“ลองบอกเหตุผลที่ห้ามไม่ให้ฉันฆ่านายตอนนี้มาสักสามข้อซิ”
“เงิน ชื่อเสียง หน้าตา และความสามารถในการแสดง”
อีอูยอนนับนิ้วและเรียบเรียงเหตุผลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นายนี่นะ ฉันสั่งให้บอกมาแค่สาม แต่นายตอบมาตั้งสี่ข้อ!”
“เลือกตามสบายจากสี่ข้อนี้สิครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมหยิบขวดน้ำแร่ที่วางอยู่บนโต๊ะปาใส่อีอูยอนเต็มแรง
“ทำไมถึงใช้ความรุนแรงกับคนอื่นแบบนี้ล่ะครับ”
อีอูยอนใช้มือที่มีผ้าพันแผลพันอยู่รับขวดน้ำแร่อย่างสบายๆ พลางตำหนิกรรมการผู้จัดการคิม กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกโกรธจนตาจะถลน และเอนตัวพิงโซฟา
“นาย ตอนนี้ฉัน เหอะ…”
กรรมการผู้จัดการคิมเอาหน้าซุกฝ่ามือ เขาควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองอีอูยอน
“ทำไมช่วงนี้นายถึงเป็นแบบนี้ เป็นบ้าไปแล้วเหรอ”
“พูดอย่างกับว่าเดิมทีผมเป็นคนปกติงั้นแหละครับ”
“นี่! ฉันไม่มีอารมณ์จะมาล้อเล่นหรอกนะ นายเป็นอะไรกันแน่ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่ควรออกไปต่อยคนต่อหน้าคนอื่น! เดี๋ยวนี้นายไม่แม้แต่จะแสดงความตั้งใจที่จะรอคอยอย่างอดทนและไปแอบต่อยในที่ที่ไม่มีคนเห็นแล้วเหรอ!”
“คราวหน้าผมจะตั้งใจให้นะครับ”
“อย่านะ!”
เส้นเลือดตรงคอของกรรมการผู้จัดการคิมนูนขึ้นมา อีอูยอนบิดฝาขวดน้ำแร่ด้วยสีหน้าเสียดาย
“ยังไงความเห็นของคนส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนไปแล้วนี่ครับ”
อีอูยอนใช้นิ้วเคาะหน้าจอโน้ตบุ๊คที่วางอยู่บนโต๊ะ
เหตุการณ์ที่อีอูยอนใช้ความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนบนถนนถูกพาดหัวข่าวในวันรุ่งขึ้นทันที อันดับการค้นหาแบบเรียลไทม์รวมไปถึงเว็บไซต์ หรือคอมมูนิตี้ทั้งหมดเต็มไปด้วยชื่อของอีอูยอน กรรมการผู้จัดการคิมที่ได้ยินข่าวกลับมาจากการดูงานที่ประเทศจีนทันที โทรศัพท์ของบริษัทและโทรศัพท์มือถือของกรรมการผู้จัดการคิมโดนโทรเข้าจนโทรศัพท์แทบจะลุกเป็นไฟ
ความรู้สึกแรกที่กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกคือความตกใจจนแทบจะเป็นลม ต่อมาก็คือความรู้สึกโกรธที่มีต่ออีอูยอน และท้ายที่สุดก็คือความรู้สึกละอายใจกับตัวเองที่ต่อสัญญากับอีอูยอน
เขาตำหนิตัวเองอยู่พักใหญ่ จากนั้นหัวหน้าทีมชาก็มาหา หัวหน้าทีมชาบอกว่าไม่มีอะไรจะพูดกับการเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นทั้งๆ ที่ตัวเองก็อยู่ที่นั่นด้วย และก้มหัวขอโทษ กรรมการผู้จัดการคิมส่ายหน้า
‘ถึงจะมีพระพุทธเจ้า พระอัลลอฮ์ หรือพระเยซูอยู่ด้วยก็ห้ามหมอนี่ไม่ได้หรอก’
‘…ใช่ไหมล่ะครับ’
ทั้งสองหยิบเหล้าออกมาจากตู้เก็บเหล้าและเริ่มดื่ม ในตอนที่เหล้าหมดขวด กรรมการผู้จัดการคิมก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
‘ฉันสร้างบริษัทมายังไงนะ’
คำพูดนั้นทำให้ชายวัยกลางคนสองคนกอดกันร้องไห้ ในระหว่างที่พวกเขาร้องห่มร้องไห้ และปลอบใจกันให้เขียนข้อความที่จะแถลงในวันพรุ่งนี้ ก็มีข้อความจากผู้รับผิดชอบด้านการประชาสัมพันธ์ของบริษัทเข้ามา
[กรรมการผู้จัดการ ได้เช็กข่าวหรือยังค่ะ]
น่าจะเป็นเพราะรีบมาก ข้อความนั้นจึงพิมพ์ผิดเต็มไปหมด กรรมการผู้จัดการคิมรีบเช็กข่าวผ่านโทรศัพท์มือถือ
“‘ต่อให้โต้เถียงกัน แต่พวกดารากลับต้องอยู่เงียบๆ’ ‘อีอูยอนที่อดทนอย่างนิ่งเฉยพูดว่า ‘ช่วยพูดดังๆ หน่อยครับ’ ‘ไฟล์เสียงในเหตุการณ์จริงที่อีอูยอนทำได้แค่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเท่านั้น’”
อีอูยอนไล่อ่านหัวข้อข่าวอย่างสงบนิ่ง
“เหลือเชื่อจริงๆ เลยนะครับ”
อีอูยอนไล่สายตาอ่านข่าวเกี่ยวกับตัวเองพร้อมกับพูดต่อด้วยท่าทีไม่แยแสราวกับกำลังอ่านเรื่องของคนอื่นอยู่
“คนเราเปลี่ยนความคิดได้ง่ายขนาดนี้ได้ยังไง”
ข้อความที่ถูกโพสต์ในเว็บไซต์เว็บไซต์หนึ่งทำให้ความเห็นของคนส่วนใหญ่ที่ลุกลามเหมือนไฟเปลี่ยนไป ผู้เขียนข้อความซึ่งเปิดเผยว่าตนเป็นคนที่ขับรถคันนั้นในวันนั้นทิ้งข้อความไว้ว่า ‘แม้อีอูยอนจะมีน้ำเสียงที่ไพเราะและหล่อกว่าที่เห็นในหน้าจอ แต่นิสัยกลับแย่มาก และผมก็กลัวแทบตาย’ คอมเมนต์ใต้ข้อความนั้นล้วนแต่เยาะเย้ยคนโพสต์ข้อความกันเป็นเสียงเดียว เช่น ‘กลิ่นความปลอมลอยคลุ้งเลยแฮะ’ ‘คนตอแหล’ และ ‘แฟนคลับคงเหนื่อยแย่เลยเพราะมัวแต่เขียนนิยายกากๆ’ เป็นต้น
พอเป็นแบบนั้น คนโพสต์ก็ทิ้งข้อความไว้ว่า ‘ผมจะไปเอาหลักฐานมา’ คนส่วนใหญ่คิดว่าคงเป็นข้อความโกหกที่มีอยู่ทั่วไป และคงไม่ได้สำคัญอะไร ข้อความใหม่ถูกโพสต์หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง พร้อมกับแนบไฟล์เสียงจากกล่องดำที่อยู่ในรถวันนั้นมาด้วย
ด้วยเหตุนั้นความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จุดที่อีอูยอนผู้เคยตอบรับด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนน้อมอยู่เสมอเกิดโกรธขึ้นมาเพราะคำด่าจากแฟนสาวของตนทำให้ใจของคนส่วนใหญ่สั่นคลอน แน่นอนว่าพอได้ฟังเสียงของอีอูยอน กรรมการผู้จัดการคิม หัวหน้าทีมชา และชเวอินซอบก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวหงุดหงิดตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายที่คำด่าแชยอนซอที่ผู้ชายคนนั้นพ่นออกมาไม่ดีเอาเสียเลย และต้นสังกัดของแชยอนซอเองก็ประกาศว่าจะฟ้องร้องในข้อหาที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นกัน โดยมีเจตนาเพื่อตอบแทนอีอูยอนที่มาเยี่ยมไข้ที่โรงพยาบาลวันนั้น
“ดูเหมือนว่าความคิดของทุกคนจะยืดหยุ่นนะครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมกัดฟันกรอดพร้อมกับจ้องอีอูยอน
“โชคดีนะครับที่จบลงแค่นี้”
“โชคดีกะผีน่ะสิ ถึงความเห็นของคนส่วนใหญ่จะเปลี่ยน แต่ก็ใช่ว่าเรื่องที่นายโดนด่าจะหายไปนะ สุดสัปดาห์นี้ก็มีพิธีมอบรางวัลของเทศกาลภาพยนตร์ด้วย จะทำยังไงล่ะทีนี้”
“ทำยังไงล่ะครับ ก็ต้องไปรับรางวัลน่ะสิ”
อีอูยอนเป็นผู้เข้าชิงรางวัลใหญ่และเป็นตัวเก็งของพิธีมอบรางวัลนี้
“คนที่ทำจมูกของคนอื่นหักจะเอาหน้าที่ไหนไปเหยียบพรมแดงล่ะ”
อีอูยอนใช้มือชี้หน้าของตัวเองโดยไม่พูดอะไร รูปลักษณ์ภายนอกที่หล่อถึงขนาดที่เขาเกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตายทำให้กรรมการผู้จัดการคิมมือไม้สั่น
“ไม่ต้องไปร่วมเทศกาลภาพยนตร์หรอก แล้วก็คงต้องแสดงให้เห็นว่านายกำลังควบคุมพฤติกรรมของตัวเองอยู่ไปสักพักหนึ่งด้วย นายทำความดีอะไรไว้ล่ะถึงจะไปรับรางวัล”
อีอูยอนเอียงคอด้วยความสงสัย
“ผมช่วยถอดแว่นให้แล้วนี่ครับ”
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมจ้องคนเสียสติที่รอคำชมอยู่พักหนึ่งก่อนจะใช้กำปั้นทุบหน้าอก
“เก่งม้ากกก ใช่แล้ว เก่งมากเลย”
“เก่งใช่ไหมล่ะครับ ผมแม่งอดทนที่จะไม่เอาหินทุบลิ้นมันไปด้วยเลยนะ”
ดวงตาของอีอูยอนเป็นประกายอย่างน่าขนลุกจนทำให้หัวหน้าทีมชาต้องกลั้นหายใจทันที
“ก็ต้องทนอีกหน่อยสิ ไอ้คนแปลกๆ แบบนั้นมีแค่คนสองคนหรือไง นายไม่ได้คบกับแชยอนซอจริงๆ ด้วยซ้ำ …ไม่ได้คบกันจริงๆ ใช่ไหม”
“คิดว่าผมโดนยิงหัวหรือไงครับ”
อีอูยอนแสดงสีหน้าที่เหมือนกับกินบุ้งสนเข้าไปอย่างอดไม่ได้
“แล้วทำไมนายถึงเป็นแบบนั้นล่ะ”
อีอูยอนไม่ใช่คนที่ยุติธรรม และไม่ใช่คนที่จะทำเพื่อคนที่ตัวเองไม่สนใจด้วย กรรมการผู้จัดการคิมยังคงไม่เข้าใจเหตุผลที่อีอูยอนโมโหถึงขนาดนั้น กรณีที่อีอูยอนจะวิ่งเข้าไปอย่างเสียสติก็มีแค่…
“อย่าบอกนะ…”
“คนที่ผมคบอยู่ นอกจากเด็กนั่นแล้วยังมีคนอื่นอีกเหรอครับ”
“…”
เขาอึ้งจนพูดไม่ออก ชายคนนั้นด่าแชยอนซอเพื่อดูถูกอีอูยอน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือด่า ‘คนที่อีอูยอนคบด้วย’ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่าชายคนนั้นด่าชเวอินซอบ และสิ่งนั้นก็ทำให้โรคของอีอูยอนกำเริบ
กรรมการผู้จัดการคิมดีดตัวลุกขึ้น และหยิบเหล้านอกที่จัดเรียงไว้ในตู้โชว์ออกมา เขารินเหล้านอกใส่แก้วกระดาษและดื่มไปสองแก้วติดกัน จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่อีอูยอน
“ฉันจะเป็นบ้าก็เพราะนาย! ฉันหลับไม่ลงมาหลายวันแล้วนะ!”
“เอายาไหมครับ”
“แกกระเดือกเข้าไปเองเถอะ”
กรรมการผู้จัดการคิมชี้นิ้ว แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเพราะความคิดที่โผล่มาในหัว
“กินยาอะไรอยู่ ไม่ได้กินยาแปลกๆ ใช่ไหม”
เขาคิดว่าช่วงนี้อีอูยอนดูน่าขนลุกเป็นพิเศษ แต่เขาก็คิดว่ายังไงก็มีอินซอบอยู่ข้างๆ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป กรรมการผู้จัดการคิมคิดทบทวนถึงความไม่คิดมากของตัวเองซ้ำๆ
อีอูยอนหยิบซองยาออกมาจากกระเป๋าแทนคำตอบ ถึงจะเช็กซองยาที่โรงพยาบาลให้แล้ว แต่ความระแวงของกรรมการผู้จัดการคิมก็ไม่ได้ลดน้อยลง
“ถึงฉันจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตาม แต่ถ้านายกินยาตามอำเภอใจได้เป็นเรื่องแน่ สมัยก่อนมีเด็กที่หล่อมากๆ ที่ฉันเคยปั้นไว้ชื่อว่าคิมซอฮยอก…”
“ช่วงนี้ผมนอนไม่หลับครับ”
“กินเถอะ กินยาซะ ถ้านอนไม่หลับก็ต้องกินยาสิ”
กรรมการผู้จัดการคิมเปลี่ยนคำพูดทันที เขาเคยเห็นกับตาตัวเองแล้วว่าจะเป็นอย่างไร หากอีอูยอนเข้าสู่เขตแดนของอาการนอนไม่หลับ มันเป็นภาพที่เขาไม่อยากเห็นแม้กระทั่งในฝัน
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะนี่เป็นยาที่ผู้อำนวยการชเวจ่ายมาให้”
ผู้อำนวยการชเวเป็นหมอของโรงพยาบาลที่กรรมการผู้จัดการคิมลากอีอูยอนไปด้วยตัวเองก่อนหน้านี้ และเป็นลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ของกรรมการผู้จัดการคิมด้วย
“กลับไปโรงพยาบาลอีกครั้งเหรอ”
“ผมไปทุกวันพฤหัสฯ ครับ”
“ไปรับคำปรึกษาเหรอ”
“ฮ่าๆๆ เปล่าครับ คุณก็รู้นี่ครับว่าของแบบนั้นมันไร้ประโยชน์ ความจริงยาใช้ไม่ค่อยได้ผลกับผมด้วยซ้ำ”
กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอนเก็บซองยาใส่กระเป๋าอีกครั้งนิ่งๆ แต่คำถามที่ว่าทำไมถึงไปโรงพยาบาลก็ยังติดอยู่ที่หน้าของเขา
“คนปกติหวังว่าอาการจะดีขึ้นถ้าได้กินยาใช่ไหมล่ะครับ แต่ผมน่ะตรงกันข้ามเลย”
“หมายความว่าไง”
“ตอนเด็กๆ ผมไปโรงพยาบาลจนเบื่อเลยล่ะครับ แน่นอนว่าผมเคยถูกขังไว้ในโรงพยาบาลด้วย การที่ผมมาเกาหลีก็เป็นสถานการณ์ที่คล้ายๆ กันนี้แหละ”
จุดที่น่ากลัวที่สุดของอีอูยอนคือการที่เขาพูดเรื่องน่ากลัวที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉยราวกับพูดเรื่องของคนอื่น ตอนแรกตนคิดว่าอีกฝ่ายแกล้งทำตัวเป็นคนแรงๆ หรือเปล่า แต่พอมองเข้าไปลึกๆ ก็พบว่าไม่ใช่แบบนั้น
เกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญและไม่สำคัญของอีอูยอนไม่ชัดเจนนัก ดังนั้นหากเป็นคนอื่น ก็คงจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องคุยโวโอ้อวดแบบนี้
ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้กรรมการผู้จัดการคิมมักจะกลอกตาอย่างประดักประเดิดและตอบรับว่าเป็นแบบนั้นนี่เอง เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร
“ที่ผมใช้ยาของแผนกจิตเวชด้วยเพราะผมรู้สึกว่ามันน่าจะช่วยกดตรงนี้ไว้ได้น่ะครับ”
อีอูยอนใช้นิ้วเคาะขมับพลางอธิบายต่อ
“ดูเหมือนมันจะทำให้คนหลับ หดหู่ หรือไม่ก็ผ่อนคลายอะไรแบบนั้น แต่ผมรู้ว่ายารักษาอาการทางจิตใช้ไม่ค่อยได้ผลกับผมเป็นพิเศษ คุณก็คงจะรู้เพราะเคยเห็นมาแล้วนี่นา”
“…อื้อ รู้ดีเลยล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมนึกถึงตอนที่อินซอบโดนแทงจนต้องเข้าห้องผ่าตัด คนปกติแค่โดนฉีดยาเข็มเดียวก็น่าจะหลับไปภายในไม่กี่วินาทีแล้ว แต่อีอูยอนกลับยังคลุ้มคลั่งอยู่ได้อีกพักหนึ่ง แม้จะโดนฉีดยานอนหลับไปถึงสามเข็มก็ตาม
“ทุกครั้งที่กินยาผมจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดตรงนี้ครับ”
“งั้นก็ดีขึ้นมาหน่อยแล้วหรือเปล่า”
“ไม่มีทางหรอกครับ ผมอารมณ์ไม่ดีโคตรๆ เลย เป็นไปได้เหรอที่เราจะอารมณ์ดีกับการต้องยอมรับว่าตัวเองไม่ปกติทุกเช้า ต่อให้เป็นผมก็เถอะ”
“งั้นกินยาทำไมล่ะ ยาใช้ไม่ได้ผลนี่ แล้วมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อร่างกายด้วย”
“เพราะภายในจิตใจของผมรู้สึกกลัวกับการที่ผมไม่ปกติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนครับ ผมจึงจำเป็นต้องทำตัวอย่างคนปกติแม้จะแค่เพียงเล็กน้อยก็ตาม”
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมขยี้ตา
เราสายตาไม่ดี เพราะอายุมากหรือเปล่านะ วันที่มองว่าอีอูยอนน่าสงสารมาถึงแล้วเหรอ
“ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นยาหลอก[1]หรือเปล่า แต่ก็ดูเหมือนผมจะอ่อนโยนขึ้นกว่าเมื่อก่อนนะครับ”
แต่กรรมการผู้จัดการคิมที่ใจอ่อนก็ต้องปรับตัวปรับใจทันที เพราะรอยยิ้มเทพบุตรของอีอูยอนที่ได้เห็นกับตา
“นายต้องล้อเล่นแน่ๆ ที่พูดว่ายาหลอก คนที่ทำจมูกของคนอื่นหักพูดมันออกมาได้ยังไง”
“ฮ่าๆ ได้ยินคำพูดแบบนั้นแล้วจะให้อยู่เฉยๆ เหรอครับ กรรมการผู้จัดการทำแบบนั้นได้เหรอครับ”
“แต่นายก็ทำให้การคบกันมันเอิกเกริกนะ ถ้าใครมาเห็นคงคิดว่าเพิ่งได้คบใครเป็นครั้งแรกในชีวิตแน่ๆ”
“ก็เป็นครั้งแรกนี่ครับ”
“แกโกหกจนน้ำลายแห้งหมดแล้ว เท่าที่เห็นมาตลอดก็หลายคนแล้วนะ”
“อันนั้นแค่มีอะไรกันเฉยๆ ครับ”
อีอูยอนสะสางอดีตอย่างสบายๆ และรีบอธิบายเพิ่มโดยไม่จำเป็น เพราะคิดว่ายังมีอะไรบางอย่างขาดไป
“ถึงการมีอะไรกับคุณอินซอบจะยอดเยี่ยมที่สุดก็เถอะ”
“อ๊าก ฉันไม่อยากฟัง!”
กรรมการผู้จัดการคิมไม่ชอบใจและแกล้งทำเป็นปิดหู อีอูยอนยิ้มทั้งๆ ที่ยังหลุบตามองด้านล่าง ภาพที่ดูขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก ทำให้กรรมการผู้จัดการคิมชักจะอยากรู้อยากเห็น
“แล้วทำไมคนที่มีความรักที่น่าเศร้าขนาดนั้นได้ทะเลาะกันล่ะ”
[1] ยาหลอก คือ ยาที่ไม่มีส่วนผสมของยา และไม่มีฤทธิ์ในการรักษา แต่ทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น เพราะคิดว่าตัวเองได้รับยาจริงๆ