ยามนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเข้าใจแล้วว่าทำไมลู่เจียวกำหนดเวลาไว้ปีครึ่ง เขาเห็นด้วยกับความคิดนาง
“ตอนนี้ข้าเข้าใจเจียวเจียวแล้ว เจ้าวางใจ ข้าจะแก้ไขตัวข้าเองเพื่อเจ้า”
ลู่เจียวรู้สึกซาบซึ้งใจกับวาจาและท่าทีของเซี่ยอวิ๋นจิ่น
วาจานางที่กล่าวออกมาก็ยิ่งอ่อนโยนลง “ความจริง ข้าเองไม่ชอบร่วมงานพวกนั้น หากต้องให้รับมือคนเหล่านั้น ข้าอยากจะรักษาผู้ป่วย และอยู่บ้านกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่มากกว่า…”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่เจียวด้วยแววตารอคอย ลู่เจียวเห็นแววตาเขา ก็รู้ว่าเขาอยากฟังว่านางอยากจะอยู่บ้านกับเขา
ลู่เจียวก็มิได้ทำให้เขาผิดหวัง สำทับตามมาอีกประโยคว่า “ข้าอยากอยู่กับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ไม่อยากไปรับมือกับคนเหล่านั้น เรื่องที่ข้ารู้สึกรำคาญใจที่สุดก็คืองานเลี้ยงการค้า แต่บางครั้งและบางเรื่องก็ไม่อาจเลี่ยงได้ ข้าได้แต่เข้าร่วม แต่หากไม่จำเป็นให้ข้าต้องไปร่วมจริงๆ ข้าก็ไม่คิดจะไป”
ลู่เจียวกล่าวถึงตรงนี้ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็พึงพอใจ เขามองออกว่าลู่เจียวเองก็กำลังแก้ไขตนเอง
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ดี เห็นได้ชัดว่าในใจนางมีเขา และยังคิดพยายามเพื่อเขา
“อืม ข้ารู้แล้ว”
ทั้งสองคนเปิดใจคุยกันเสร็จ ในใจก็เขยิบชิดใกล้กันมากกว่าก่อนหน้านี้ ทั้งสองสบตายิ้มให้กัน ในใจเต็มไปด้วยความหวานล้ำ
แต่ทั้งสองคนพลันนึกได้ว่ายังมีจ้าวหลิงเฟิงที่ถูกพวกเขาเชิญออกไปรออยู่ข้างนอก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบให้หลินตงที่อยู่ด้านนอกเชิญจ้าวหลิงเฟิงเขามาคุย
จ้าวหลิงเฟิงเข้ามาก็เห็นสองสามีภรรยาไม่เพียงแต่ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่เหมือนใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น จ้าวหลิงเฟิงแอบรู้สึกเบื่อ ทำไมไม่ทะเลาะกัน เขาจะได้ชมเรื่องสนุก
แต่เขาไม่กล้ากล่าววาจานี้ออกมา ไม่เช่นนั้นสองสามีภรรยาต้องไล่เขาออกจากบ้านแน่
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นในห้องสงบลงแล้ว ก็รู้สึกการที่จ้าวหลิงเฟิงให้ลู่เจียวไปเป็นตัวแทนสามโรงผลิตเข่ารวมสมาคมการค้าชิงเหอน่าจะมีอะไร ทำไมเขาไม่เป็นตัวแทนสามโรงผลิตไปร่วมสมาคมการค้าชิงเหอเอง แต่กลับให้ลู่เจียวเป็นตัวแทนกัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองจ้าวหลิงเฟิง ถามน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ทำไมเจ้าไม่เป็นตัวแทนสามโรงผลิตไปร่วมสมาคมการค้าชิงเหอเอง แต่ต้องให้เจียวเจียวเป็นตัวแทนสามโรงผลิตไปร่วมสมาคมการค้าชิงเหอด้วย ข้ารู้ว่าสามโรงผลิต เจียวเจียวมีส่วนแบ่งเพียงสามส่วน ส่วนเจ้ามีเจ็ดส่วน”
จ้าวหลิงเฟิงคัดค้านทันที “ข้าไม่ได้มีเจ็ด ยังมีฉีเหล่ยอีกหนึ่งนะ”
แม้ว่าฉีเหล่ยไม่ได้รับไปหมด แต่มองโดยรวมแล้วก็เป็นเช่นนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แม้เป็นเช่นนี้ เจ้าก็มีหกส่วน เจ้าควรเป็นตัวแทนสามโรงผลิตไปร่วมสมาคมการค้าชิงเหอเอง ไยเจ้าต้องให้เจียวเจียวเป็นตัวแทนด้วย หากเจ้าไม่พูดความจริง ข้าก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้เจียวเจียวไปร่วม”
ลู่เจียวเองก็อยากรู้วัตถุประสงค์ที่จ้าวหลิงเฟิงทำเช่นนี้
จ้าวหลิงเฟิงมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “พวกเจ้าห่างไกลจากเมืองหลวง อาจไม่รู้ว่าฮ่องเต้พระชนมายุมากแล้ว ครึ่งปีก่อน รัชทายาทก็ถูกคนลอบวางอุบายจนไม่อาจมีทายาท รัชทายาทถูกปลด องค์ชายที่เหลือตอนนี้ก็เจริญพระชันษา แต่ละพระองค์ก็คิดหมายปองเรื่องนี้ ตอนนี้เมืองหลวงมีกระแส แย่งชิงกันทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย”
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวได้ฟังก็เข้าใจ การแก่งแย่งเรื่องรัชทายาทเริ่มแล้ว อ๋องเยียนเองก็เป็นพระโอรสฮ่องเต้ ย่อมคิดหมายปองเช่นกัน
แต่เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับจ้าวหลิงเฟิง
“เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นถามออกไปโดยตรง ไม่สนใจคิดปัญหานี้
จ้าวหลิงเฟิงรีบกล่าวว่า “ตระกูลพระมารดาอ๋องเยียนทรงอิทธิพล เดิมก็เป็นที่จับตา ดังนั้นแต่ไรอ๋องเยียนมาก็พยายามอยู่อย่างเงียบๆ ที่ข้ามาอำเภอชิงเหอนี้ก็เป็นพระประสงค์อ๋องเยียน อ๋องเยียนให้ข้าทำการโดยเงียบ อย่าได้ทำอะไรให้เป็นที่สนใจ เพราะอาจนำความยุ่งยากมาสู่อ๋องเยียนได้”
เดิมตระกูลพระมารดาอ๋องเยียนทรงอิทธิพล หากมีข่าวไปว่าอ๋องเยียนมีการวางแผน เช่นนั้นฮ่องเต้และชนชั้นสูงในเมืองหลวงจะคิดอย่างไร เห็นชัดว่าคิดหมายปองตำแหน่งฮ่องเต้ไหม
แม้ว่าบรรดาองค์ชายต่างหมายปองตำแหน่งว่าที่ฮ่องเต้แคว้นต้าโจว แต่ไม่กล้าแสดงออกเปิดเผยแม้แต่น้อย หากเผยออกไป คนแรกที่จะไม่ปล่อยพวกเขาไปก็คือฮ่องเต้
แต่หากคิดช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาท เงินเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ต้องมีเงินเพื่อเอาไว้ซื้อใจขุนนาง ซื้อใจขุนพลกุมอำนาจและพี่น้อง ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินทอง
อ๋องเยียนไม่คิดพึ่งพาตระกูลมารดาทั้งหมด ดังนั้นจึงให้เขาออกจากเมืองหลวงมาหาเงิน และกำชับเขาให้ทำการโดยเงียบ
พอจ้าวหลิงเฟิงเอ่ยขึ้น เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวก็เข้าใจทันที
สิ่งที่สามโรงผลิตจะผลิตออกขายย่อมเป็นที่จับตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว หากมีคนพบว่านี่เป็นกิจการจ้าวหลิงเฟิง ไม่แน่อาจเชื่อมโยงไปถึงอ๋องเยียน แม้ไม่ได้เชื่อมโยง บรรดาองค์ชายก็ย่อมจับตาอ๋องเยียน
ดังนั้นจ้าวหลิงเฟิงไม่อาจเป็นตัวแทนสามโรงผลิต ได้แต่ให้ลู่เจียวออกหน้า
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวกำลังคิดอยู่ จ้าวหลิงเฟิงก็กล่าวต่อว่า “ความจริงลู่เหนียงจื่อก็แค่ออกหน้าพอเป็นพิธี ผ่านไปสองสามครั้ง วันหน้าก็มอบให้ข้าเป็นตัวแทนก็ได้”
ขอเพียงลู่เจียวออกหน้าครั้งแรกครั้งสองครั้ง จากนั้นก็มอบให้จ้าวหลิงเฟิงต่อก็พอ
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวได้ฟัง ต่างก็โล่งอก
คนหนึ่ง ไม่อยากให้ลู่เจียวเข้าร่วมสมาคมในสถานที่เช่นนี้ คนหนึ่งก็ไม่ชอบร่วมงานสมาคมเช่นนี้
ลู่เจียวพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา “ข้าจำได้ว่าสัญญาที่จดอยู่ไว้ที่ที่ว่าการอำเภอ หากคนบงการเบื้องหลังพวกนั้นไปค้นที่ที่ว่าการอำเภอก็ย่อมค้นเจอว่าเจ้าถือครองกรรมสิทธิ์เท่าไรไหม”
จ้าวหลิงเฟิงท่าทางได้ใจ “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ สัญญาที่ข้าเอาไปที่ที่ว่าการอำเภอเป็นสัญญาปลอม สัญญาปลอมนั่นข้ามีส่วนแบ่งแค่สองส่วน”
ลู่เจียวไม่ทันได้พูดอะไร เซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเรารู้ที่ว่าการอำเภอเป็นของปลอม แต่หากพวกเราแสร้งไม่รู้เรื่องด้วย บอกว่าชุดที่อยู่ที่ว่าการอำเภอเป็นของจริง เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ไหม”
จ้าวหลิงเฟิงได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็หัวเราะดังลั่น “ก็ต้องถามว่าพวกเจ้ากล้าเอาเงินก้อนนี้ไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเงียบกริบทันที จ้าวหลิงเฟิงบอกพวกเขาอย่างไม่ปิดบังว่านี่คือเงินทองของอ๋องเยียน พวกเขาจะกล้าเล่นลูกไม้หรือ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ถือว่าเจ้าแน่”
กล่าวจบ เขาก็มองไปยังจ้าวหลิงเฟิง “ทำไมเจ้ากล้าบอกพวกเราเรื่องอ๋องเยียน”
นี่ถือว่าเป็นเรื่องลับ
จ้าวหลิงเฟิงมองเขานิ่ง ที่เขาบอกพวกเขาก็เพราะเรื่องนี้ช้าเร็วพวกเขาก็ย่อมต้องรู้ บอกช้าไม่สู้บอกเร็ว นับประสาอันใดกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเป็นแค่ชาวอำเภอชิงเหอ ห่างไกลจากเมืองหลวง อีกอย่างเขาเองมองออกว่าเจ้านายก็คิดจะใช้งานเซี่ยอวิ๋นจิ่น ดังนั้นเขาจึงได้บอกเรื่องพวกนี้กับพวกเขา
แต่เรื่องพวกนี้ จ้าวหลิงเฟิงไม่คิดบอกเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เขามองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวด้วยสีหน้าจริงใจอย่างมาก “ข้าเชื่อในคุณธรรมของพวกเจ้า ดังนั้นจึงได้บอกเจ้า”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นแค่นเสียงฮึเยียบเย็นอย่างไม่พอใจทันที “เชื่อเจ้าก็โง่แล้ว”
กล่าวจบก็ถามจ้าวหลิงเฟิง “จะจัดตั้งสมาคมเมื่อไร”
“วันนี้นายอำเภอหูส่งเทียบเชิญพ่อค้าอำเภอชิงเหอ ไม่รู้ว่าจะมีคนไปร่วมงานเท่าไร”