได้หยุดตัวเองแต่อย่างใด ชายหนุ่มพุ่งทะยานไปข้างหน้าเหมือนดาวหางในสนามรบขนาดยักษ์มีคู่ต่อสู้อยู่มากมาย

เขากระโจนเข้าใส่กลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่ง ทันทีที่เข้าไปอยู่กลางวง เหล่าผู้ฝึกตนบ้าดีเดือดก็พลันพุ่งเข้าโจมตีเขา เสียงการสู้รบดังสะเทือนเลื่อนสั่น วัตถุเวทราวแปดชิ้นปล่อยพลังโจมตีรุนแรงออกมา ก่อนพุ่งเข้าปะทะหวังเป่าเล่อที่ด้านหน้า

ขณะที่วัตถุเวทเหล่านี้กำลังจะเข้าถึงตัวชายหนุ่ม เกราะโปร่งแสงก็พลันก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา เกราะนั้นมีความหนาถึงสองหมื่นชั้น ซ้อนเรียงรายกันแถวแล้วแถวเล่า เกราะโปร่งแสงพุ่งเข้าหาวัตถุเวทด้วยความเร็วที่ไม่ต่างกัน เสียงปะทะดังกัมปนาทไปทั่วสนามรบ วัตถุเวทที่เข้าปะทะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาสั่นสะท้านและระเบิดจากภายใน ทว่าแรงสะท้อนทำให้ภายนอกของวัตถุเวทถูกบีบอัดอย่างรุนแรงจนระเบิดออกมาไม่ได้ วัตถุเวทเหล่านั้นพุ่งพรวดกลับไปทางที่มันมาด้วยแรงมากกว่าเดิมถึงร้อยละ 170 และระเบิดใส่หน้าเจ้าของของมันทันที

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังไปทั่วบริเวณ แม้จะถูกกลบด้วยเสียงการต่อสู้ครึกโครมรอบกายอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ฝึกตนเจ้าของวัตถุเวทผู้เคราะห์ร้ายก็ยังกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ร่างถูกซัดกระเด็นไปด้านหลัง ได้รับบาดเจ็บสาหัสในทันที ภาพนี้ทำให้ทุกคนโดยรอบที่เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นตกใจเป็นอันมาก

หวังเป่าเล่อขยับตัวพุ่งเข้าใส่ฝูงชนอีกครั้ง โดยไม่รอให้คู่ต่อสู้ตั้งสติได้และเริ่มโจมตีกลับ เสียงกรีดร้องดังขึ้นทุกที่ที่เขามุ่งหน้าไป ชายหนุ่ม…เปรียบเสมือนเม่นหนามแหลม หากไม่มีใครคิดโจมตี ก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่หากพุ่งเข้าใส่ด้วยพลังที่ตนเองมี ก็อาจโดนพลังสะท้อนกลับจนถึงตายได้

ตอนแรกหวังเป่าเล่อสร้างความโกลาหลในวงแคบเท่านั้น แต่เมื่อเขาพุ่งไปทั่วสมรภูมิ ทุกคนที่เข้าต่อกรกับเขาก็พากันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หากไม่ได้ใส่พลังทั้งหมดที่ตนเองมี ก็คงไม่เป็นอะไรมากนักนอกจากได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่คนที่ใช้พลังทั้งหมดในการต่อกรกับชายหนุ่ม ย่อมถึงแก่ความตายต่อหน้าต่อตาแน่นอน!

หากเป็นเพียงเท่านั้นก็คงไม่แย่เท่าไร แต่เพื่อเพิ่มอำนาจของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา และเพิ่มราคาของมันให้พุ่งสูงขึ้นในอนาคต หวังเป่าเล่อจึงคำรามก้องไปตลอดทางที่พุ่งตัวออกไป ราวกับกลัวว่าจะไม่มีคนสนใจตนอย่างไรอย่างนั้น

“มาตีข้าสิ! อย่าหนี!

“ไอ้พวกตาขาว! จะหนีไปไหนกัน มาต่อยข้าเสียถ้าเจ้าแน่พอ!

“สหายเต๋าทั้งหลาย จงโจมตีข้าด้วยไพ่ตายของเจ้าเสีย!!”

เสียงของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณ กินวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ร่างก็วิ่งวุ่นไปทั่วสนามรบ เมื่อรวมพลังของโล่เข้ากับพฤติกรรมเช่นนี้ของชายหนุ่มแล้ว หวังเป่าเล่อก็ดูน่ารังเกียจเป็นอันมากต่อทุกคนในที่แห่งนั้น…

ชายหนุ่มทะยานไปทั่วเหมือนปลาไหล ก่อกวนให้สมรภูมิปั่นป่วนวุ่นวาย เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้ทุกคนรีบถอยหนีออกจากเขา สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นว่าชายหนุ่มกำลังพุ่งเข้าหาตน พฤติกรรมก่อความไม่สงบเช่นนี้ย่อมทำให้เหล่าผู้ที่มีตำแหน่งสูงของทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอยู่สังเกตเห็น!

ผู้อาวุโสจากกองทหารอันดับห้าพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว พลังปราณของเขาอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสคนนี้จะอยู่ไกลออกไป จึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งเพียงใด ด้วยเหตุนี้…เขาจึงกระโจนใส่หวังเป่าเล่อ พร้อมปรามาสอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นยโส

“ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางอย่างเจ้ากล้าทำตัวจองหอง คิดว่าตนเองไร้เทียมทานเพียงเพราะมีโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการึ ข้าจะสอนเจ้าเองว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นเช่นไร!” เสียงของผู้อาวุโสระเบิดมาแต่ไกลขณะที่มุ่งหน้าเข้าหาหวังเป่าเล่อเหมือนดาวหาง เมื่อเห็นร่างที่มาพร้อมเสียง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกดีใจเป็นอันมากอยู่ภายใน เขากลัวว่าคู่ต่อสู้อาจเปลี่ยนใจและถอยหนีไปก่อน จึงพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วสูงสุดเช่นกัน

ภายในพริบตา…ทั้งสองก็เข้าปะทะกันกลางอากาศ เสียงดังสะเทือนสะท้อนไปทั่วจนทุกสิ่งโดยรอบสั่นไหว ดวงตาของผู้อาวุโสเบิกโพลง ศีรษะสะท้าน ร่างของเขาสั่นอย่างรุนแรง แขนขาทั้งหมดระเบิดโพละออกมา เขากระอักเลือดชุดใหญ่ ร่างที่ไร้แขนขาปลิวไปด้านหลัง เสียงกรีดร้องโหยหวนบาดลึกด้วยความเจ็บปวดทำให้หัวใจของใครก็ตามที่ได้ยินสั่นสะท้าน

ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นก็กะพริบตาปริบๆ และกรีดร้องเสียงแหลมออกมาเช่นกัน เขาจับหน้าอกตนเอง ร่างเซถลาไปด้านหลัง กระทั่งโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่หมุนวนรอบกายก็ดูเหมือนจะสลายหายไป

แม้ภาพนั้นจะดูเหมือนการแสดงเสียมากกว่า…แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกตัวได้เร็วขนาดนั้นว่าเป็นเรื่องหลอกลวง หลายคนคิดชิงโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไปจากชายหนุ่ม จึงพุ่งเข้าใส่ภายในพริบตา

แต่ทันทีที่พวกเขาเข้าใกล้หวังเป่าเล่อ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่เคยดับแสงไปก่อนหน้านี้ก็ส่องสว่างเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังประสานกันขึ้นเหมือนวงดนตรีสยองขวัญ ผู้ฝึกตนที่หมายชิงโล่ไปจากชายหนุ่มต่างถูกซัดกระเด็นกระดอนไปด้านหลังด้วยความเร็วสูง

“ชั่วช้า ชั่วช้ามากเกินไปแล้ว!” หวังเป่าเล่อชิงคำรามออกมาก่อนที่ใครจะทันได้พูดอะไร แต่ผลลัพธ์ของการกระทำทั้งหมดของเขานั้นหนักหน่วงยิ่งนัก จึงไม่มีใครเชื่ออีกต่อไปตอนที่เขาพยายามแสดงละครแสร้งทำเป็นอ่อนแอ ชายหนุ่มถอนใจ ทำได้เพียงมองฝูงชนโดยรอบด้วยพลังงานมากล้นที่มี ขณะที่ฝูงชนโดยรอบต่างก่นด่าเขาอยู่ในใจ

แต่คนเหล่านั้นก็ทำอะไรไม่ได้ จะเข้าไปจัดการหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ จึงทำได้เพียงหลบซ่อนตัวให้พ้นจากเงื้อมมือของชายหนุ่มเท่านั้น ดังนั้น…ภาพแสนประหลาดก็ปรากฏขึ้นในสนามรบ หลายคนที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดจะถอยหนีและหยุดปล่อยพลังเทพของตนเองทันทีที่มีคนตะโกนว่าหลงหนานจื่อกำลังมาทางนี้

ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะขยับตัวไปที่ไหน ทะเลฝูงชนก็พลันแหวกออก เขาเปรียบเสมือนเชื้อโรคที่ทุกคนพากันถอยหนี… แม้กระทั่งฝ่ายเดียวกัน…ก็ยังกลัวโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อ จนทำให้เขากลายเป็นเหมือนเม่นขนแหลมร้ายกาจ นั่นเพราะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไม่แยกมิตรออกจากศัตรู

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ที่ชวนหวังเป่าเล่อให้เริ่มโจมตีตกใจเป็นอันมาก แม้เหตุการณ์ทั้งหมดจะเป็นไปตามที่นางคาดการณ์ไว้ แต่ฤทธิ์เดชของหวังเป่าเล่อก็สมบูรณ์แบบมากเกินไป จนนางอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางรู้สึกเหมือนตนเองได้เปิดหีบที่บรรจุความชั่วร้ายมหาศาลไว้ภายในออกมา…สนามรบเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่หวังเป่าเล่อก้าวเข้ามา

ชายหนุ่มเองก็เริ่มจนปัญญาเช่นกัน เมื่อเห็นว่าทุกคนพากันหลีกหนีไป เขาก็ถอนหายใจ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะสองคนที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่บนท้องฟ้าไกลออกไป เขาหยุดคิดอยู่สักพัก ก่อนจะขยับตัวพุ่งเข้าใส่คนทั้งสองในทันที

แต่ทั้งสองก็ไม่ปล่อยให้เขาเข้ามาใกล้ พวกเขาถอยหนี…และหยุดต่อสู้กันในทันที!

ทั้งสองไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา และสังเกตเห็นนานแล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีบางอย่างผิดปกติ นอกจากนี้ยังนึกไปถึงชะตากรรมที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรของประมุขหลิงเถา และคำพูดแสนหดหู่ของปรมาจารย์เมฆาวารีก่อนจะจากไปอีกด้วย แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาพอเดาได้ลางๆ

ขี้ขลาดกันเสียเหลือเกิน! หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตนเองดังผัวะ เขาอยากแสดงพลังของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาอีก แต่ไม่มีโอกาสให้ทำเช่นนั้นเลย หลังจากที่มองไปรอบกาย ดวงตาของชายหนุ่มก็ไปหยุดอยู่ที่จุดสูงสุดของสนามรบ ที่ที่… ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงและเทพธิดาหลิงโยวกำลังต่อสู้กันอยู่!

ข้าไม่แน่ใจว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจะทานทนพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะได้หรือไม่…แต่ทางทฤษฎีแล้ว ก็น่าจะเป็นไปได้ ชายหนุ่มหรี่ตาครุ่นคิด เขาอยากลองดูแต่ในที่สุดก็ไม่ได้ทำ ไม่ใช่เพราะไม่อยาก แต่เป็นเพราะว่า…ในตอนนั้นเอง เวลาแห่งการประลองก็จบสิ้นลงพอดี!

การประลองนี้ไม่ได้ดำเนินไปจนกว่าจะตายตกกันไปข้างหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายมีเวลาสองชั่วโมงเท่านั้น ภายในเวลาสองชั่วโมงนี้พวกเขาต้องยึดพื้นที่ของคู่ต่อสู้ หรือทำให้อีกฝ่ายยอมแพ้ จึงจะคว้าชัยไปครองได้สำเร็จ

แต่ในตอนนี้…แม้ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงจะต่อกรกับเทพธิดาหลิงโยวได้ แต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ยึดพื้นที่ได้สำเร็จแต่อย่างใด จนเสียงระฆังตีบอกจุดสิ้นสุดของการแข่งขันในที่สุด

หวังเป่าเล่อถือเป็นไพ่ตายของการต่อสู้นี้ ขณะที่ม่านกำลังจะปิดฉากลงนั้น หลายคนไม่ทันสังเกตเห็นว่าอักขระที่แทบมองไม่เห็นบนแท่นบูชาแทบเท้าของผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ ได้อับแสงลงทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังทอแสงอ่อนเรื่อเรืองออกมา

อักขระเหล่านั้น…คือไพ่ตายของกองทหารวิหคน้ำแข็ง อย่างไรเสียเหตุการณ์ของหวังเป่าเล่อก็เป็นเพียงเรื่องไม่คาดคิดเท่านั้น ตามแผนการเดิมของพวกเขา อักขระเหล่านี้จะช่วยชะลอทุกอย่างให้ช้าลงได้จนกว่าการประลองจะจบลง

เมื่อการต่อสู้จบลง เหล่าผู้ทรงอำนาจมากมายที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ก็มองดูหวังเป่าเล่อด้วยสายตาล้ำลึก ขณะที่พวกเขากำลังถอนสายตานั้น พลัน…เสียงของจักรพรรดิแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ดังกังวานมาจากห้วงอวกาศเบื้องบน

“กองทหารวิหคน้ำแข็ง พวกเจ้าไม่ต้องจัดประลองอีกรอบแล้ว พวกเจ้าจะได้รับตำแหน่งกองทหารอันดับห้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กองทหารอื่นๆ ในอันดับที่อยู่ต่ำลงมาจะถูกเลื่อนลงหนึ่งอันดับ!

“หลงหนานจื่อ เจ้าจงมาเข้าเฝ้าข้าพรุ่งนี้ตอนเที่ยง!”

……………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท