เยี่ยนอ๋องมองนางด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเป็นถึงบุตรีฉู่กั๋วกง แม้แต่ชื่อพื้นที่ก็ยังไม่รู้หรือ”
หนานกงมั่วลูบจมูก “หม่อมฉันมิได้จะเป็นขุนนางหรือนำทัพออกรบสักหน่อยเพคะ”
เยี่ยนอ๋องปลายตามองนาง “ไม่รู้จักก้าวหน้า”
หนานกงมั่วยักไหล่ เอ่ย “เสด็จลุงกังวลเรื่องความปลอดภัยของเสด็จลุงฉีอ๋องหรือเพคะ”
เยี่ยนอ๋องส่ายศีรษะ เอ่ย “น้องหกรู้ขอบเขตดี ในเมื่อเซียวเชียนเยี่ยแต่งตั้งเขาใหม่ดังนั้นคงไม่แตะต้องเขาในเร็วๆ นี้ หากข้าส่งคนไปติดต่อกับเขา เช่นนั้นเขายิ่งตกอยู่ในอันตราย” หนานกงมั่วพยักหน้า ครุ่นคิดว่ากลับไปจะให้คนส่งยาไปให้ฉีอ๋อง สถานที่ทุรกันดารเพียงนั้นเมื่อครั้งอดีตก็เป็นสถานที่เนรเทศ หากฉีอ๋องไม่ถูกกับพื้นที่ อย่าว่าแต่เซียวเชียนเยี่ยไม่ได้สังหารเขา เขาคงตายเพราะป่วยเพราะโรคจากอากาศก็เป็นได้
ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ หนานกงมั่ววางกระดาษพับลงไปบนโต๊ะดังเดิม เอ่ยถาม “เสด็จลุงยังมีเรื่องอื่นรับสั่งอีกหรือไม่เพคะ”
เยี่ยนอ๋องชี้ไปยังจูชูอวี้ที่อยู่ด้านข้าง เอ่ย “ซั่นจยาจวิ้นจู่บอกว่าจะเข้าหน้าหนาวแล้ว อยากแจกจ่ายโจ๊กในเมือง เจ้ามีความเห็นเช่นไร”
หนานกงมั่วครุ่นคิด ยามนี้ความสัมพันธ์จวนเยี่ยนอ๋องและราชสำนักเริ่มตึงเครียด ยามนี้หัวใจของประชาชนสำคัญมาก ไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ หนานกงมั่วจึงเอ่ยถาม “ซั่นจยาจวิ้นจู่มีคำแนะนำอย่างไร”
จูชูอวี้หลุบตาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ไหนเลยข้าจะมีคำแนะนำ เพียงอยากช่วยเหลือประชาชนตามกำลังที่ทำได้เพียงเท่านั้น ได้ยินมาว่าเสด็จแม่เองก็เคยสั่งให้คนในจวนแจกจ่ายโจ๊กในเมืองด้วยเช่นกัน พวกเราเป็นผู้น้อยแน่นอนว่าต้องเรียนรู้คุณธรรมของเสด็จแม่”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ ไม่เอ่ยสิ่งใด
เซียวเชียนชื่อเอ่ย “พี่สะใภ้ ท่านมีความคิดเช่นไรลองเอ่ยมาเถิดขอรับ”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ย “จวิ้นจู่ตั้งใจจัดตั้งสถานที่แจกจ่ายโจ๊กกี่ที่ เตรียมแจกจ่ายกี่วัน กำหนดวันเวลาคือเมื่อใด เงินเหล่านี้เอามาจากที่ใดหรือ”
หากเรื่องพวกนี้จูชูอวี้ยังไม่คิดมาให้ดี ก็คงไม่กล้ามาอยู่ตรงหน้าเยี่ยนอ๋องหรอก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าวางแผนจะจัดในทิศเหนือใต้ออกตกของเมืองอย่างละแห่ง อีกไม่กี่วันก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของเสด็จแม่คงเริ่มจากวันนั้นและแจกจ่ายติดต่อกันไปอีกเจ็ดวันดีหรือไม่ ส่วนเงิน แน่นอนว่าเอาจากสินเจ้าสาวของข้า หากพี่สะใภ้ใหญ่และน้องสะใภ้สามอยากร่วมด้วย จะทำด้วยกันก็ได้ นับว่าเป็นการกตัญญูต่อเสด็จแม่”
ฟังคำของจูชูอวี้จบ กงเสี่ยวเตี๋ยจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ซั่นจยาจวิ้นจู่ช่างกตัญญู ถึงตอนนั้นข้าจะออกหนึ่งร้อยตำลึงเป็นพอ”
“ขอบคุณพระชายารอง” จูชูอวี้เอ่ยเสียงเรียบ ไม่เย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวเกินไป
หนานกงมั่วย่นคิ้วเบาๆ จูชูอวี้อยากทำความดีแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี ไม่ว่านางมีเจตนาใดอย่างน้อยชาวบ้านก็ได้รับประโยชน์จากมัน ว่ากันว่าใช้วิธีมิชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงไม่ดีอย่างไร อย่างไรก็คงดีกว่าไม่มีใครทำอันใดเพื่อชื่อเสียงเลย เพียงแต่ หากจูชูอวี้คิดลากพระชายาซื่อจื่อและซุนเหยียนเอ๋อร์เข้ามาด้วยเช่นนั้นคงวุ่นวายแล้ว จูชูอวี้สามารถตามใจตนเองบอกว่าอยากแจกจ่ายโจ๊กก็แจกจ่ายโจ๊กได้ ครอบครัวของนางร่ำรวยแน่นอนว่าไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าเฉินซื่อและซุนเหยียนเอ๋อร์อาจไม่เห็นด้วยที่นางทำเช่นนี้ แต่หากบอกว่าไม่เห็นด้วยก็ไม่เท่ากับว่าทั้งสองคนไม่มีใจกตัญญูต่อพระชายาหรอกหรือ
จูชูอวี้เห็นว่านางตอบกลับช้า จึงเอ่ยถาม “พี่สะใภ้เห็นว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือไม่”
หนานกงมั่วส่ายหน้า ยิ้มพลางเอ่ย “จวิ้นจู่จิตใจเมตตาน่ายกย่อง มีสิ่งใดไม่เหมาะสมกัน เพียงแต่…ข้าคิดว่าเมืองโยวโจวคงมีคนจิตใจดีจำนวนไม่น้อย ไยจึงไม่เชิญทุกคนมาร่วมด้วยเลยเล่า นอกจากนี้…แม้ว่าการแจกจ่ายโจ๊กทำให้ประชาชนในเมืองจินหลิงได้เห็นถึงจิตใจที่งดงามของเสด็จป้า อย่างไรก็ตาม…ยามนี้อากาศไม่ดี การจัดตั้งจุดแจกจ่ายโจ๊กเองก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มิสู้เลือกครอบครัวที่ยากจนทั้งในเมืองและนอกเมือง ส่งฟืนส่งข้าวสารสิ่งของประทังความหนาวเย็นเพื่อใช้ในฤดูหนาว จวิ้นจู่คิดเห็นเช่นไร”
“พี่สะใภ้ช่างเหนือชั้น” จูชูอวี้ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เซียวเชียนชื่อก็เอ่ยชื่นชมอย่างอดไม่ได้ เซียวเชียนชื่อเองเคยเข้าร่วมการแจกจ่ายโจ๊กของจวนเยี่ยนอ๋องมาด้วยตนเอง ฤดูหนาวชาวเมืองต้องมาต่อแถวตากลมหนาวเพื่อรอรับโจ๊กเพียงถ้วยเดียว ความรู้สึกเช่นนั้นช่างไม่ดีนัก ในเมืองนอกจากคนและขอทานที่ไม่มีข้าวกิน ก็ไม่มีใครกลับมารับอีก อีกทั้งคนไม่มีข้าวกินที่อยู่นอกเมือง ต้องรีบมาเพื่อโจ๊กเพียงถ้วยเดียวหรือ กินอิ่มกลับไปท้องก็หิวอีก ราวกับไม่ได้กิน
รอยยิ้มบนใบหน้าจูชูอวี้แข็งค้าง “พี่สะใภ้ช่างยอดเยี่ยม” เจ้าบอกว่าเจ้าไม่มีปัญหา สุดท้ายกลับเปลี่ยนแผนของข้าจนไม่เหลือเค้าเดิมอย่างนั้นหรือ ช่างน่าอาย นางไม่เชื่อว่าคนฉลาดอย่างหนานกงมั่วจะไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่นางจะแจกจ่ายโจ๊ก ตอนนี้ลากชนชั้นสูงทั้งโยวโจวมาร่วมด้วย เช่นนั้นแล้วจะมีความหมายอันใด แม้นางจะเป็นถึงจวิ้นจู่ อีกทั้งยังเป็นพระชายาจวิ้นอ๋อง แต่อยู่ในโยวโจว มีพระชายาซื่อจื่อ ซิงเฉิงจวิ้นจู่ อีกทั้งเหล่าคุณหนูตระกูลขุนนาง ใครยังจะรู้จักซั่นจยาจวิ้นจู่อย่างนางอีกเล่า
ฟังพวกเขาพูดคุยกัน คิ้วคมของเยี่ยนอ๋องจึงขมวดขึ้น ตัดสินใจ เอ่ย “เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าต่างไม่มีปัญหา ก็เอาตามที่อู๋สยาว่าเถิด เดี๋ยวไปที่คลังถอนห้าร้อยตำลึง บอกว่าเป็นความประสงค์ของข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
“เพคะ เสด็จลุง”
เยี่ยนอ๋องมองหนานกงมั่ว ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “ร่างกายของอู๋สยาไหวหรือไม่”
หนานกงมั่วยิ้มบาง “ขอบพระทัยเสด็จลุงที่เป็นห่วง หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ” นางไม่เป็นไรจริงๆ ช่วงแรกของการตั้งครรภ์ยังไม่มีอาการแพ้ท้องใดๆ ยามนี้สี่เดือนกว่าเกือบจะห้าเดือนแล้วจะมีปัญหาอันใดได้ เคยได้ยินมาว่าอาการของคนตั้งครรภ์น่ากลัว หนานกงมั่วเองก็เคยเห็นคนตั้งครรภ์มาบ้าง แต่ไม่เอ่ยไม่ได้ว่าลูกคนนี้ช่างว่าง่าย
เดินออกมาจากเรือนเตี๋ย ทั้งสามคนก็ตรงไปยังเรือนพระชายาเยี่ยนอ๋อง พอดีกับเฉินซื่อและซุนเหยียนเอ๋อร์เองกำลังนั่งพูดคุยอยู่กับพระชายาเยี่ยนอ๋อง จึงได้ถือโอกาสเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เมื่อได้ฟังสิ่งที่พวกนางเอ่ย พระชายาเยี่ยนอ๋องลูบมือของหนานกงมั่ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังเป็นอู๋สยาที่รอบคอบ หลายปีมานี้ข้าก็ได้แต่แจกจ่ายโจ๊ก ทำอย่างอื่นไม่ได้มาก และไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ในเมื่อท่านอ๋องเอ่ยเช่นนี้แล้ว ข้าเองก็จะออกอีกสองร้อยตำลึง”
ในเมื่อพระชายาเยี่ยนอ๋องเอ่ยแล้ว เฉินซื่อและซุนเหยียนเอ๋อร์เองก็ออกตามคนละร้อยห้าสิบตำลึง สีหน้าของเฉินซื่อไม่พอใจนัก ซุนเหยียนเอ๋อร์กลับเต็มใจเป็นที่สุด หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงยังอยู่ในขอบเขตที่นางรับได้ ได้ทำเรื่องดีๆ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ถือว่าเพื่อเป็นการขอพรให้สามีที่กำลังออกรบอยู่ท่ามกลางสนามรบ
เพียงแต่ จูชูอวี้ที่เดิมตั้งใจวางแผนจัดการยิ่งใหญ่เริ่มเป็นทุกข์ หากเป็นจวนเยี่ยนอ๋องทำเอง ซุนเหยียนเอ๋อร์และเฉินซื่อแน่นอนว่าไม่อาจเทียบนางได้ ถึงตอนนั้นนางก็จะมีหน้ามีตามากที่สุด แต่ตอนนี้หนานกงมั่วลากคนมาร่วมเป็นโขยง พระชายาเยี่ยนอ๋องออกเพียงสองร้อยตำลึง นางก็ไม่อาจออกมากกว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องได้ จึงจำต้องออกหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงไปด้วย
เซียวเชียนชื่อยิ้ม เอ่ย “ยังเป็นเสด็จแม่และเสด็จพ่อที่ใจกว้าง ดูจากตอนนี้ จวนเยี่ยนอ๋องก็มีกว่าพันกว่าตำลึงแล้ว หากทำตามวิธีของพี่สะใภ้ คงจัดการอันใดได้ไม้น้อยเลย”
พระชายาเยี่ยนอ๋องยื่นมือไปตีหน้าผากของบุตรชายอย่างไม่พอใจ แล้วเอ่ย “อย่าเอาแต่ให้พี่สะใภ้มาออกความคิดแทนเจ้าอยู่เรื่อย ทำให้อู๋สยาต้องเหนื่อยระวังพี่ชายเจ้าจะกลับมาจัดการกับเจ้า”
เซียวเชียนชื่อลูบจมูก ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
พระชายาเยี่ยนอ๋องมองสะใภ้ทั้งสาม เอ่ยกับหนานกงมั่ว “ในเมื่ออู๋สยาเป็นคนเสนอ ตามความเห็นของพระชายาเช่นข้า…เรื่องการรวบรวมคนเหล่านี้คงต้องรบกวนอู๋สยาแล้ว”