ตอนที่ 226 ออกไปขายของด้วยกันเถอะ
ตอนบ่าย เมื่อฟางจั๋วหรานแวะมากินอาหารที่ร้าน เขาก็บอกหลินม่ายว่าเขาติดต่อว่าจ้างสถาปนิกเรียบร้อยแล้ว และนัดหมายให้เขามาตรวจดูบ้านในวันพรุ่งนี้
“คุณจ้างสถาปนิกจริง ๆ เหรอเนี่ย?” หลินม่ายพูดต่อ “พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปที่ชนบทเพื่อรับซื้อฝักข้าวโพดมาขาย คงกลับมาถึงที่นี่ไม่ทันช่วงเที่ยงแน่”
ฟางจั๋วหรานยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะพาสถาปนิกไปตรวจดูบ้านด้วยตัวเอง เดี๋ยวผมจะแจ้งผลสรุปให้คุณรู้ในภายหลัง”
จากนั้นเขาก็ก้มลงคีบอาหารเข้าปากสองสามคำ ถามว่า “พรุ่งนี้คุณจะออกจากที่นี่กี่โมง ผมว่าจะฝากของไปให้คุณปู่กับคุณย่าด้วย”
“รถไฟออกประมาณหกโมงเช้าค่ะ”
หลังมื้ออาหารเย็น หลินม่ายเห็นว่าเขาไม่ได้ขอตัวกลับหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จเหมือนกับทุกครั้ง จึงถามว่า “ทำไมคุณถึงยังไม่กลับอีก?”
ฟางจั๋วหรานบอก “ผมว่าจะตามคุณไปตั้งแผงขายเสื้อผ้าที่ถนนเจียงฮั่น”
หลินม่ายประหลาดใจ “ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากช่วยฉันขายของขึ้นมาล่ะคะ?”
“เพราะตราบใดที่ผมอยู่ใกล้ ๆ คงพอปกป้องคุ้มครองคุณจากอันตรายได้บ้าง”
หลินม่ายแอบทิ้งเขาไว้ตามลำพังแล้วเดินลงไปชั้นล่าง เพื่อเค้นถามความจริงจากโจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิง “บอกฉันมาตามตรง ใครเป็นคนบอกคุณหมอฟางว่าฉันตกอยู่ในอันตราย?”
“ฉันเอง!” โจวฉายอวิ๋นมองเธอด้วยแววตาซื่อใส “ทำไม? เธอจะมาตำหนิฉันเรื่องนี้เหรอ?”
หลินม่ายรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันที เมื่อไรนะอีกฝ่ายถึงจะเลิกแสดงความหวังดีโดยที่เธอไม่ต้องการ “ทำไมพี่ต้องเล่าให้คุณหมอฟางเขาฟังทุกเรื่องด้วย?”
โจวฉายอวิ๋นพูดด้วยความมั่นใจว่าตัวเองไม่ผิด “เธอตกอยู่ในอันตราย ทำไมฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังไม่ได้? เขาเป็นแฟนของเธอนะ เขาต้องปกป้องเธอจากอันตรายรอบข้างสิ!”
หลินม่ายเถียงไม่ออก
วันนี้ฟางจั๋วหรานออกไปตั้งแผงขายเสื้อผ้าบนถนนเจียงฮั่นกับเธอ ดังนั้นหลินม่ายจึงไม่ได้พาหลี่หมิงเฉิงไปด้วย
ขณะที่หลินม่ายกำลังจะจัดการตั้งแผงลอยริมถนน ฟางจั๋วหรานก็ดึงเธอเข้ามาใกล้ แล้วชี้ให้เธอมองตามไปยังทิศทางหนึ่ง
หลินม่ายมองตาม เห็นว่าริมถนนฝั่งตรงข้ามมีแผงลอยขายเสื้อผ้ามือสองตั้งอยู่
แต่แล้วนักเลงสองสามคนก็เดินมาขับไล่เจ้าของแผงด้วยสีท่าทางดุดัน
ฟางจั๋วหรานเอ่ย “ผมเกรงว่าคืนนี้เราคงตั้งร้านไม่ได้แล้ว”
“ไม่หรอก” หลินม่ายจำนักเลงกลุ่มนั้นได้ พวกเขาทุกคนต่างก็เป็นลูกน้องของเฉินเฟิง
เธอพอเข้าใจเจตนาของลูกน้องเฉินเฟิงกลุ่มนี้ว่าทำไมถึงพยายามขับไล่แผงขายเสื้อผ้ามือสองออกไป นั่นก็เพราะไม่ต้องการให้ร้านของใครมาทับซ้อนกับร้านของเธอ
ถนนในยุคสมัยนี้ยังไม่ขยายกว้างมาก แม้แต่ถนนเจียงฮั่นที่มีผู้คนสัญจรไปมาพลุกพล่านยังแบ่งถนนออกเพียงสี่เลน
ถึงแม้แผงลอยขายเสื้อผ้ามือสองจะตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน แต่ก็ตั้งอยู่ตรงข้ามกันกับร้านของหลินม่ายพอดี ในระยะใกล้แบบนี้คงส่งผลกระทบต่อธุรกิจไม่น้อย
หลินม่ายให้เหตุผลว่า “นักเลงพวกนั้นขับไล่เจ้าของแผงออกไป คงเป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองน่ะค่ะ”
ฟางจั๋วหรานไม่ใช่หนอนหนังสือที่รอบรู้แค่เนื้อหาทางวิชาการ แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับปรากฏการณ์ทางสังคมทำนองนี้อยู่บ้าง
พอได้ยินสิ่งที่หลินม่ายอธิบาย เขาก็รู้สึกโล่งใจ
หลินม่ายชำเลืองมองไปทางฝั่งตรงข้ามเป็นครั้งคราวขณะตั้งแผงขายของ
เจ้าของแผงขายเสื้อผ้ามือสองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นคู่หนุ่มสาว พวกเขาพยายามเจรจาอย่างเป็นมิตรกับเหล่าลูกน้องของเฉินเฟิง หนำซ้ำยังยัดเงินจำนวนหนึ่งและบุหรี่ให้กับพวกเขา ถึงอย่างนั้นลูกน้องของเฉินเฟิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะยินยอมง่าย ๆ ยืนกรานให้พวกเขาย้ายไปตั้งแผงลอยที่อื่น
สองหนุ่มสาวจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมเก็บร้าน แล้วเดินจากไปด้วยความสิ้นหวัง
ฟางจั๋วหรานเองก็ใช้สายตาราวกับกล้องพาโนรามาสอดส่องไปทางฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ถามหลินม่ายอย่างไม่เข้าใจ “สองคนนั้นเต็มใจจ่ายค่าคุ้มครองให้พวกเขา แต่ทำไมนักเลงพวกนั้นถึงไม่ยอมรับไว้?”
หลินม่ายจึงยอมบอกความจริงแค่ครึ่งเดียว “เพราะฉันซื้อพวกเขาไว้แล้วยังไงล่ะ”
เมื่อเห็นสายตาของฟางจั๋วหรานที่ยังคงเต็มไปด้วยคำถาม เพื่อเป็นการพิสูจน์คำพูดของตัวเอง เธอจึงเดินไปที่ร้านของชำซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล แล้วซื้อบุหรี่ที่มีราคาแพงที่สุดในร้านมาหนึ่งซอง ก่อนจะยื่นให้กับลูกน้องของเฉินเฟิง
นักเลงเหล่านั้นยอมรับซองบุหรี่จากเธอ ก่อนจะเดินห่างออกไปหลังจากนั้น
หลินม่ายเดินกลับไปที่แผงลอยของตัวเองพลางยักคิ้วด้วยความภาคภูมิใจให้กับฟางจั๋วหราน ฟางจั๋วหรานยิ้มรับ แล้วหันกลับมาตั้งแผงต่อ
ทั้งสองช่วยกันตั้งร้านอย่างรวดเร็ว
เด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่เดินผ่านมาหยุดแวะที่ร้านของหลินม่ายเพื่อเลือกซื้อเสื้อผ้า พวกเธอหยิบเสื้อขี้นมาทาบกับลำตัวหลายครั้ง แล้วหันหน้าไปถามฟางจั๋วหรานด้วยความเขินอายว่าตัวนี้เหมาะกับเธอหรือไม่
ศาสตราจารย์ฟางให้ความจริงจังกับการขายเสื้อผ้าเหมือนกับที่ให้ความจริงจังด้านการผ่าตัดศัลยกรรม จึงแนะนำลูกค้าด้วยความระมัดระวัง
ถ้าเขาเห็นด้วยว่ามันดูดี ก็จะบอกไปตามตรงว่าเหมาะสม แต่ถ้าเขาไม่เห็นด้วย ก็จะช่วยลูกค้าเลือกเสื้อผ้าที่ดูเหมาะสมกว่าให้
ทักษะการขายของเขาไม่น่าเบื่อเลยสักนิด แถมยังมีแนวคิดทางการตลาดที่ดีมากอีกด้วย
ไม่มีลูกค้ารายไหนที่ไม่ยอมเลือกซื้อเสื้อผ้าตามคำแนะนำของฟางจั๋วหราน
หญิงสาวผูกผมหางม้าคนหนึ่งหอบเสื้อผ้าตัวที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนเลือกให้ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเว้าวอน “พ่อรูปหล่อ ลดราคาให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ?”
ฟางจั๋วหรานยิ้มกว้าง รอยยิ้มนั้นเป็นเหมือนดอกไม้ร้อยดอกที่บานสะพรั่งพร้อมกัน ยิ่งมองยิ่งเจริญตา
“เราขายเสื้อตัวนี้ในราคาถูกที่สุดแล้วครับ ถ้าคุณคิดว่ามันแพงเกินไป…” ว่าแล้วเขาก็หันไปหยิบเสื้อกันหนาวในไม้แขวนเสื้ออีกตัวออกมาจากราว “ตัวนี้ราคาถูกกว่า คุณเปลี่ยนใจมาซื้อตัวนี้ก็ได้นะครับ ดูเหมาะกับคุณเหมือนกัน”
หญิงสาวผูกผมหางม้ายื่นมือออกไปคว้าเสื้อตัวนั้นมาถือไว้ “ในเมื่อมันราคาไม่แพง ถ้าอย่างนั้นฉันจะซื้อเสื้อตัวนี้ด้วย แต่ฉันขอจับมือคุณหน่อยได้ไหม?”
ไม่พูดเปล่า แต่ยังช้อนสายตามองไปทางฟางจั๋วหรานอย่างเชื้อเชิญ
ยังไม่ทันที่ฟางจั๋วหรานจะตอบปฏิเสธ หลินม่ายก็หยิบเสื้อผ้าอีกตัวขึ้นมา แล้วยัดเข้าไปในอ้อมแขนของหญิงสาว “ไม่มีปัญหาค่ะ คุณซื้อเสื้อเพิ่มอีกสักตัวสิคะ แล้วฉันจะยอมให้คุณจับมือแฟนของฉันเลย”
หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกอับอายขึ้นมาทันที นึกอยากขุดหลุมแล้วฝังตัวเองลงไปในดินเสีย
หล่อนวางเสื้อผ้าทั้งหมดลงบนรถสามล้อตามเดิมก่อนจะวิ่งหนีไป
หลินม่ายมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวคนนั้นไปพลางพูดว่า “แฟนสาวตัวจริงของเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้แท้ ๆ หล่อนกล้าดียังไงมาจีบแฟนฉันต่อหน้า!”
ฟางจั๋วหรานหัวเราะอย่างมีความสุขออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
เขาชอบวิธีการแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของเธอจริงๆ
ลูกน้องของเฉินเฟิงแอบมองฟางจั๋วหรานอยู่ไกล ๆ ระหว่างนั้นก็พูดคุยกันไปด้วย
“ผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนของม่ายจื่อเองหรือนี่?”
“น่าจะใช่นะ พวกเขาทำตัวสนิทสนมกันปานนั้น”
“โอ้! ถ้าลูกพี่มาเห็นเข้าจะเสียใจขนาดไหนกันเนี่ย!”
ลูกพี่ของพวกเขาแอบชอบหลินม่าย นี่คือความลับที่เล่าลือกันแค่ในกลุ่มลูกน้องของเขา
ถ้าลูกพี่ของพวกเขาไม่ชอบหลินม่าย คงไม่มีทางทำอะไรให้เธอมากขนาดนี้
เมื่อรู้ว่าเจ้านายกำลังจะอกหัก บรรดาลูกน้องต่างก็รู้สึกหงอยราวถูกขี้ผึ้งเกาะคลุมหัวใจ
มีหนุ่มหล่ออย่างฟางจั๋วหรานอยู่ใกล้ ๆ หลินม่ายแทบไม่ต้องกังวลว่าเสื้อผ้าจะขายไม่หมด
หญิงสาววัยทำงานรวมถึงเด็กสาววัยรุ่นต่างก็เข้ามายืนห้อมล้อมฟางจั๋วหรานจนแน่นร้าน ราวกับเห็นเขาเป็นมดนางพญาอย่างไรอย่างนั้น
หลินม่ายพยายามพาตัวเองเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ กับฟางจั๋วหราน แต่ถูกบรรดาลูกค้าสาวเบียดให้ถอยออกห่างไปเสียทุกครั้ง
แต่การที่เขามาช่วยขายแบบนี้ก็ทำให้เสื้อผ้าในร้านขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ยังไม่ทันถึงสองทุ่มครึ่ง เสื้อผ้าทั้งหมดที่ขนมาก็หมดเกลี้ยง
ทั้งสองช่วยกันเก็บร้านเพื่อกลับบ้านด้วยกัน
ขณะที่ฟางจั๋วหรานก้าวนั่งอยู่บนรถสามล้อ เขาเอาแต่เหลียวกลับไปมองข้างหลังอยู่บ่อยครั้ง
หลินม่ายถามด้วยความสงสัย “คุณมองอะไรหรือคะ?”
“มีคนตามเรามา”
หลินม่ายหันกลับไปมองด้วยความประหม่าทันที
พอเห็นว่ากลุ่มคนที่ตามมาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นลูกน้องของเฉินเฟิง เธอก็รู้สึกโล่งใจ
เธอรู้ดีว่าเฉินเฟิงคอยกำชับลูกน้องกลุ่มนี้ให้คอยตามปกป้องเธออย่างลับ ๆ
เธอหันไปกระซิบกับเขาเบา ๆ “บางทีเขาอาจไม่ได้ตามเรามา แต่บังเอิญต้องกลับทางเดียวกันพอดี”
ฟางจั๋วหรานไม่ตอบอะไร ยังคงระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
หลังจากส่งหลินม่ายกลับไปที่ร้านเปาห่าวซืออย่างปลอดภัยแล้ว อารมณ์ของเขาก็ผ่อนคลายลง ก่อนจะขึ้นรถโดยสารเที่ยวสุดท้ายกลับไปที่ห้องพัก
วันรุ่งขึ้นขณะที่ยังไม่รุ่งสางดี หลินม่ายก็ตื่นแล้ว
ขณะที่กำลังกินอาหารมื้อเช้าอยู่ที่ชั้นล่าง ฟางจั๋วหรานก็แวะมาหาพร้อมกับข้าวของเต็มสองมือ
เขาวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะ “ของพวกนี้เป็นของคุณปู่กับคุณย่าทั้งหมดเลย”
หลินม่ายเหลือบไปเห็นพัดลมไฟฟ้าเข้า ก็ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก “มีพัดลมไฟฟ้าด้วย…”
ฟางจั๋วหรานถามกลับอย่างงงวย “ทำไมถึงทำท่าแบบนั้นล่ะ? คุณเองก็ซื้อมาเหมือนกันเหรอ?”
“นั่นไง!” โจวฉายอวิ๋นชี้ไปที่พัดลมไฟฟ้าที่หลินม่ายเป็นคนซื้อมา “ดูเหมือนว่าพวกคุณจะใจตรงกัน”
หลินม่ายเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้กับฟางจั๋วหราน “ฉันควรทำยังไงกับพัดลมที่มากเกินความจำเป็นดี?”
ฟางจั๋วหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เสนอว่า “เก็บพัดลมไว้ที่นี่ตัวหนึ่งสิ คุณปู่คุณย่าเข้าเมืองเมื่อไหร่ก็มักจะมาพักอยู่ที่บ้านของคุณ ฤดูร้อนแบบนี้ ถ้าคุณปู่คุณย่ามาเยี่ยมจะได้มีพัดลมเย็น ๆ ไว้ต้อนรับ”
หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มีแฟนหล่อมันดีอย่างนี้นี่เอง เฮ้อ ชาติก่อนทำบุญไว้เยอะจริงๆ ม่ายจื่อ
ไหหม่า(海馬)