เมื่อขับไล่คุณชายเหวินไปแล้ว เฉินตันจูไม่รู้สึกได้ใจอะไร อีกทั้งไม่รู้สึกหนักใจต่อคำวิจารณ์ของราษฎร
บอกว่านางรังแกคนอย่างไม่มีเหตุผล? น่าขันสิ้นดี ในเมื่อนางเป็นคนชั่วร้าย คนชั่วร้ายรังแกคนต้องมีเหตุผลหรือ
ฟังคำพูดนี้ ยังเป็นคำพูดของคนอยู่หรือ จู๋หลินนั่งพิงลำต้นอยู่บนต้นไม้ ขาข้างหนึ่งวางกระดาษจดหมาย ขาอีกข้างวางหมึก ในมือถือพู่กัน เขียนประโยคนี้ลงไป
การกระทำเช่นนี้สู้นางร้องไห้ใส่ร้ายผู้อื่นยังดีกว่า อย่างน้อยยังมีน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาให้ทุกคนได้เห็น
จู๋หลินเขียนประโยคนี้ลงไป…เขาเป็นองครักษ์หลวงที่เหมาะสม ดังนั้นจึงเปิดเผยทุกสิ่งที่คิดภายในใจกับท่านแม่ทัพ…ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ตั้งแต่ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กจากไป เหมือนว่านางจะไม่เคยร้องไห้อีก แต่ละวันบุ่มบ่ามมุทะลุ ไม่ตีคนก็จับคนหรือขับไล่คน ไม่ไปฟ้องร้องคดีความกับที่ว่าการก็ไปฟ้องฮ่องเต้…
อีกทั้งยังกินดื่มเที่ยวเล่น นอกจากนี้ยังจะจัดงานเลี้ยง พูดถึงงานเลี้ยงนี้ คงมีเรื่องให้พูดมากมาย จู๋หลินถือพู่กันจุ่มหมึก ก่อนหน้านี้คุณหนูตันจูตามหาคนป่วยด้วยโรคไอทั้งถนนเพื่อรักษาอาการขององค์ชายสาม ระหว่างทางจับชายหนุ่มคนหนึ่งกลับมา ที่แท้ไม่ใช่เพื่อรักษาโรคให้องค์ชายสาม หากแต่ชายหนุ่มผู้นี้คือคู่หมั้นของคุณหนูหลิวเวย หากพูดถึงเรื่องนี้ยิ่งซับซ้อน…
จู๋หลินจรดปลายพู่กันอย่างรวดเร็ว เขียนจนเต็มแผ่นกระดาษแล้วเปลี่ยนแผ่น คุณหนูตันจูต้องการจัดงานเลี้ยงรับรองคุณหนูหลิวเวยและคู่หมั้นที่กลายเป็นพี่ชายไปแล้ว อีกทั้งยังเชิญองค์หญิงจินเหยามาเพื่อรู้จักพี่ชายคนนี้อีก นอกจากนี้นางยังให้เขาไปเชิญองค์ชายสาม เหตุใดนางจึงไม่เชิญโจวเสวียนมาด้วยเสียเลย หรือไม่ไปทูลฝ่าบาท จัดงานเลี้ยงในพระราชวัง ท่านแม่ทัพ เวลานี้คุณหนูตันจูไม่รู้กำลังคิดสิ่งใด…เขาสงสัยว่าทุกสิ่งล้วนเป็นแผนการของคุณหนูตันจู ส่วนแผนการอะไร เขายังคิดไม่ตกในเวลานี้
“จู๋หลิน จู๋หลิน”
เสียงตะโกนของหญิงสาวขัดความคิดของจู๋หลิน เขาหลุบตามองไป พบว่าอาเถียนกำลังยืนอยู่หน้าประตูอาราม เนื่องจากไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด จึงตะโกนไปรอบด้าน
จู๋หลินนั่งอยู่บนต้นไม้ไม่ขยับ เวลานี้บริเวณรอบด้านปลอดภัยอย่างมาก สถานที่แห่งนี้คือภูเขาดอกท้อ สถานที่ที่ทุกคนต่างหลีกเลี่ยง บนภูเขานอกจากนกและสัตว์ป่าแล้ว ไม่มีคนแม้แต่คนเดียว เวลานี้แม้แต่คนของหมู่บ้านดอกท้อที่จะขึ้นเขาเก็บฟืน ต่างต้องไปบอกกล่าวกับหญิงชราขายชาก่อน...ทุกคนต่างไม่กล้าพูดกับเฉินตันจู
เรียกหาเขาในเวลากลางวัน ย่อมต้องมีงานให้เขาทำ
จู๋หลินไม่อยากตอบรับ แต่อาเถียนเรียกขานไม่หยุด เรียกจนมีเสียงนกร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากต้นไม้ต้นอื่น…มันเป็นสัญญาณที่องครักษ์คนอื่นเร่งเร้าให้เขาตอบรับ อีกฝ่ายเรียกจนทุกคนตื่นตระหนก หาก
จู๋หลินไม่ตอบ อาเถียนก็จะเรียกพวกเขาแทนแล้ว
จู๋หลินทำได้เพียงตอบอย่างไม่เต็มใจ “มีเรื่องใด ข้ากำลังยุ่ง”
อาเถียนหาต้นไม้ที่เขาอยู่จนเจอ เงยหน้าถาม “เจ้ายุ่งเรื่องใดกัน เหตุใดเจ้าจึงถือพู่กันกับกระดาษ เจ้าจะเข้าศึกษาที่กั๋วจื่อเจี้ยนหรือ”
เรื่องลับสามารถบอกเจ้าได้หรือ จู๋หลินไม่สนใจ เพียงแค่พูด “บนภูเขาปลอดภัยอย่างมาก บริเวณรอบด้านไม่มีคนน่าสงสัยเข้าใกล้”
“ไม่ได้ถามเจ้าเรื่องนี้” อาเถียนโบกมือ “คุณหนูบอกว่าเบาะรองนั่งไม่ดีพอ ให้พวกเราเข้าเมืองไปซื้อมาอีก”
เบาะรองนั่งนี้เพิ่งซื้อกลับมา เหตุใดจึงไม่ดีพอ ต้องประณีตเช่นนี้เพื่อคุณหนูหลิวเวยคนเดียว? จู๋หลินคิดในใจ
อาเถียนเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่าเขาคิดเรื่องใด ถลึงตาพูด “ยังมีองค์หญิงอีก ไม่อาจไม่รอบคอบ”
เขาไม่เชื่อว่าคุณหนูตันจูจะทำเพื่อรับรององค์หญิง จู๋หลินคิดในใจ
“รีบไปเถิด รีบไปเถิด” อาเถียนกวักมือเรียก “จู๋หลิน เดี๋ยวซื้อเบาะรองนั่งดีๆ ให้เจ้าด้วย เจ้านั่งอยู่บนต้นไม้หรือบนหลังคาจะได้สบาย”
นั่งเบาะ? เขาจะกลายเป็นแบบใด พระสงฆ์ชรานั่งท่องบทสวดหรือ จู๋หลินวางกระดาษจดหมายที่ยังเขียนไม่เสร็จ รวมทั้งพู่กันและหมึกลง กระโดดลงจากต้นไม้เดินลงไปยังเชิงเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
อาเถียนกระโดดตามอยู่ด้านหลังอย่างดีใจ
ดีใจเสียจริง แต่ก็ยุ่งเสียจริง คุณหนูจัดงานเลี้ยง ยังเชิญสหายมามากมาย คุณหนูมีสหายแล้ว
คุณหนูถูกคนในตระกูลทอดทิ้ง ชื่อเสียงเสียหาย ใช้ชีวิตอย่างมุทะลุ กำเริบเสิบสาน นางทั้งดีใจทั้งเสียใจ กลัวว่าคุณหนูจะโดดเดี่ยวตัวคนเดียว
ไม่คิดว่าคุณหนูจะมีสหาย อีกทั้งยังมีองค์หญิงเป็นสหาย
“เจ้าว่าองค์หญิงจะมาหรือไม่” อาเถียนถามจู๋หลินด้วยความกังวลและคาดหวัง
จู๋หลินพูด “ข้าไม่รู้”
“เจ้าเป็นองครักษ์หลวงไม่ใช่หรือ” อาเถียนกะพริบตาใส่เขา “เจ้าไปดูในพระราชวัง”
นางยังรู้ว่าเขาเป็นองครักษ์หลวงหรือ องครักษ์หลวงทำหน้าที่นี้หรือ จู๋หลินถลึงตา นายบ่าวสองคนนี้คิดว่าพระราชวังเป็นจวนของพวกนางหรืออย่างไร
ถึงแม้จู๋หลินปฏิเสธที่จะเข้าพระราชวังไปสืบข่าว แต่อาเถียนก็ไม่ได้รอนานนัก วันที่สามหลังจากส่งจดหมายเชิญออกไป องค์หญิงจินเหยาก็ส่งจดหมายตอบกลับมา ภายใต้การช่วยเหลือของฮ่องเต้ ในที่สุดก็ได้รับอนุญาตจากฮองเฮาให้ออกจากพระราชวังมางานเลี้ยงได้ แต่เงื่อนไขคือไม่อนุญาตให้ตีกัน
วันที่เดินทางมางานเลี้ยง องค์หญิงจินเหยาเดินทางมาเป็นคนแรก สวมใส่เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับสะดุดตา อลังการยิ่งกว่าพบกันครั้งแรกเสียอีก
“องค์หญิงงดงามเสียจริง” เฉินตันจูชื่นชมจากใจ
องค์หญิงจินเหยาประคองนางนั่งลงบนเบาะ “ผู้ใดสวมใส่เงินทองทั้งตัวล้วนงดงาม ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว รีบถอดให้ข้า”
นางในใหญ่ด้านข้างกระแอมไอเสียงเบาเป็นการตักเตือน “องค์หญิง แขกยังมาไม่ครบเพคะ”
นางในนี้ฮองเฮาเป็นคนส่งมา ทันทีที่พบกริยาไม่เหมาะสมขององค์หญิงจินเหยา ย่อมสามารถพานางกลับพระราชวังได้ทันที
องค์หญิงจินเหยาแลบลิ้นต่อเฉินตันจู ก่อนจะนั่งตัวตรง ถามอย่างสง่างาม “วันนี้มีผู้ใดมาบ้าง”
เฉินตันจูยิ้ม “จะมีผู้ใดได้เพคะ สหายของหม่อมฉันเฉินตันจู ฝ่ามือข้างเดียวยังนับได้”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะร่า “เจ้ารู้ตัวดีเสียจริง”
ในขณะที่พวกนางกำลังพูด สหายอีกสี่คนที่เหลือต่างเดินทางมาถึง องค์หญิงจินเหยารู้จักหลี่เหลียนและหลิวเวย ส่วนอาอวิ้นถึงแม้เคยพบแต่ก็เท่ากับไม่เคย อาอวิ้นไม่ถือเป็นสหาย เพียงแต่เป็นคนที่ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางขอให้หลิวเวยพามาด้วย…ไม่ได้เพราะต้องการยกย่องหลานสาวของตนเอง หากแต่เพราะไม่สบายใจเมื่อรู้ว่าทั้งสามคนพบเห็นเหตุการณ์เฉินตันจูขับไล่คุณชายเหวิน
อาอวิ้นเล่าให้เหล่าฮูหยินตระกูลฉางฟัง หลิวเวยราวกับไม่พึงพอใจต่อการกระทำของเฉินตันจู เหล่าฮูหยินตระกูลฉางเกรงว่าหลิวเวยที่มีความคิดไร้เดียงสาจะซักถามเฉินตันจู ทำให้ตระกูลหลิวและตระกูลฉางเดือดร้อน ดังนั้นจึงอาศัยที่ตนเองรักใคร่โปรดปรานหลิวเวยมาหลายปี บังคับให้นางพาอาอวิ้นมาด้วย ป้องกันไม่ให้นางพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
เฉินตันจูไม่มีความไม่พอใจที่หลิวเวยพาอาอวิ้นมาแม้แต่น้อย นางรู้จักหลิวเวยเพียงไม่กี่วัน หลายปีนี้หลิวเวยมีพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน นางไม่อาจให้อีกฝ่ายตัดขาดได้ อีกอย่างอาอวิ้นก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า
“องค์หญิง ท่านนี้คือคุณหนูตระกูลฉาง นามว่า…” เฉินตันจูแนะนำต่อองค์หญิงจินเหยา แต่นางยังไม่รู้ชื่อจริงของคุณหนูอาอวิ้นผู้นี้
อาอวิ้นรีบเดินหน้าคำนับองค์หญิง “หม่อมฉันมีนามว่าฉางอวิ้น”
องค์หญิงจินเหยายิ้มให้นาง “พี่น้องตระกูลเจ้ามีมาก คราก่อนข้ารีบร้อนจึงจำไม่ได้นัก”
ครานี้ย่อมต้องจำได้แล้ว อาอวิ้นดีใจอย่างมาก ถึงแม้หลิวเวยบอกว่าเฉินตันจูเชิญองค์หญิงมาด้วย แต่ไม่คิดว่าองค์หญิงจะเดินทางมาได้จริง เพราะอย่างไรฮองเฮาไม่ชอบการไปมาหาสู่ระหว่างองค์หญิงจินเหยากับเฉินตันจูมากนัก
เมื่อดูจากเวลานี้ ถึงแม้ฮองเฮาไม่ชอบใจ แต่ก็ขัดขวางความชอบขององค์หญิงจินเหยาไม่ได้
หลังจากแนะนำอาอวิ้นแล้ว จึงเหลือคนสุดท้าย เฉินตันจูยิ้มตาหยี มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังเหล่าคุณหนู
“จางเหยา จางเหยา” นางเรียกขาน
จางเหยามองมา
“องค์หญิง” เฉินตันจูมองไปยังองค์หญิงจินเหยาด้วยรอยยิ้ม “ท่านนี้คือจางเหยา พี่ชายของหลิวเวย บิดาของเขากับบิดาของคุณหนูหลิวเวยเป็นสหายกัน เสียดายที่บิดาและมารดาของเขาต่างจากไปแล้ว เวลานี้เข้าเมืองมาเยี่ยมเยือนหลิวจั่งกุ้ย”
อ่อ องค์หญิงจินเหยาเหลือบมองเฉินตันจู พี่ชายของคุณหนูเวยเวยหรือ เจ้าพูดมากเช่นนี้ กระตือรือร้นเช่นนี้ กระจ่างเช่นนี้ ดูท่าทางจะเหมือนพี่ชายของเจ้าเสียมากกว่า
จางเหยาไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อยเมื่อเผชิญหน้ากับองค์หญิง เขาก้มตัวคำนับ “จางเหยาคำนับองค์หญิง”
องค์หญิงจินเหยาถาม “เจ้าก็ชื่อเหยาหรือ คำว่าเหยาในชื่อข้ามีตัวอักษรทอง แล้วเจ้าเล่า?”
จางเหยาลุกขึ้นยืน ยื่นมือวาด “กระหม่อมเป็นตัวอักษรเดิน แตกต่างจากร่างทองขององค์หญิง”
องค์หญิงจินเหยายิ้ม “เจ้าพูดเก่งเสียจริง”
เฉินตันจูตอบรับอยู่ด้านข้าง “ใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่ คนอย่างคุณชายจางเรียกว่าในท้องมีหนังสือและบทกวี บุคลิกย่อมสง่าด้วยตัวเอง”
องค์หญิงจินเหยามองเฉินตันจู คิ้วเรียวเลิกขึ้น