“แต่ยังมีอีกสองสามตัวไม่ใช่เหรอครับ”
“มีอีกสองตัว โลอิสกับจอห์น”
“ถ้ามีรูป ช่วยส่งให้ผมได้ไหมครับ พี่สาวผมชอบแมวมากเลย ผมจะลองถามพี่ดูครับ เมื่อก่อนพี่เขาไม่ได้เลี้ยงตอนที่อยู่กับพี่เขยคนที่สองเหรอครับ”
“เปล่า เลี้ยงตอนอยู่กับกรรมการผู้จัดการคิมน่ะ”
หัวหน้าทีมชาแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้องทันที
“ฮยองนิม ต้องส่งรูปมาให้ผมนะครับ เข้าใจไหม”
“อื้อ จะส่งให้ทันทีเลย”
อินซอบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่มองมา อีอูยอนกำลังมองอินซอบทั้งๆ ที่ยังถือหนังสือเอาไว้
“…ให้ผมส่งรูปให้คุณอีอูยอนด้วยไหมครับ”
อินซอบเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
“ทำไมต้องเอารูปแมวให้หมอนั่นดูด้วยล่ะ”
หัวหน้าทีมชาเอ่ยถามอย่างตกใจ เพราะอีอูยอนเป็นคนที่ไม่ลังเลที่จะขู่ให้เอาแมวหรืออะไรก็ตามออกไปให้พ้น
“ก่อนหน้านี้คุณอีอูยอนบอกว่าอยากจะเลี้ยงแมวน่ะครับ”
“อย่านะ แมวอะไรกันล่ะอีอูยอน ขนมันร่วงเยอะมาก แล้วกลิ่นฉี่ก็แรงมากด้วย จะเอาสัตว์เลี้ยงเข้ามาตามใจชอบโดยที่ไม่ได้ชอบไม่ได้นะ”
หัวหน้าทีมชาพูดเสริม เพราะกังวลว่าโชคชะตาของแมวจะพินาศย่อยยับ
“แล้วเอาสิ่งที่ชอบเข้ามาได้ไหมครับ”
พอเขาทำแบบนั้น อีอูยอนก็รีบเอ่ยถาม
“…จะต้องถามความเห็นของอีกฝ่ายด้วยสิ”
“ไม่หรอกครับ ถ้าคุณอีอูยอนเลี้ยงสัตว์ จะต้องเลี้ยงได้ดีแน่ๆ ครับ”
หัวหน้าทีมชามองอินซอบที่เข้าข้างอีอูยอนอย่างเต็มที่ เขาไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าสิ่งที่หมอนั่นอยากเอาเข้าไปไม่ใช่แมว แต่เหมือนจะเป็นนายนะ
“โอ๊ย ทำไมถึงทำแบบนั้นอยู่เรื่อยเลยนะ”
ตอนนั้นเองคิมคังอูที่ขับรถอยู่ก็พึมพำด้วยน้ำเสียงที่มีความรำคาญเจืออยู่
“มีอะไร”
หัวหน้าทีมชาเบนสายตากลับไปข้างหน้าก่อนจะเอ่ยถาม
“อาวดี้สีแดงข้างหน้านั่นน่ะครับ ผมเปลี่ยนเลนเพราะเขาพยายามจะประกบอยู่เรื่อย แต่ก็ปาดหน้ามาอีกแล้ว จงใจทำแบบนั้นหรือเปล่านะ”
“คงจะดีใจที่ได้ขับรถนอกเป็นครั้งแรกในชีวิตนั่นแหละ ปล่อยไปเถอะ นายก็เปลี่ยนเลนไปแล้วกัน”
หัวหน้าทีมชาตอบด้วยท่าทีราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นี่เป็นหนึ่งในเรื่องนับร้อยที่จะต้องเจอในขณะที่ทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของดารา
คิมคังอูเดาะลิ้นเหมือนไม่พอใจ และเปิดไฟเลี้ยว
อินซอบเริ่มหารูปแมวที่น่ารักที่สุดที่จะส่งให้อีอูยอนจากแกลอลี่ภาพในโทรศัพท์มือถือ อีอูยอนมองอินซอบที่กำลังทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในโลกนิ่งๆ
“ถ้าไล่ตามแค่รถคันนี้อย่างแปลกๆ ก็คงเป็นพวกคนที่ตั้งใจจะหาเรื่องแน่เลยครับ ผมคิดไปเองหรือเปล่านะ”
“ไม่หรอก เป็นเรื่องที่มีอยู่บ่อยๆ เลยล่ะ ดังนั้นนายจะต้องขับรถอย่างปลอดภัย อ๊าก!”
หัวหน้าทีมชาส่งเสียงร้อง คิมคังอูเหยียบเบรกทันที รถตู้ส่งเสียงดังสนั่นพร้อมกับลื่นออกจากถนน แต่ก็หลีกเลี่ยงการชนกับรถอาวดี้ที่ปาดมาอย่างกะทันหันได้อย่างหวุดหวิด
“เหอะ ไอ้บ้าเอ๊ย”
หัวหน้าทีมชาเงยหน้าพร้อมกับสบถ
“คังอู เป็นอะไรใช่ไหม”
“ครับ”
สีหน้าของคิมคังอูที่เลี่ยงอุบัติทางรถยนต์มาได้อย่างฉิวเฉียดซีดเผือด
“พวกนายเป็นอะไร…”
สีหน้าของหัวหน้าทีมชาที่หันหลังกลับมามองนิ่งไปทันที เขาสบตากับอีอูยอนที่กำลังยื่นมือออกมาประคองตัวของอินซอบเอาไว้
อีอูยอนปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออก และก้มตัวลงตรงหน้าอินซอบ อินซอบส่งเสียงร้องเบาๆ และใช้มือปิดหน้าเอาไว้ ดูเหมือนตัวล็อกที่หลวมจะทำให้อินซอบไม่สามารถต้านความเร็วที่รถหยุดอย่างกะทันหันได้ และเอาหน้าปักไปข้างหน้าทั้งๆ แบบนั้น
“เงยหน้าขึ้นมาหน่อยครับ”
อีอูยอนจับหน้าของอินซอบเอาไว้และทำให้เงยขึ้นมามองตน
“ผมไม่เป็นไรครับ”
อินซอบยิ้มพร้อมกับพยายามจะทำให้อีอูยอนวางใจ แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ เลือดไหลออกมาผ่านนิ้วมือขาวๆ ของเขา
อีอูยอนกัดริมฝีปากแน่น อินซอบรีบเช็ดเลือดก่อนจะส่ายหน้า
“ผมไม่เป็นไรครับ เพราะกระแทกนิดหน่อย จมูกก็เลยถูกกดลงไป ไม่สิ เดิมทีผมก็เลือดกำเดาไหลง่ายอยู่แล้ว ไม่ต้องสนใจหรอกครับ”
ในระหว่างที่อินซอบพูด เลือดกำเดาที่หยดลงมาก็ทำให้เสื้อของเขาเปียก
อีอูยอนหันหน้ากลับไปข้างหน้า หัวหน้าทีมชารีบยกแขนขึ้นมาปกป้องคิมคังอู เพราะคิดว่าน้องชายของอดีตภรรยาจะต้องถูกทุบจนตาย
“นี่ไม่ใช่ความผิดของคังอูนะ เป็นความผิดของไอ้อาวดี้บ้านั่นต่างหาก เป็นความผิดของอาวดี้นั่นทั้งหมดเลย”
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ”
หัวหน้าทีมชาโล่งใจกับอีอูยอนที่ไม่รู้ทำไมถึงเห็นด้วยกับคำพูดของตนอย่างง่ายดาย แต่พอเห็นแววตาของอีอูยอนที่จ้องมองรถอาวดี้ที่จอดอยู่ข้างๆ มือและเท้าของเขาก็เริ่มเย็นเฉียบ นี่เป็นสภาวะฉุกเฉิน
“อีอูยอน! ไม่ได้นะ ไม่ได้เด็ดขาดเลย”
อีอูยอนไม่ตอบอะไร และเปิดประตูหลัง ในขณะเดียวกันอินซอบก็คว้าชายเสื้อของอีอูยอนไว้
“ผมจะออกไปพูดเองครับ”
เลือดยังคงไหลผ่านซอกนิ้วของอินซอบที่ปิดจมูกไว้ออกมา อีอูยอนที่เห็นภาพนั้นแสร้งหัวเราะ
“ผมจะออกไปก่อน…”
อินซอบไม่สามารถพูดคำต่อไปได้ อีอูยอนวางมือไว้ตรงด้านหลังของเบาะที่อินซอบนั่ง และเอนตัวมาหา จากนั้นก็ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเลือดให้อินซอบ
“คนที่เลือดไหลน่ะมีคนเดียวก็พอแล้วครับ”
นี่เป็นคำพูดที่สั้น แต่ทรงพลัง แต่ถึงกระนั้นอินซอบผู้ซึ่งทำให้เกิดอุบัติเหตุในวันนี้ก็ไม่สามารถพูดว่า “ผมจะจัดการเองครับ” ได้อย่างคล่องแคล่ว
“พวกคุณเองก็อยู่เฉยๆ ไว้นะครับ ถ้าออกมา ผมจะทำให้เห็นเรื่องใหญ่ที่พูดถึงเมื่อกี้แน่”
อีอูยอนเตือนคนสองคนที่นั่งอยู่ที่เบาะหน้าและออกไปจากรถ
“อีอูยอน!”
แม้หัวหน้าทีมชาจะเรียกชื่อของเขาอย่างรีบร้อน แต่อีอูยอนก็เดินไปโดยไม่หันกลับมามอง รถอาวดี้ที่ไถลมาพร้อมกับรถตู้จอดอยู่ข้างทางในสภาพที่เปิดไฟกะพริบไว้ อีอูยอนเดินไปทางรถอาวดี้ก่อนจะเคาะกระจกรถ กระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับถูกเลื่อนลงมา
“ตายจริง อีอูยอนนี่”
หญิงสาวที่สวยมากและสวมแบรนด์เนมทั้งตัวมองอีอูยอนและแกล้งทำเป็นรู้จัก
“ไม่รู้จักฉันเหรอคะ คุณเคยถ่ายโฆษณาเบียร์กับฉันเมื่อก่อนไง จำไม่ได้เหรอคะ”
อีอูยอนไม่ตอบอะไร และมองไปที่ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ หญิงสาว
“โอ๊ย ดวงซวยจริงๆ เลยนะวันนี้”
ผู้ชายที่ทำผมแสกกลางและสวมแว่นตากรอบเงินทำหน้าตาไม่พอใจและพึมพำเหมือนต้องการจะให้ได้ยิน
“พี่นี่ก็ คุณอีอูยอนอย่าไปสนใจเลยค่ะ ช่วยถ่ายรูปกับฉันสักรูปได้ไหมคะ ฉันจะเอาไปอวดเพื่อนๆ”
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าถือ
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”
อีอูยอนพูดเสียงต่ำ
หยดน้ำที่หยดลงมาจากฝนที่เทลงมาไหลไปตามแก้มของเขา แม้จะเป็นภาพที่ควรจะดูยากไร้และเปรอะเปื้อน แต่กลับดูเหมือนกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์โรแมนติกเป็นอย่างมาก หญิงสาวที่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมามองหน้าอีอูยอนที่เป็นแบบนั้นอย่างไร้สติ
“ว่ายังไงนะ จู่ๆ มาพูดอะไรเนี่ย”
“ถ้าไม่ได้เป็นอะไร แล้วทำไมถึงขับรถแบบนั้นล่ะครับ”
ใบหน้าของผู้ชายนิ่งไปในทันที
“ฮ่าๆๆ เหลวไหลจริงๆ เลย ผู้จัดการส่วนตัวของนายหักพวงมาลัยอย่างกะทันหันจนรถของฉันไถลไปด้วยนะ”
“พี่ มันไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย พี่เป็นคนปาดไปก่อนเองนะ”
หญิงสาวใช้มือปิดปากไว้พร้อมกับหัวเราะคิกคัก ชายคนนั้นหน้าแดง เพราะคิดว่าโดนประจานต่อหน้า
“ไม่ใช่นะ เป็นเพราะหลบไม่ได้ต่างหาก ไอ้คนที่ขับรถมันเอาตาไปไว้ที่ไหนล่ะ แต่ก็นะ ไอ้คนที่ขับรถให้พวกที่เต้นกินรำกินจะไปมีปัญญาเรียนอะไรล่ะ”
“ฉันเองก็เป็นนางแบบนะ งั้นฉันก็เป็นพวกเต้นกินรำกินเหรอ”
พอเห็นหญิงสาวแกล้งทำเป็นบึ้งตึง ฝ่ายชายก็บอกว่าไม่ใช่พลางโบกมือปฏิเสธ
“เธอเป็นเหมือนมันเหรอ เธอเป็นศิลปินที่นำเสนอเสื้อผ้านี่ มีอะไรให้เทียบกันตรงไหน”
อีอูยอนมองผู้ชายคนนั้นนิ่งๆ หยดน้ำฝนไหลไปตามสันกรามของเขาและหยดลง
“คุณเปียกหมดแล้ว ทำยังไงดีล่ะคะ เอาอันนี้ไปเช็ดสิคะ”
พอหญิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าถือ ผู้ชายคนนั้นก็ทำหน้าตาน่ากลัว
“พอแล้ว ยังไงก็เปียกหมดแล้วนี่ จะให้อะไร”
ชายคนนั้นเอามือของหญิงสาวลง อีอูยอนจ้องชายคนนั้นนิ่งๆ
“มองอะไร ไอ้พวกเต้นกินรำกิน”
“…”
เหมือนว่าชายคนนั้นจะตีความความเงียบของอีอูยอนว่าตนมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้
“ว้าว ดูการที่ไอ้หมอนี่มันมองคนที่อายุมากกว่าตัวเองตรงๆ อย่างไร้มารยาทสิ แกได้ไปเกณฑ์ทหารมาหรือยัง ดารานี่เป็นยศเหรอ ดูๆ ไปแกมันก็แค่ไอ้คนที่แต่งหน้าทาปากเท่านั้นเอง”
อีอูยอนหัวเราะเสียงต่ำโดยไม่พูดอะไร พอไม่เห็นว่าเขาแสดงทีท่าว่าโกรธ ชายที่คิดว่าความร้ายของตนเป็นเครื่องหมายของความกล้าหาญก็พ่นคำพูดที่หยาบคายยิ่งขึ้น
“จริงสิ แกคบกับผู้หญิงหากินที่เที่ยวอ้าขาให้ใครต่อใครอยู่นี่ บุพเพสันนิวาสชัดๆ”
ชายคนนั้นหัวเราะคิกคักพร้อมกับเลื่อนกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับขึ้น แม้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ จะบ่นงึมงำว่าไม่พูดแรงเกินไปหน่อยเหรอ แต่ชายคนนั้นกลับไม่ใส่ใจ เขาดื่มด่ำกับชัยชนะที่ไม่ได้มีอะไรเลย และฮัมเพลงพร้อมกับจับพวงมาลัยรถ
ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงเคาะกระจกรถ อีอูยอนที่เดินมาฝั่งคนขับตอนไหนไม่รู้ขยับมือสั่งให้เอากระจกลงพร้อมกับพูดอะไรบางอย่าง เขาได้ยินเสียงของอีอูยอนไม่ชัดเจนนัก เพราะเสียงฝนที่ตกลงมา
“มีอะไร!”
ชายคนนั้นตะโกนอย่างย่ามใจ อีอูยอนกระดิกนิ้วสั่งให้เลื่อนกระจกรถลง
“ทำไมเหรอ เอากระจกลงแล้วจะทำอะไรล่ะ”
ชายคนนั้นมองอีอูยอนที่เปียกฝน และชูนิ้วกลางขึ้นมาราวกับจะบอกให้มอง
ภาพที่เห็นว่าผู้หญิงที่เขามอบของขวัญราคาแพงให้ เลี้ยงอาหารเย็นที่ร้านอาหารหรู และทุ่มเทเอารถดีๆ มารับทิ้งตนไป และสนใจอีอูยอนมากกว่าสะกิดความรู้สึกต่ำต้อยของเขา
อีอูยอนเคาะกระจกต่ออีกสองสามครั้ง สมน้ำหน้า ชายคนนั้นไม่สนใจและจับพวงมาลัยรถอีกครั้ง
และตอนนั้นเอง
“…!”
กระจกฝั่งคนขับเกิดรอยร้าวพร้อมกับเสียงดัง เปรี๊ยะ ชายคนนั้นตาโตด้วยความตกใจ อีอูยอนที่จับก้อนหินที่มีขนาดพอๆ กับหัวคนไว้ฟาดกระจกรถฝั่งคนขับอีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย คราวนี้กระจกรถแตกดังเพล้ง
“อ๊าก!”
กระจกรถที่แตกทำให้ฝนเข้ามาด้านในอย่างกะทันหัน อีอูยอนโยนหินทิ้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และใช้มือเปล่าดึงกระจกรถที่แตกออกจากกันออก จากนั้นนั้นเขาก็เอนตัวไปข้างใน และมองชายคนนั้นพร้อมกับพูด
“พูดว่าอะไรนะครับ”
อีอูยอนพูดเสียงต่ำ เป็นเสียงที่คิดว่าน่าฟังถึงขนาดที่คิดว่าศักดิ์ศรีถูกทำลายทุกครั้งที่ได้ยินจากโฆษณา แต่พอได้ยินจริงๆ แล้วมันเทียบไม่ได้กับที่ได้ยินจากการออกอากาศเลย ถึงขนาดที่คิดว่าเสียงนั้นไพเราะมากแม้กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้
“ผมได้ยินไม่ชัดน่ะครับว่าคุณพูดว่าอะไร ช่วยพูดให้ดังขึ้นได้ไหมครับ”
“แก ไอ้บ้า…”
ตอนนั้นเองริมฝีปากล่างของชายที่เพิ่งตั้งสติได้ก็สั่นระริก อีอูยอนสะบัดหมัดที่ติดอยู่ที่กระจกออกพร้อมกับหัวเราะเสียงต่ำ ช่างเป็นภาพที่ไม่สมจริงเลย
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วแกจะไม่มีปัญหาเหรอ! ฉันจะเอาลงอินเทอร์เน็ตเดี๋ยวนี้…เฮือก ทำอะไรน่ะ”
อีอูยอนถอดแว่นออกจากหน้าของชายคนนั้น
“เพราะห้ามบาดเจ็บไงครับ”
ไม่จำเป็นต้องถามเลยว่ามันหมายความว่าอะไร อีอูยอนจับด้านหลังศีรษะของชายคนนั้นไว้ และกระแทกเข้ากับพวงมาลัยอย่างเต็มแรง ปี๊บ เสียงแตรแหลมบาดหูดังฝ่าเสียงฝนขึ้นมา