ตอนที่ 166 แดนลับธุลีสีชาด ตำหนักเซียนร้องขอ!
บนท้องฟ้าเหนือแคว้นเซียน พระราชวังอันโอ่อ่าตระหง่านลอยอยู่กลางทะเลเมฆ ภายใต้แสงสว่างของดวงตะวัน ตัวอักษรบนนั้นล้อกับแสงจนระยิบระยับ บวกกับความแวววาวของโลหะยิ่งทำให้มันเปล่งประกาย!
เหนือประตูวังสูงสิบจั้ง สลักตัวอักษรคำว่า ‘เซียน’ ขนาดใหญ่เอาไว้ ตัวอักษรนี้ดูทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยวิถีอุบัติ!
นี่ก็คือกองกำลังชั้นหนึ่งแห่งแคว้นเซียน ตำหนักเซียน!
ตอนนี้ภายในตำหนักเซียนนั้นเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด!
ชายวัยกลางคนในอาภรณ์จักรพรรดินั่งอยู่ที่ด้านบนสุดของตำหนักขนาดกว้างใหญ่ ดวงตาของเขาราวกับพยัคฆ์ ท่าทีดูสง่างาม และทั่วทั้งร่างก็เผยให้เห็นถึงพลังเซียนที่เต็มเปี่ยม เขาผู้นี้อยู่ในขั้นกึ่งเซียนก้าวที่เก้าแล้ว!
นามของเขาคือ เยี่ยฉิงชาง เจ้าแห่งตำหนักเซียน!
ส่วนทางด้านซ้ายและขวาของเยี่ยฉิงชางนั้นก็มีชายชราและหญิงชรานั่งขนาบอยู่ พวกเขาเปี่ยมไปด้วยพลังฝึกฝนในขอบเขตกึ่งเซียนก้าวที่เจ็ด และมีศักดิ์เป็นถึงรองเจ้าตำหนักเซียน!
นอกจากสามคนนี้ ทั้งสองข้างของตำหนักใหญ่ยังมีเหล่าเงาต่าง ๆ ยืนอยู่ นั่นก็คือเงาของเหล่าทูตสวรรค์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของตำหนักเซียน!
และยามนี้ สายตาของทุกคนก็ตกไปอยู่ที่ศูนย์กลางของตำหนักเซียน
มีชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดคลุมนั่งคุกเข่าด้วยจมูกฟกช้ำและใบหน้าที่บวมเป่ง นั่นก็คือฮวาเทียนหยาง!
“ฮวาเทียนหยาง วันนี้ข้ามิได้ให้เจ้าไปหาผู้นำแปดสำนักอย่างสำนักเซียนกระบี่ เพื่อแจ้งเรื่องแดนลับธุลีสีชาดหรอกหรือ เหตุใดจึงอยู่ในสภาพเช่นนี้!”
“บังอาจ! ผู้ใดช่างกล้าดีลงมือกับทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียนของข้า นี่เป็นการดูหมิ่นบารมีแห่งตำหนักเซียนของข้ายิ่งนัก!”
ยามนี้ รองเจ้าตำหนักทั้งสองพูดขึ้นด้วยความเย็นชา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความโกรธเกรี้ยว!
ทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียนเป็นตัวแทนของแคว้นเซียน การทำลายทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียนย่อมถือว่าเป็นการยั่วยุตำหนักเซียนอย่างมิต้องสงสัย!
ได้ยินเช่นนั้น ฮวาเทียนหยางก็ร้องไห้ออกมาและตอบกลับในทันที “ท่านรองเจ้าตำหนัก ท่านทั้งสองต้องช่วยข้านะขอรับ หนิงฝาน เจ้าสำนักคนใหม่แห่งสำนักเซียนกระบี่เป็นผู้ลงมือกับข้า!”
“ข้าถือคำสั่งแห่งตำหนักเซียนไปเคารพต่อท่านหนิงฝานเจ้าสำนักคนใหม่แห่งสำนักเซียนกระบี่ แต่ยังมิทันได้พูดถึงเรื่องแดนลับธุลีสีชาด หนิงฝานผู้นั้นก็ใช้พลังขอบเขตกึ่งเซียนของตนเองทุบตีข้าโดยไม่บอกอันใดสักคำ และหลังจากที่ข้าแสดงตนว่าทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียน เขาก็ยังดูหมิ่นเหยียดหยาม ซ้ำยังพูดอีกว่าคนต่ำช้าเช่นตำหนักเซียนยังกล้ามาที่สำนักเซียนกระบี่ของข้า…”
ภายในใจของฮวาเทียนหยางเกลียดชังหนิงฝานอยู่แล้ว จึงมิได้พูดถึงเรื่องของตัวเองที่ทำผิดเลย แต่กลับแต่งเติมเรื่องราวเข้าไปและกล่าวออกมาเช่นนั้น
ตู้ม!
เมื่อฟังคำพูดของฮวาเทียนหยางแล้วนั้น ก็บังเกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งตำหนักเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองเจ้าตำหนักทั้งสองที่สายตาเต็มไปด้วยจิตสังหารที่คละคลุ้งไปทั่ว!
“บังอาจ! ครั้งนี้เพื่อที่จะเปิดแดนลับธุลีสีชาด ตำหนักเซียนของพวกข้าส่งคนไปเคารพกองกำลังชั้นหนึ่งทั้งหมดในแคว้นเซียน สามขุนเขา ห้าพรรค แปดสำนัก ไม่คิดเคารพ สำนักเซียนกระบี่ถึงขั้นกล้าหยามหมิ่นตำหนักเซียนของข้าถึงเพียงนี้เลยรึ!”
“ดู ๆ แล้วแคว้นเซียนแห่งนี้คงไม่จำเป็นจะต้องมีสำนักเซียนกระบี่อีกต่อไป!”
รองเจ้าตำหนักทั้งสองคนตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ และสั่งการออกมา “ผู้ใดก็ได้ มากับข้าสองคนเพื่อไปทำลายสำนักเซียนกระบี่ที่มิรู้ถึงความดีความชั่ว!”
สิ้นคำนั้น จิตสังหารก็พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งตำหนักใหญ่!
“ช้าก่อน!”
ในขณะที่ฝูงชนภายในตำหนักใหญ่กำลังตกอยู่ในความโกรธ เยี่ยฉิงชาง เจ้าแห่งตำหนักเซียนที่มิได้พูดอะไรเลยก็เอ่ยขึ้น ภายในตำหนักเงียบลงและมองไปทางเยี่ยฉิงชาง
สีหน้าของเจ้าตำหนักนั้นสงบนิ่งดูไร้ซึ่งอารมณ์ และเขาก็พูดขึ้นด้วยความนิ่งเฉย “ในเมื่อสำนักเซียนกระบี่ทำเช่นนี้ ก็คงจะให้อภัยมิได้ แต่ในวันนี้เรายังไม่อาจทำลายพวกเขาได้!”
ผู้คนต่างตกตะลึง
เยี่ยฉิงชางจึงพูดต่อ “การปรากฏของแดนลับธุลีสีชาดภายในแคว้นเซียนครั้งนี้ พลังต้องห้ามขนาดใหญ่ปกคลุมไปจนทั่ว ข้าได้ลอบสังเกตมาก่อนหน้านี้แล้ว หากต้องการจะเปิดพลังต้องห้าม อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใช้กึ่งเซียนยี่สิบคนลงมือพร้อมกัน แต่ในตอนนี้ตำหนักเซียนของพวกเรารวมกับสามขุนเขา ห้าพรรค และเหล่าขอบเขตกึ่งเซียนก็รวมกันได้เพียงไม่กี่สิบคน!”
“และหลังจากที่ได้ยินผู้คนพูดกันมากว่าสิบปีนี้ เจ้าสำนักหนิงฝานแห่งสำนักเซียนกระบี่ผู้นั้น สามารถควบคุมเมืองเซียนโบราณได้ สะกดข่มสำนักเซียนยุทธ์และเหล่ากึ่งเซียนยอดฝีมืออีกหกคนเอาไว้ หากว่าทำลายสำนักเซียนกระบี่ในตอนนี้ เหล่ากึ่งเซียนยอดฝีมือทั้งหกคนที่ถูกกดเอาไว้ก็จะต้องตายไป หากเป็นเช่นนั้นพวกเราก็จะไม่มีวิธีเปิดแดนลับธุลีสีชาดได้อีก!”
“อย่าลืมว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่แดนลับธุลีสีชาดนี้จะเป็นสถานที่สิ้นชีพของปรมาจารย์ที่เป็นผู้สร้างตำหนักเซียนเมื่อแสนปีที่แล้ว เรื่องราวสำคัญถึงเพียงนี้ ไม่สามารถจัดการแบบมั่วซั่วได้!”
ด้วยคำพูดของเยี่ยฉิงชาง ภายในตำหนักใหญ่ก็เกิดความเงียบขึ้นในทันที จากนั้นจิตสังหารก็ค่อย ๆ สงบลง
รองเจ้าตำหนักทั้งสองคนก็ถามขึ้น “ท่านเจ้าตำหนัก เช่นนั้นแล้วตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรหรือ?”
เยี่ยฉิงชางมองไปยังฮวาเทียนหยางด้วยความเย็นชา สาเหตุส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ก็มาจากฮวาเทียนหยาง
ท้ายที่สุดเขาก็สั่งขึ้น “ฮวาเทียนหยาง เจ้าไปที่นั่นอีกครั้ง หากทำให้เรื่องวุ่นวายกว่านี้อีก ก็มิต้องมีชีวิตกลับมาอีกแล้ว!”
“อ๊ะ… รับทราบขอรับ!”
ฮวาเทียนหยางตกตะลึง หลังจากนั้นก็ทำได้เพียงทำตามคำสั่งด้วยความกลัวและความกังวลใจ
…
ในไม่ช้า ใบหน้าที่บวมช้ำของฮวาเทียนหยางก็กลับมายังสำนักเซียนกระบี่อีกครั้ง
“เป็นเจ้าอีกแล้วหรือ!”
เมื่องมองเห็นว่าฮวาเทียนหยางมาถึงที่นี่อีกครั้ง ศิษย์ที่มีหน้าที่ปกป้องภูเขาก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ไม่กล้าที่จะก้าวขึ้นมาเผื่อขัดขวาง แต่รีบแจ้งข่าวแก่ท่านเจ้าสำนักหนิงฝานและเหล่าท่านผู้อาวุโสทันที
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
ด้วยแสงและเงาที่แวบเข้ามา หนิงฝานเองก็เร่งตามเหล่าท่านผู้อาวุโสมาในทันที
เมื่อเห็นฮวาเทียนหยางแล้ว ชายหนุ่มพลันยิ้มเย็นชาพลางกล่าวว่า “ฮ่า ๆ เจ้ายังกล้าเสนอหน้ามาอีกรึนี่? หรือว่าเริ่มคันเนื้อคันหนังอีกแล้ว!”
พูดเสร็จ เขาก็ทำท่าจะลงมือ!
“อ๊า!”
ได้ยินเช่นนั้น ทั้งร่างกายของฮวาเทียนหยางก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทิ้ม เขารีบโบกมือและพูดขึ้นว่า “อย่า ๆ ท่านเจ้าสำนักหนิงฝานอย่าตีข้าเลย ได้โปรดฟังข้าพูดให้จบเสียก่อน!”
แล้วในเวลาต่อมานั้น เขาก็คุกเข่าลง เพราะกลัวว่าหนิงฝานจะไม่ยอมฟังและตีเขาอีก!
หากว่าครานี้ยังไม่อธิบายให้ชัดเจน ชีวิตของเขาไม่แคล้วคงจะต้องตกอยู่ในความอันตรายเป็นแน่!
“นี่มัน…!”
ครั้งก่อนใบหน้าของฮวาเทียนหยางนับว่าหยิ่งผยองมาก ทว่าครั้งนี้อีกฝ่ายกลับรีบหมอบลง ขณะเดียวกัน หนิงฝานก็หยุดมือ เหล่าท่านผู้อาวุโสพลันตากระตุกทันที!
ผู้ใดจะคิดว่าบุคคลตรงหน้าที่เป็นถึงทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียนผู้มีชื่อเสียง แม้แต่กึ่งเซียนธรรมดา ๆ ยังเคารพยำเกรง มาวันนี้กลับกำลังหมอบลงที่ประตูสำนักเซียนกระบี่
“ฮ่า ๆ!”
หนิงฝานกลับมิได้รู้สึกอันใดเลย หลังจากยิ้มอย่างเย็นชา เขาก็ถามขึ้นในทันที “เพื่อเห็นแก่ความจริงใจของเจ้าในครั้งนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้พูดสักครั้ง!”
เห็นเช่นนั้น ฮวาเทียนหยางก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก และรีบหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากหน้าอก ก่อนจะมอบมันให้กับหนิงฝาน
“ท่านเจ้าสำนักหนิง เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ล้วนอยู่ในจดหมายฉบับนี้ เชิญท่านอ่านดูเถิด!”
หนิงฝานก็ไม่ทำให้ฮวาเทียนหยางต้องยุ่งยาก ทันทีที่รับจดหมายมาก็เปิดอ่านในทันที!
“แดนลับธุลีสีชาด!”
“หนึ่งตำหนัก สามขุนเขา ห้าพรรค แปดสำนัก กองกำลังชั้นหนึ่งทั้งหมดล้วนไปที่นั้น!”
“หึ ที่แท้ก็ต้องการกึ่งเซียนยี่สิบคนจึงจะสามารถเปิดออกได้!”
เมื่อเห็นเนื้อหาของจดหมาย หนิงฝานก็เลิกคิ้วขึ้น!
ที่แท้จุดประสงค์ของตำหนักเซียนที่มาหาเขาครั้งแล้วครั้งเล่าก็เพื่อต้องการให้อู๋เซียนเหรินและคนอื่น ๆ สนใจ
แดนลับธุลีสีชาดต้องการกึ่งเซียนอย่างน้อยยี่สิบคนจึงจะสามารถเปิดออกได้ แต่กึ่งเซียนผู้แข็งแกร่งภายในแคว้นเซียนก็มิใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ ราวกับผักผลไม้ทั่ว ๆ ไป หนิงฝานสะกดข่มพวกอู๋เซียนเหรินและคนอื่น ๆ เอาไว้ จึงได้กลายเป็นจุดสำคัญในการเปิดแดนลับธุลีสีชาด
อย่างไรก็ตาม หนิงฝานพลันรู้สึกสนใจแดนลับธุลีสีชาดนี้ขึ้นมาแล้ว
ประการแรก ในตอนนี้ได้ใช้วิถีอุบัติภายในเมืองเซียนโบราณไปแล้วไม่น้อย หากสามารถไปยังแดนลับธุลีสีชาดนี้ได้ก็ถือว่าเป็นโชค!
ประการที่สอง การฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณระดับสุริยันของแคว้นรกร้างก็เหลืออีกเพียงสองปีสุดท้ายเท่านั้น จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ใช้ประโยชน์จากกองกำลังชั้นหนึ่งอื่น ๆ!
“กลับไปแจ้งเจ้าตำหนักของพวกเจ้า เมื่อถึงวันนั้น สำนักเซียนกระบี่ของข้าจะเข้าไปยังแดนลับธุลีสีชาด!”
ด้วยคำพูดของหนิงฝาน ฮวาเทียนหยางที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดก็พลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมาในทันที และรีบขอตัวเพื่อกลับไปรายงานที่ตำหนักเซียน!
ครั้นมองเห็นเงาของฮวาเทียนหยางที่จากไป หนิงฝานก็ทอดสายตาอย่างพินิจพิเคราะห์
“สองปีสุดท้ายนี้ หวังว่าแดนลับธุลีสีชาดจะสามารถช่วยให้ข้าหาแผนการรับมือได้!”