ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 2 เล่ม 3 ตอนที่ 6-1

ภาค 2 เล่ม 3 ตอนที่ 6-1

“ลองบอกเหตุผลที่ห้ามไม่ให้ฉันฆ่านายตอนนี้มาสักสามข้อซิ”

“เงิน ชื่อเสียง หน้าตา และความสามารถในการแสดง”

อีอูยอนนับนิ้วและเรียบเรียงเหตุผลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นายนี่นะ ฉันสั่งให้บอกมาแค่สาม แต่นายตอบมาตั้งสี่ข้อ!”

“เลือกตามสบายจากสี่ข้อนี้สิครับ”

กรรมการผู้จัดการคิมหยิบขวดน้ำแร่ที่วางอยู่บนโต๊ะปาใส่อีอูยอนเต็มแรง

“ทำไมถึงใช้ความรุนแรงกับคนอื่นแบบนี้ล่ะครับ”

อีอูยอนใช้มือที่มีผ้าพันแผลพันอยู่รับขวดน้ำแร่อย่างสบายๆ พลางตำหนิกรรมการผู้จัดการคิม กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกโกรธจนตาจะถลน และเอนตัวพิงโซฟา

“นาย ตอนนี้ฉัน เหอะ…”

กรรมการผู้จัดการคิมเอาหน้าซุกฝ่ามือ เขาควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองอีอูยอน

“ทำไมช่วงนี้นายถึงเป็นแบบนี้ เป็นบ้าไปแล้วเหรอ”

“พูดอย่างกับว่าเดิมทีผมเป็นคนปกติงั้นแหละครับ”

“นี่! ฉันไม่มีอารมณ์จะมาล้อเล่นหรอกนะ นายเป็นอะไรกันแน่ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่ควรออกไปต่อยคนต่อหน้าคนอื่น! เดี๋ยวนี้นายไม่แม้แต่จะแสดงความตั้งใจที่จะรอคอยอย่างอดทนและไปแอบต่อยในที่ที่ไม่มีคนเห็นแล้วเหรอ!”

“คราวหน้าผมจะตั้งใจให้นะครับ”

“อย่านะ!”

เส้นเลือดตรงคอของกรรมการผู้จัดการคิมนูนขึ้นมา อีอูยอนบิดฝาขวดน้ำแร่ด้วยสีหน้าเสียดาย

“ยังไงความเห็นของคนส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนไปแล้วนี่ครับ”

อีอูยอนใช้นิ้วเคาะหน้าจอโน้ตบุ๊คที่วางอยู่บนโต๊ะ

เหตุการณ์ที่อีอูยอนใช้ความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนบนถนนถูกพาดหัวข่าวในวันรุ่งขึ้นทันที อันดับการค้นหาแบบเรียลไทม์รวมไปถึงเว็บไซต์ หรือคอมมูนิตี้ทั้งหมดเต็มไปด้วยชื่อของอีอูยอน กรรมการผู้จัดการคิมที่ได้ยินข่าวกลับมาจากการดูงานที่ประเทศจีนทันที โทรศัพท์ของบริษัทและโทรศัพท์มือถือของกรรมการผู้จัดการคิมโดนโทรเข้าจนโทรศัพท์แทบจะลุกเป็นไฟ

ความรู้สึกแรกที่กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกคือความตกใจจนแทบจะเป็นลม ต่อมาก็คือความรู้สึกโกรธที่มีต่ออีอูยอน และท้ายที่สุดก็คือความรู้สึกละอายใจกับตัวเองที่ต่อสัญญากับอีอูยอน

เขาตำหนิตัวเองอยู่พักใหญ่ จากนั้นหัวหน้าทีมชาก็มาหา หัวหน้าทีมชาบอกว่าไม่มีอะไรจะพูดกับการเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นทั้งๆ ที่ตัวเองก็อยู่ที่นั่นด้วย และก้มหัวขอโทษ กรรมการผู้จัดการคิมส่ายหน้า

‘ถึงจะมีพระพุทธเจ้า พระอัลลอฮ์ หรือพระเยซูอยู่ด้วยก็ห้ามหมอนี่ไม่ได้หรอก’

‘…ใช่ไหมล่ะครับ’

ทั้งสองหยิบเหล้าออกมาจากตู้เก็บเหล้าและเริ่มดื่ม ในตอนที่เหล้าหมดขวด กรรมการผู้จัดการคิมก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

‘ฉันสร้างบริษัทมายังไงนะ’

คำพูดนั้นทำให้ชายวัยกลางคนสองคนกอดกันร้องไห้ ในระหว่างที่พวกเขาร้องห่มร้องไห้ และปลอบใจกันให้เขียนข้อความที่จะแถลงในวันพรุ่งนี้ ก็มีข้อความจากผู้รับผิดชอบด้านการประชาสัมพันธ์ของบริษัทเข้ามา

[กรรมการผู้จัดการ ได้เช็กข่าวหรือยังค่ะ]

น่าจะเป็นเพราะรีบมาก ข้อความนั้นจึงพิมพ์ผิดเต็มไปหมด กรรมการผู้จัดการคิมรีบเช็กข่าวผ่านโทรศัพท์มือถือ

‘ต่อให้โต้เถียงกัน แต่พวกดารากลับต้องอยู่เงียบๆ’ ‘อีอูยอนที่อดทนอย่างนิ่งเฉยพูดว่า ‘ช่วยพูดดังๆ หน่อยครับ’ ‘ไฟล์เสียงในเหตุการณ์จริงที่อีอูยอนทำได้แค่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเท่านั้น’

อีอูยอนไล่อ่านหัวข้อข่าวอย่างสงบนิ่ง

“เหลือเชื่อจริงๆ เลยนะครับ”

อีอูยอนไล่สายตาอ่านข่าวเกี่ยวกับตัวเองพร้อมกับพูดต่อด้วยท่าทีไม่แยแสราวกับกำลังอ่านเรื่องของคนอื่นอยู่

“คนเราเปลี่ยนความคิดได้ง่ายขนาดนี้ได้ยังไง”

ข้อความที่ถูกโพสต์ในเว็บไซต์เว็บไซต์หนึ่งทำให้ความเห็นของคนส่วนใหญ่ที่ลุกลามเหมือนไฟเปลี่ยนไป ผู้เขียนข้อความซึ่งเปิดเผยว่าตนเป็นคนที่ขับรถคันนั้นในวันนั้นทิ้งข้อความไว้ว่า ‘แม้อีอูยอนจะมีน้ำเสียงที่ไพเราะและหล่อกว่าที่เห็นในหน้าจอ แต่นิสัยกลับแย่มาก และผมก็กลัวแทบตาย’ คอมเมนต์ใต้ข้อความนั้นล้วนแต่เยาะเย้ยคนโพสต์ข้อความกันเป็นเสียงเดียว เช่น ‘กลิ่นความปลอมลอยคลุ้งเลยแฮะ’ ‘คนตอแหล’ และ ‘แฟนคลับคงเหนื่อยแย่เลยเพราะมัวแต่เขียนนิยายกากๆ’ เป็นต้น

พอเป็นแบบนั้น คนโพสต์ก็ทิ้งข้อความไว้ว่า ‘ผมจะไปเอาหลักฐานมา’ คนส่วนใหญ่คิดว่าคงเป็นข้อความโกหกที่มีอยู่ทั่วไป และคงไม่ได้สำคัญอะไร ข้อความใหม่ถูกโพสต์หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง พร้อมกับแนบไฟล์เสียงจากกล่องดำที่อยู่ในรถวันนั้นมาด้วย

ด้วยเหตุนั้นความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จุดที่อีอูยอนผู้เคยตอบรับด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนน้อมอยู่เสมอเกิดโกรธขึ้นมาเพราะคำด่าจากแฟนสาวของตนทำให้ใจของคนส่วนใหญ่สั่นคลอน แน่นอนว่าพอได้ฟังเสียงของอีอูยอน กรรมการผู้จัดการคิม หัวหน้าทีมชา และชเวอินซอบก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวหงุดหงิดตั้งแต่แรกแล้ว

ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายที่คำด่าแชยอนซอที่ผู้ชายคนนั้นพ่นออกมาไม่ดีเอาเสียเลย และต้นสังกัดของแชยอนซอเองก็ประกาศว่าจะฟ้องร้องในข้อหาที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นกัน โดยมีเจตนาเพื่อตอบแทนอีอูยอนที่มาเยี่ยมไข้ที่โรงพยาบาลวันนั้น

“ดูเหมือนว่าความคิดของทุกคนจะยืดหยุ่นนะครับ”

กรรมการผู้จัดการคิมกัดฟันกรอดพร้อมกับจ้องอีอูยอน

“โชคดีนะครับที่จบลงแค่นี้”

“โชคดีกะผีน่ะสิ ถึงความเห็นของคนส่วนใหญ่จะเปลี่ยน แต่ก็ใช่ว่าเรื่องที่นายโดนด่าจะหายไปนะ สุดสัปดาห์นี้ก็มีพิธีมอบรางวัลของเทศกาลภาพยนตร์ด้วย จะทำยังไงล่ะทีนี้”

“ทำยังไงล่ะครับ ก็ต้องไปรับรางวัลน่ะสิ”

อีอูยอนเป็นผู้เข้าชิงรางวัลใหญ่และเป็นตัวเก็งของพิธีมอบรางวัลนี้

“คนที่ทำจมูกของคนอื่นหักจะเอาหน้าที่ไหนไปเหยียบพรมแดงล่ะ”

อีอูยอนใช้มือชี้หน้าของตัวเองโดยไม่พูดอะไร รูปลักษณ์ภายนอกที่หล่อถึงขนาดที่เขาเกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตายทำให้กรรมการผู้จัดการคิมมือไม้สั่น

“ไม่ต้องไปร่วมเทศกาลภาพยนตร์หรอก แล้วก็คงต้องแสดงให้เห็นว่านายกำลังควบคุมพฤติกรรมของตัวเองอยู่ไปสักพักหนึ่งด้วย นายทำความดีอะไรไว้ล่ะถึงจะไปรับรางวัล”

อีอูยอนเอียงคอด้วยความสงสัย

“ผมช่วยถอดแว่นให้แล้วนี่ครับ”

“…”

กรรมการผู้จัดการคิมจ้องคนเสียสติที่รอคำชมอยู่พักหนึ่งก่อนจะใช้กำปั้นทุบหน้าอก

“เก่งม้ากกก ใช่แล้ว เก่งมากเลย”

“เก่งใช่ไหมล่ะครับ ผมแม่งอดทนที่จะไม่เอาหินทุบลิ้นมันไปด้วยเลยนะ”

ดวงตาของอีอูยอนเป็นประกายอย่างน่าขนลุกจนทำให้หัวหน้าทีมชาต้องกลั้นหายใจทันที

“ก็ต้องทนอีกหน่อยสิ ไอ้คนแปลกๆ แบบนั้นมีแค่คนสองคนหรือไง นายไม่ได้คบกับแชยอนซอจริงๆ ด้วยซ้ำ …ไม่ได้คบกันจริงๆ ใช่ไหม”

“คิดว่าผมโดนยิงหัวหรือไงครับ”

อีอูยอนแสดงสีหน้าที่เหมือนกับกินบุ้งสนเข้าไปอย่างอดไม่ได้

“แล้วทำไมนายถึงเป็นแบบนั้นล่ะ”

อีอูยอนไม่ใช่คนที่ยุติธรรม และไม่ใช่คนที่จะทำเพื่อคนที่ตัวเองไม่สนใจด้วย กรรมการผู้จัดการคิมยังคงไม่เข้าใจเหตุผลที่อีอูยอนโมโหถึงขนาดนั้น กรณีที่อีอูยอนจะวิ่งเข้าไปอย่างเสียสติก็มีแค่…

“อย่าบอกนะ…”

“คนที่ผมคบอยู่ นอกจากเด็กนั่นแล้วยังมีคนอื่นอีกเหรอครับ”

“…”

เขาอึ้งจนพูดไม่ออก ชายคนนั้นด่าแชยอนซอเพื่อดูถูกอีอูยอน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือด่า ‘คนที่อีอูยอนคบด้วย’ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่าชายคนนั้นด่าชเวอินซอบ และสิ่งนั้นก็ทำให้โรคของอีอูยอนกำเริบ

กรรมการผู้จัดการคิมดีดตัวลุกขึ้น และหยิบเหล้านอกที่จัดเรียงไว้ในตู้โชว์ออกมา เขารินเหล้านอกใส่แก้วกระดาษและดื่มไปสองแก้วติดกัน จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่อีอูยอน

“ฉันจะเป็นบ้าก็เพราะนาย! ฉันหลับไม่ลงมาหลายวันแล้วนะ!”

“เอายาไหมครับ”

“แกกระเดือกเข้าไปเองเถอะ”

กรรมการผู้จัดการคิมชี้นิ้ว แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเพราะความคิดที่โผล่มาในหัว

“กินยาอะไรอยู่ ไม่ได้กินยาแปลกๆ ใช่ไหม”

เขาคิดว่าช่วงนี้อีอูยอนดูน่าขนลุกเป็นพิเศษ แต่เขาก็คิดว่ายังไงก็มีอินซอบอยู่ข้างๆ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป กรรมการผู้จัดการคิมคิดทบทวนถึงความไม่คิดมากของตัวเองซ้ำๆ

อีอูยอนหยิบซองยาออกมาจากกระเป๋าแทนคำตอบ ถึงจะเช็กซองยาที่โรงพยาบาลให้แล้ว แต่ความระแวงของกรรมการผู้จัดการคิมก็ไม่ได้ลดน้อยลง

“ถึงฉันจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตาม แต่ถ้านายกินยาตามอำเภอใจได้เป็นเรื่องแน่ สมัยก่อนมีเด็กที่หล่อมากๆ ที่ฉันเคยปั้นไว้ชื่อว่าคิมซอฮยอก…”

“ช่วงนี้ผมนอนไม่หลับครับ”

“กินเถอะ กินยาซะ ถ้านอนไม่หลับก็ต้องกินยาสิ”

กรรมการผู้จัดการคิมเปลี่ยนคำพูดทันที เขาเคยเห็นกับตาตัวเองแล้วว่าจะเป็นอย่างไร หากอีอูยอนเข้าสู่เขตแดนของอาการนอนไม่หลับ มันเป็นภาพที่เขาไม่อยากเห็นแม้กระทั่งในฝัน

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะนี่เป็นยาที่ผู้อำนวยการชเวจ่ายมาให้”

ผู้อำนวยการชเวเป็นหมอของโรงพยาบาลที่กรรมการผู้จัดการคิมลากอีอูยอนไปด้วยตัวเองก่อนหน้านี้ และเป็นลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ของกรรมการผู้จัดการคิมด้วย

“กลับไปโรงพยาบาลอีกครั้งเหรอ”

“ผมไปทุกวันพฤหัสฯ ครับ”

“ไปรับคำปรึกษาเหรอ”

“ฮ่าๆๆ เปล่าครับ คุณก็รู้นี่ครับว่าของแบบนั้นมันไร้ประโยชน์ ความจริงยาใช้ไม่ค่อยได้ผลกับผมด้วยซ้ำ”

กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอนเก็บซองยาใส่กระเป๋าอีกครั้งนิ่งๆ แต่คำถามที่ว่าทำไมถึงไปโรงพยาบาลก็ยังติดอยู่ที่หน้าของเขา

“คนปกติหวังว่าอาการจะดีขึ้นถ้าได้กินยาใช่ไหมล่ะครับ แต่ผมน่ะตรงกันข้ามเลย”

“หมายความว่าไง”

“ตอนเด็กๆ ผมไปโรงพยาบาลจนเบื่อเลยล่ะครับ แน่นอนว่าผมเคยถูกขังไว้ในโรงพยาบาลด้วย การที่ผมมาเกาหลีก็เป็นสถานการณ์ที่คล้ายๆ กันนี้แหละ”

จุดที่น่ากลัวที่สุดของอีอูยอนคือการที่เขาพูดเรื่องน่ากลัวที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉยราวกับพูดเรื่องของคนอื่น ตอนแรกตนคิดว่าอีกฝ่ายแกล้งทำตัวเป็นคนแรงๆ หรือเปล่า แต่พอมองเข้าไปลึกๆ ก็พบว่าไม่ใช่แบบนั้น

เกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญและไม่สำคัญของอีอูยอนไม่ชัดเจนนัก ดังนั้นหากเป็นคนอื่น ก็คงจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องคุยโวโอ้อวดแบบนี้

ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้กรรมการผู้จัดการคิมมักจะกลอกตาอย่างประดักประเดิดและตอบรับว่าเป็นแบบนั้นนี่เอง เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร

“ที่ผมใช้ยาของแผนกจิตเวชด้วยเพราะผมรู้สึกว่ามันน่าจะช่วยกดตรงนี้ไว้ได้น่ะครับ”

อีอูยอนใช้นิ้วเคาะขมับพลางอธิบายต่อ

“ดูเหมือนมันจะทำให้คนหลับ หดหู่ หรือไม่ก็ผ่อนคลายอะไรแบบนั้น แต่ผมรู้ว่ายารักษาอาการทางจิตใช้ไม่ค่อยได้ผลกับผมเป็นพิเศษ คุณก็คงจะรู้เพราะเคยเห็นมาแล้วนี่นา”

“…อื้อ รู้ดีเลยล่ะ”

กรรมการผู้จัดการคิมนึกถึงตอนที่อินซอบโดนแทงจนต้องเข้าห้องผ่าตัด คนปกติแค่โดนฉีดยาเข็มเดียวก็น่าจะหลับไปภายในไม่กี่วินาทีแล้ว แต่อีอูยอนกลับยังคลุ้มคลั่งอยู่ได้อีกพักหนึ่ง แม้จะโดนฉีดยานอนหลับไปถึงสามเข็มก็ตาม

“ทุกครั้งที่กินยาผมจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดตรงนี้ครับ”

“งั้นก็ดีขึ้นมาหน่อยแล้วหรือเปล่า”

“ไม่มีทางหรอกครับ ผมอารมณ์ไม่ดีโคตรๆ เลย เป็นไปได้เหรอที่เราจะอารมณ์ดีกับการต้องยอมรับว่าตัวเองไม่ปกติทุกเช้า ต่อให้เป็นผมก็เถอะ”

“งั้นกินยาทำไมล่ะ ยาใช้ไม่ได้ผลนี่ แล้วมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อร่างกายด้วย”

“เพราะภายในจิตใจของผมรู้สึกกลัวกับการที่ผมไม่ปกติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนครับ ผมจึงจำเป็นต้องทำตัวอย่างคนปกติแม้จะแค่เพียงเล็กน้อยก็ตาม”

“…”

กรรมการผู้จัดการคิมขยี้ตา

เราสายตาไม่ดี เพราะอายุมากหรือเปล่านะ วันที่มองว่าอีอูยอนน่าสงสารมาถึงแล้วเหรอ

“ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นยาหลอก[1]หรือเปล่า แต่ก็ดูเหมือนผมจะอ่อนโยนขึ้นกว่าเมื่อก่อนนะครับ”

แต่กรรมการผู้จัดการคิมที่ใจอ่อนก็ต้องปรับตัวปรับใจทันที เพราะรอยยิ้มเทพบุตรของอีอูยอนที่ได้เห็นกับตา

“นายต้องล้อเล่นแน่ๆ ที่พูดว่ายาหลอก คนที่ทำจมูกของคนอื่นหักพูดมันออกมาได้ยังไง”

“ฮ่าๆ ได้ยินคำพูดแบบนั้นแล้วจะให้อยู่เฉยๆ เหรอครับ กรรมการผู้จัดการทำแบบนั้นได้เหรอครับ”

“แต่นายก็ทำให้การคบกันมันเอิกเกริกนะ ถ้าใครมาเห็นคงคิดว่าเพิ่งได้คบใครเป็นครั้งแรกในชีวิตแน่ๆ”

“ก็เป็นครั้งแรกนี่ครับ”

“แกโกหกจนน้ำลายแห้งหมดแล้ว เท่าที่เห็นมาตลอดก็หลายคนแล้วนะ”

“อันนั้นแค่มีอะไรกันเฉยๆ ครับ”

อีอูยอนสะสางอดีตอย่างสบายๆ และรีบอธิบายเพิ่มโดยไม่จำเป็น เพราะคิดว่ายังมีอะไรบางอย่างขาดไป

“ถึงการมีอะไรกับคุณอินซอบจะยอดเยี่ยมที่สุดก็เถอะ”

“อ๊าก ฉันไม่อยากฟัง!”

กรรมการผู้จัดการคิมไม่ชอบใจและแกล้งทำเป็นปิดหู อีอูยอนยิ้มทั้งๆ ที่ยังหลุบตามองด้านล่าง ภาพที่ดูขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก ทำให้กรรมการผู้จัดการคิมชักจะอยากรู้อยากเห็น

“แล้วทำไมคนที่มีความรักที่น่าเศร้าขนาดนั้นได้ทะเลาะกันล่ะ”


[1] ยาหลอก คือ ยาที่ไม่มีส่วนผสมของยา และไม่มีฤทธิ์ในการรักษา แต่ทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น เพราะคิดว่าตัวเองได้รับยาจริงๆ

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท