กรรมการผู้จัดการคิมไม่เข้าใจเลยสักนิดในตอนที่ได้ฟังว่าวันนั้นชเวอินซอบก็อยู่ในรถด้วย เพราะนี่เป็นสถานการณ์ที่อินซอบสามารถควบคุมได้อยู่แล้ว
‘ดูเหมือนทั้งคู่จะทะเลาะกัน พวกเขาไม่สบตากันด้วยซ้ำ แล้วอินซอบก็ได้แต่อึกอักและพูดไม่ออกอยู่ข้างๆ’
แต่คำอธิบายเพิ่มเติมของหัวหน้าทีมชาทำให้กรรมการผู้จัดการเข้าใจขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ทะเลาะกันหรอกครับ ผมจะไปทะเลาะกับเด็กคนนั้นได้ยังไง”
“นายทะเลาะกับอินซอบที่เหมือนเทวดาจริงๆ เหรอ”
“ผมอารมณ์เสียก็เพราะไอ้คนที่เหมือนเทวดานั่นแหละครับ”
อีอูยอนยิ้มเหมือนดอกไม้พลางเอ่ยตอบ ถ้าหากมีดอกไม้บานในนรก ก็คงจะหน้าตาแบบนั้นแหละ กรรมการผู้จัดการคิมขนลุกซู่ เขาลูบแขนก่อนจะถามซ้ำ
“เรื่องที่ทำให้อารมณ์เสียคืออะไรล่ะ อย่าบอกนะว่าอินซอบขอเลิก”
“เฮ้อ…”
อีอูยอนถอนหายใจก่อนจะใช้ฝ่ามือลูบหน้า เป็นสีหน้าที่ไม่เคยแสดงให้เห็นแม้แต่ตอนได้รับคอมเมนต์ว่าร้ายมาตลอดหลายวันด้วยซ้ำ อีอูยอนเงยหน้าขึ้น ความน่ากลัววาวโรจน์ขึ้นในดวงตาของเขา
“ห้ามพูดคำนั้นนะครับ ถึงจะแค่แซวเล่นก็ตาม”
ความป่าเถื่อนที่เหมือนจะฉีกอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ ล้นทะลักออกมาจากดวงตาของอีอูยอในไม่ช้า กรรมการผู้จัดการคิมรีบเบนสายตาไปด้านข้างก่อนจะพูดต่อ
“แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ ไม่มีทางที่อินซอบที่แสนดีจะทำผิดกับนายหรอก นายทำอะไรผิดล่ะ”
อีอูยอนยิ้มอย่างขมขื่น
“คนแสนดีคนนั้นน่ะ โธ่เว้ย ผมคงไม่ได้แก่ตายแน่ๆ ถ้าได้ชอบเป็นครั้งที่สอง”
“…”
งั้นก็รีบๆ ชอบเป็นครั้งที่สอง แล้วก็ไม่ต้องอยู่จนกว่าจะแก่ตายสิ
กรรมการผู้จัดการคิมกลืนคำที่อยากพูดลงไป
ตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“กรรมการผู้จัดการคะ ทนายชินมาแล้วค่ะ”
ผู้ช่วยโจแจ้งให้ทราบอย่างระมัดระวังจากด้านนอก
“ทนายชิน? ตกลงกันเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ งั้นไปบอกให้เขาเข้ามาก่อน”
พวกเขาให้เงินจำนวนมหาศาลและตกลงกับชายที่อีอูยอนทำจมูกหักเรียบร้อยแล้ว คนที่ดิ้นพล่านบอกว่าจะฟ้องร้องในตอนแรกหมดหวังทันทีที่ต้นสังกัดของแชยอนซอบอกว่าจะฟ้องร้อง และหลังจากนั้นการตกลงกับอีอูยอนก็สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็ว
“ผมเรียกมาเองครับ”
“ทำไม คงไม่ได้ไปต่อยใครมาอีกหรอกใช่ไหม”
ใบหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมซีดเผือด
“เพราะมีสัญญาที่ต้องเขียนน่ะครับ แล้วก็มีเอกสารให้จัดการด้วย”
“เอกสารอะไร ฉันแค่พูดเผื่อไว้นะว่าฉันไม่เคยตุกติกเลยแม้แต่ครั้งเดียวนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมเป็นคนจัดการเรื่องทางราชการทั้งหมดของอีอูยอน รวมไปถึงเรื่องทรัพย์สินและภาษีด้วย หัวหน้าทีมชายังตกใจในเรื่องนี้ และเคยถามอีอูยอนว่าเชื่อกรรมการผู้จัดการคิมอย่างหมดใจจริงๆ เหรอด้วยซ้ำ อีอูยอนหัวเราะและตอบไปว่า
‘ต่อให้ตุกติกกับเงิน ผมก็ไม่สนใจหรอกครับ จนกว่าผมจะรู้น่ะนะ’
แม้ก่อนหน้านี้กรรมการผู้จัดการคิมจะจัดการได้อย่างดีมาตลอด แต่หลังจากนี้เขาจะดูแลอย่างละเอียดรอบคอบชนิดที่ไม่ให้พลาดไปแม้แต่สิบวอน
“ผมรู้ครับ ผมไม่ได้เรียกมาเพราะเรื่องนั้นหรอก”
“ให้ฉันออกไปไหม”
อีอูยอนส่ายหน้าให้กับคำถามของกรรมการผู้จัดการคิม
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ”
อีอูยอนพูดราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้ยินเสียงประตู และทนายความก็เดินเข้ามา หลังจากทักทายกันอย่างสบายๆ แล้ว ทนายความก็หยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าทันที
“เอกสารที่คุยพูดถึงตอนนั้นครับ ลองอ่านดูสักรอบนะครับ”
สีหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมที่ยิ้มอย่างนิ่งนอนใจใช้ระยะเวลาแค่ไม่กี่วินาทีในการเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งเครียด
***
“คุณอินซอบ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
“สวัสดีครับคุณผู้จัดการยุน”
อินซอบหมุนตัวและทักทายผู้จัดการยุนแจฮยอนทันที
“คุณอีอูยอนอยู่ไหนเหรอครับ”
อินซอบยิ้มเจื่อนก่อนจะชี้ไปที่ห้องของกรรมการผู้จัดการ
“ผมว่าคงจะโดนต่อว่าน่ะครับ เพราะสองสามวันมานี้ที่บริษัทวุ่นวายมากเลย”
สามวันที่ผ่านมาคือนรกสำหรับอินซอบ แม้เขาจะได้รับวันหยุดที่บังคับให้ต้องหยุด และพักอยู่ที่บ้าน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะได้พัก โลกอินเทอร์เน็ตวุ่นวาย และดูเหมือนทุกคนจะด่าอีอูยอน แม้เขาจะเข้าไปทิ้งคอมเมนต์ที่บอกว่าคุณอีอูยอนคงจะมีเหตุผลที่ทำอย่างนั้นอย่างตั้งใจ แต่ก็ทำได้แค่กินคำด่าผ่านทางคอมเมนต์จนอิ่มเท่านั้น
แม้จะอยากไปหาอีอูยอน แต่เขาก็ไม่อาจทำแบบนั้นได้เมื่อนึกถึงคำเตือนของอีกฝ่ายที่บอกว่าอย่าทำตัวใจดีไปเรื่อย ทุกอย่างเป็นเพราะตน ถึงจะรู้ว่าอีอูยอนอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ยังปล่อยให้อีกฝ่ายออกไปนอกรถ เขากลัวจะโดนอีอูยอนเกลียดจนในที่สุดก็ไม่สามารถห้ามอีกฝ่ายไว้ได้ และคนที่ตามล้างตามเช็ดเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เรียบร้อยก็คือหัวหน้าทีมชา ส่วนคนที่ปกปิดความผิดพลาดที่เขาทำลงไปกับแชยอนซอที่กองถ่ายวันนั้นก็คืออีอูยอน
สุดท้ายตัวเขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขายังขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้จัดการส่วนตัว แม้ระยะเวลาที่ตกลงกันไว้คือสัปดาห์หน้า แต่การที่เขาจะตัดใจลาออกเร็วขึ้นแม้จะเป็นเพียงวันเดียวก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ถึงจะรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ไม่ยอมพูดว่าจะลาออก ความโลภที่อยากจะมองอีอูยอนอยู่ข้างๆ ต่อไปอีกสักหน่อยทำให้อินซอบไม่กล้าพูดแบบนั้น
…เราสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นหลายเรื่องเลยสินะ
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ”
อินซอบก้มหัวขอโทษอย่างเรียบร้อย
“โอ๊ย นี่ไม่ใช่เรื่องที่คุณอินซอบทำซะหน่อย ทำไมคุณอินซอบต้องขอโทษด้วยล่ะครับ แล้วถ้าจะให้พูดตรงๆ…”
ผู้จัดการยุนมองไปรอบๆ ก่อนจะลดเสียงลง
“เป็นผม ผมก็จะทุบไม่ยั้งเหมือนกันครับ แฟนของตัวเองโดนพูดถึงแบบนั้น ถ้าทนได้ก็โง่แล้วครับ ในฐานะผู้ชายด้วยกันผมไม่ติดเลยนะครับที่จะหลงรักคุณอีอูยอน”
อินซอบตอบอย่างอ่อนแรงว่า “อย่างนั้นเหรอครับ” คำว่าแฟนสาวทำให้เขานึกถึงแชยอนซอโดยอัตโนมัติ รู้สึกแบบนี้ในสถานการณ์อย่างนี้เนี่ยนะ อินซอบทบทวนตัวเอง
“ว่าแต่มีคนบอกว่าคุณตามหาผมอยู่นี่ครับ”
“โอ้ ขอโทษทีครับ ผมมีเรื่องจะเรียนถามน่ะครับ ว่าจะสามารถรับพาสปอร์ตที่ส่งไปตอนนั้นคืนได้เมื่อไร”
ตอนนั้นอินซอบถึงได้นึกถึงจุดประสงค์ที่ตนตามหาผู้จัดการยุนออก
เมื่อวานเขาได้รับโทรศัพท์จากอเมริกา แม่ถามอย่างระวังว่าจะกลับมาได้เมื่อไร เพราะนี่เป็นช่วงปิดเทอม ตอนนั้นเองเขาถึงได้รู้ถึงความจริงว่าตนมัวแต่สติหลุดอยู่หลายวันจนไม่ได้โทรศัพท์ไปหาแม่
ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน
อินซอบกลั้นการด่าทอตัวเองไว้ก่อนจะเอ่ยขอโทษแม่ จากนั้นก็บอกว่าตนจะกลับไปเร็วๆ นี้ เขาคิดว่าควรจะโผล่หน้าไปให้เห็นบ้าง แค่วันเดียวก็ยังดี ก่อนที่ปิดเทอมจะหมดลง
“พาสปอร์ตอะไรเหรอ”
“ที่คุณอีอูยอนบอกว่าจำเป็นต้องใช้สำหรับตารางงานที่ต่างประเทศ แล้วผมก็ให้ไปไงครับ”
“ต่างประเทศเหรอ ที่ผมรู้คือเขาไม่น่าจะมีตารางงานนอกประเทศไปสักระยะหนึ่งเลยนะ คุณอินซอบรู้มาผิดหรือเปล่าครับ แล้วให้ใครไปล่ะ”
“เอาให้คุณอีอูยอนไป…”
“งั้นเหรอ ผมรู้มาผิดหรือเปล่านะ ให้ผมไปเรียนถามกรรมการผู้จัดการให้ไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมไปถามคุณอีอูยอนเอง”
อินซอบตัดสินใจว่าจะไปถามอีอูยอนด้วยตัวเอง เพราะเขาอาจจะพูดอะไรที่เกินความจำเป็นไปก็ได้
“แปลกแฮะ ว่าแต่ทำไมถึงมองกระถางต้นไม้อันนั้นอย่างนั้นมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะครับ”
“นี่เป็นของที่คุณคังยองโมส่งมาใช่ไหมครับ”
อินซอบชี้ไปที่ริบบิ้นสีชมพูที่พันรอบกระถางต้นไม้พลางเอ่ยถาม ตรงนั้นมีชื่อบริษัทของคังยองโมเขียนเอาไว้
“ใช่แล้วครับ คังยองโมคนนั้นนั่นแหละ ไม่รู้ว่าไอ้บ้านั่นคิดอะไรอยู่ ได้ยินว่าส่งแค่กระถางต้นไม้มาตามที่อยู่ของบริษัทน่ะครับ คงจะอายที่สร้างเรื่องไว้คราวก่อนล่ะมั้ง แต่กรรมการผู้จัดการคิมบอกว่าห้ามกระพือข่าว ทุกคนก็เลยเงียบไว้น่ะครับ เพราะพวกเราน่ะอยากฟ้องนักข่าวที่รู้จักกันแทบแย่”
“ห้ามพูดเด็ดขาดเลยนะครับ”
พออินซอบพูดด้วยสีหน้าตื่นกลัว ผู้จัดการยุนก็ส่ายหน้า
“ไม่ต้องห่วงครับ เพราะกรรมการผู้จัดการได้กำชับอย่างเด็ดขาดแล้วครับ ว่าแต่กระถางต้นไม้แค่กระถางเดียวนี่มันอะไร เป็นคนที่หาเงินได้เยอะแท้ๆ แต่เดิมทีเขาก็ได้ชื่อว่าไม่เคยเลี้ยงข้าวพวกสตาฟสักครั้งระหว่างที่ถ่ายละครอยู่แล้ว คงใจกว้างเต็มที่แล้วล่ะครับถึงได้ส่งอันนั้นมา”
ผู้จัดการยุนซดกาแฟพร้อมกับพูดต่อ
“ถึงอีกไม่นานก็คงจะตายก็เถอะ”
“ใครเหรอครับ”
“ต้นไม้นั่นน่ะครับ เพราะพอรู้ว่าเป็นของที่คังยองโมส่งมาก็ไม่มีใครรดน้ำเลยครับ บางครั้งก็มีคนเอากาแฟไปเทใส่ด้วย อย่างผมไงครับ”
ผู้จัดการยุนยิ้มพร้อมกับแกล้งเทกาแฟที่ดื่มอยู่ใส่กระถางต้นไม้ พอเห็นอินซอบตื่นตกใจ เจ้าตัวก็หัวเราะคิกคักว่าล้อเล่นก่อนจะเดินจากไป
อินซอบถอนหายใจพลางมองกระถางต้นไม้ ใบของมันเหลืองไปหมด และดินก็อยู่ในสภาพแห้งแล้ง
“ไอ้คนนิสัยไม่ดี”
เขาพึมพำคำด่าเบาๆ เพราะกลัวว่าใครจะได้ยิน เขาไม่สามารถเข้าใจทัศนคติที่คิดว่าก่อความไม่สงบแบบนั้นแล้วจะแก้ไขได้ด้วยกระถางต้นไม้กระถางเดียวได้เลย
เขาเกลียดคังยองโมจริงๆ และเกลียดกระถางต้นไม้ที่อีกฝ่ายส่งมาด้วย ตัวเขาสมควรที่จะโกรธอีกฝ่ายมากกว่า คังยองโมทำให้อีอูยอนขายหน้าอย่างเปิดเผย แม้คนรักของตนจะถูกด่า แต่อินซอบก็ไม่สามารถโกรธอย่างจริงๆ จังๆ ได้สักครั้ง
กลับกันอีอูยอนโกรธถึงขนาดนั้น แม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่คนที่ตัวเองคบจริงๆ ก็ตาม เทียบกับอีอูยอนแล้ว ตัวเขาขี้ขลาดจนน่าขายหน้า
“…เราควรจะต่อยบ้างหรือเปล่า”
อินซอบลองกำหมัด ซึ่งเป็นหมัดที่อ่อนแรงและไม่รู้สึกถึงการข่มขู่อะไรเลย อินซอบตระหนักได้ว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะกับตนและเบนสายตาไปที่กระถางต้นไม้
ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะแก้แค้น
อินซอบจับใบของต้นไม้ เขาอยากจะดึงมันแรงๆ เพราะมันเป็นต้นไม้แย่ๆ ที่คนเลวๆ ส่งมาให้
“…”
แม้จะทำแบบนั้น แต่ความโกรธของเขาก็ไม่คลายลง
มือที่เกร็งสั่นระริก และอินซอบก็ไม่สามารถดึงใบไม้สักใบออกมาได้จริงๆ
“คุณอินซอบ!”
อินซอบตกใจ เพราะเสียงเรียกอย่างกะทันหันจากทางด้านหลัง
“ตกใจอะไรขนาดนั้นล่ะ อย่างกับคนที่โดนจับได้ว่าทำอะไรผิดอยู่เลย ตายจริง นั่นมันอะไรกันคะ”
ผู้ช่วยโจชี้ไปที่สิ่งที่อินซอบถือไว้ในมือ อินซอบก้มลงมองมือตัวเองด้วยใบหน้าซีดเผือด ตรงนั้นมีต้นไม้ที่โดนดึงชนิดที่ว่าถอนรากถอนโคนอยู่
***
“ต้นไม้นั่นมันอะไรกันครับ”
อีอูยอนมองอินซอบที่ยืนถือต้นไม้ด้วยสีหน้าเศร้าหมองพลางพูด
“…ผมจะเอาไปเลี้ยงครับ”
อินซอบตอบขณะที่ยังคงกอดกระถางต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาไว้ คิ้วที่เป็นระเบียบของอีอูยอนเลิกขึ้น
“เดี๋ยวมันก็ตายแล้วครับ ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ”
“ถ้าดูแลมันอย่างดีอีกครั้งก็รอดครับ”
อินซอบโกยดินของต้นไม้ที่กำลังจะตายและตบมันเบาๆ พลางเอ่ยตอบ
“ตอนนี้ผมเริ่มจะ…”
“ครับ?”
เสียงประตูลิฟต์เปิดทำให้อินซอบไม่ได้ยินคำพูดของอีอูยอน และถามซ้ำ อีอูยอนไม่ตอบ และขึ้นลิฟต์ไปอย่างนั้น อินซอบรีบวิ่งตามหลังอีกฝ่ายขึ้นลิฟต์ ความเงียบที่น่าอึดอัดวนเวียนอยู่โดยรอบ แล้วมือของอีอูยอนที่มีผ้าพันแผลพันไว้ก็เข้ามาในสายตาของอินซอบที่พยายามหาหัวข้อสนทนา
“มือคุณไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมครับ”
“ครับ”
อีอูยอนตอบห้วนๆ
“วันนี้ผมจะไปส่งคุณถึงบ้านเองครับ ผมบอกให้คังอูกลับไปก่อนแล้ว เพราะเขาดูเหนื่อยมาก”
อีอูยอนเอียงคอมองอินซอบ
“แล้วคุณอินซอบไม่เหนื่อยเหรอครับ”
“ครับ ผมไม่เป็นไร”
ความจริงแล้วสามวันมานี้อินซอบแทบจะไม่ได้พักเลย เขาเช็กข่าวและคอมเมนต์ที่ถูกโพสต์ลงอินเทอร์เน็ตตลอดทั้งวัน และเอาแต่เขียนคอมเมนต์ทิ้งไว้จนไม่สามารถออกห่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ แต่เขาไม่อยากแสดงท่าทางแบบนั้นต่อหน้าคนที่เกี่ยวข้อง
มือของอีอูยอนยื่นเข้ามาใกล้ อินซอบนิ่งอยู่อย่างนั้น แล้วนิ้วที่สวยงามก็เคาะลงบนสันจมูกของอินซอบ
“เลือดกำเดาล่ะ?”