เฉินตันจูบอกเล่าที่มาของจางเหยาแก่องค์หญิงจินเหยา “อันที่จริงเขาคือคู่หมั้นตั้งแต่เด็กของคุณหนูหลิวเวยเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาเลิกคิ้ว “ตระกูลหลิว ไม่ใช่ ตระกูลฉางยอมได้? จางเหยานี้ดูท่าทางทั้งอนาถทั้งยากจน”
องค์หญิงเติบโตในวังหลวง ถึงแม้จะไม่เคยพบปัญหาความขัดแย้งของงานแต่งในพื้นบ้าน แต่เรื่องราวของการรังเกียจความยากจนรักใคร่ความร่ำรวยนางรู้เป็นจำนวนมาก เพียงแค่ประโยคเดียวก็ถามถึงประเด็นสำคัญ
เฉินตันจูถลึงตา “จางเหยาทั้งอนาถทั้งยากจนที่ใดกัน ร่างกายของเขาแข็งแรง ใบหน้ามีสีแดงเลือดฝาด เสื้อผ้าก็สวมใส่อย่างดีที่สุด!”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะ ถึงแม้นางจะเป็นองค์หญิง แต่ก็รู้ว่าการดูคนไม่ได้ดูที่เสื้อผ้า! เฉินตันจูที่เหิมเกริมนี้ดันถกเถียงเรื่องการแต่งกายของผู้อื่น ตอนที่เฉินตันจูตีคนไม่เห็นสนใจว่าผู้อื่นจะสวมใส่อะไร หน้าตางดงามหรืออัปลักษณ์ เวลานี้กลับไม่ให้ผู้อื่นบรรยายความไม่ดีของจางเหยาแม้แต่คำเดียว
“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เขามีชาติกำเนิดที่ไม่ดี ยากจน แต่เขามาเพื่อถอนหมั้น ไม่ใช่อาศัยการแต่งงานในการเกาะเกี่ยว” เฉินตันจูพูด “เขามีนิสัยที่ดี การกระทำโปร่งใส ตระกูลหลิวชื่นชมเขาอย่างมาก ยอมรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม เป็นพี่น้องกับหลิวเวย”
องค์หญิงจินเหยาส่งเสียงรับรู้ เรื่องราวนี้ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ อีกทั้งไม่มีสิ่งใดพิเศษ นางมองเฉินตันจูด้วยรอยยิ้ม เอ่ยถาม “แล้วเจ้าเล่า เจ้าเป็นผู้ใดในเรื่องนี้”
เฉินตันจูยิ้ม “หม่อมฉัน? หม่อมฉันย่อมเป็นคนที่ดีใจแทนสหายเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาบีบแก้มของนาง “สหายผู้นี้คือคุณหนูเวยเวย หรือว่าจางเหยา”
เฉินตันจูยิ้มพลันกอดนางเอาไว้ “ทั้งคู่ สหายของสหายก็คือสหายของหม่อมฉัน องค์หญิง คุณหนูเวยเวยและจางเหยาต่างก็เป็นสหายของท่านแล้ว ท่านต้องชอบพวกเขาเหมือนกัน คราก่อนหม่อมฉันให้ท่านมาพบเขา ท่านก็ไม่ไป มิฉะนั้นพวกท่านคงได้รู้จักกันนานแล้ว”
องค์หญิงจินเหยาผงะ นึกขึ้นมาได้ นางจับเฉินตันจูเอาไว้ “ที่แท้ชายรูปงามคนก่อนที่เจ้าลักพาตัวมาคือจางเหยา?”
เฉินตันจูพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
องค์หญิงจินเหยาราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงยื่นมือตีหัวของนาง “สหายอันใดกัน ที่แท้เจ้าก็เป็นคนร้ายในเรื่องนี้ มิน่าจางเหยานั้นถึงไม่กล้ามองเจ้า เจ้าทำให้ผู้อื่นเขาเกรงกลัวแล้ว!”
องค์หญิงจินเหยาก็เข้าใจผิด แต่เข้าใจผิดก็ดี เช่นนี้นางย่อมรู้สึกว่าจางเหยาน่าสงสาร มีความเห็นใจเขามากขึ้น เฉินตันจูไม่อธิบาย เพียงแค่ยิ้ม “ไม่ได้ทำให้เขาตกใจ หม่อมฉันดีกับเขาอย่างมาก ไม่เชื่อท่านไปถามเขา”
เฉินตันจูคนเดียวก็น่ากลัวเกินพอแล้ว ยังให้นางผู้เป็นองค์หญิงไปถามอีก จางเหยาคงหวาดกลัวจนเดินทางออกจากเมืองหลวงไปทันที เฉินตันจูนี้ใช้กลอุบายอีกแล้ว แต่…องค์หญิงจินเหยามองดวงตาที่สดใสของหญิงสาวตรงหน้า สองมือบีบแก้มของนางเอาไว้ “เจ้าอย่าคิดให้ข้าเป็นคนร้ายด้วย!”
ทั้งสองคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน นางในใหญ่ด้านนอกพูดขึ้นอีกครั้ง “องค์หญิง คุณหนูตันจู พวกท่านกำลังทำสิ่งใดเพคะ เสร็จแล้วหรือไม่ หม่อมฉันจะเข้าไปแล้วนะเพคะ”
เฉินตันจูดิ้นหลุดจากมือขององค์หญิงจินเหยา พูดกับด้านนอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “เสร็จแล้ว” ก่อนจะดึงองค์หญิงจินเหยาขึ้นมา “ไปเถิด ไปเถิด”
ถึงแม้ฮองเฮาอนุญาตให้องค์หญิงจินเหยาออกมาร่วมงานเลี้ยง แต่ยังคงมีกำหนดเวลา หลังจากกินดื่มแล้ว นางในใหญ่จึงเอ่ยเตือนองค์หญิงจินเหยาว่าถึงเวลาเสด็จกลับแล้ว ฮองเฮาและฮ่องเต้กำลังรออยู่
องค์หญิงจินเหยาทำได้เพียงจากไปก่อน
“ถึงแม้งานเลี้ยงครั้งนี้เป็นงานเลี้ยงที่คนน้อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยร่วมงาน” นางพูดกับคนทั้งหลายที่เดินมาส่ง “แต่เป็นครั้งที่ข้าสนุกที่สุด”
หลี่เหลียน หลิวเวย อาอวิ้น จางเหยาต่างคำนับ อาอวิ้นยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
หลังจากองค์หญิงจินเหยาจากไป หลี่เหลียนและหลิวเวยต่างนั่งต่ออีกสักพัก ลงหมากหลายกระดาน ก่อนจะขอตัวลา
เฉินตันจูส่งพวกนางจากไป ก่อนจะกลับไปพักผ่อนอย่างมีความสุข แต่ไม่นานนัก อาเถียนเข้ามาบอกว่า จางเหยากลับมา
“กลับมาตัวคนเดียวเจ้าค่ะ” อาเถียนยังพูดเตือนด้วยรอยยิ้ม
ทิ้งหลิวเวยและอาอวิ้นเอาไว้ วิ่งมาพบคุณหนูเพียงลำพัง เขาต้องการบอกสิ่งใดกับคุณหนูหรือไม่ นึกขึ้นได้ว่ารู้จักกับคุณหนูแล้วหรือไม่ มีความในใจมากมายใช่หรือไม่…
นางตั้งใจไม่ให้คนติดตาม มองดูเฉินตันจูเดินออกไปคนเดียว
จางเหยายืนรออยู่นอกอาราม เมื่อเห็นนางออกมาจึงคำนับ
“ไม่ต้องเกรงใจ” เฉินตันจูถามอย่างรีบร้อน “อย่างไร เกิดเรื่องใดขึ้น คนของตระกูลหลิวรังแกเจ้า? คนของตระกูลฉางรังแกเจ้า?”
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของนาง รวมทั้งคำถามที่ถามออกมา จางเหยารู้สึกสบายใจในสิ่งที่ตนเองต้องการถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขายิ้มขึ้นมา
“ไม่มี คนของตระกูลหลิวดีต่อข้ามาก ท่านลุงและท่านป้าตระกูลหลิวปฏิบัติต่อข้าดุจบุตรแท้ๆ เวยเวยเคารพข้าเหมือนพี่ชาย ข้ายังได้ไปพบท่านยาย ท่านยายรั้งให้ข้าอยู่ด้วยหลายวัน แต่ละวันให้คนพาข้าออกไปเที่ยวเล่น คนของตระกูลฉางต่างก็ปฏิบัติต่อข้าเสมือนพี่น้อง” เขาตอบก่อน ก่อนจะคำนับเฉินตันจูอีกครั้ง ถามขึ้นโดยตรง “คุณหนูตันจู ท่านหยิบจดหมายของข้าไปด้วยเหตุใด”
เฉินตันจูวางใจ ไม่ตอบคำถามหากแต่ถามกลับ “เหตุใดเจ้ากลับมาคนเดียว”
จางเหยาตอบอย่างซื่อตรง “ข้าบอกพวกนางว่า ข้าจะไปพบสหายตอนที่เข้าเมืองมา ไม่ได้ติดต่อเป็นเวลานาน จึงอยากไปหา เพื่อพวกเขาไม่ต้องกังวล สหายของข้าเหล่านั้นอาศัยอยู่นอกเมือง สถานที่แร้นแค้นไม่เหมาะกับการเดินทางไปของหญิงสาว เวยเวยและคุณหนูอาอวิ้นจึงกลับไปก่อน”
เขาพูดพลันยื่นมือออกมา ในมือมีถุงเงินใบหนึ่ง
“คุณหนูเวยเวยยังให้เงินข้ามา ให้ข้าไปกินดื่มกับสหาย ไม่ต้องเกรงใจ”
เฉินตันจูแสดงสีหน้าภาคภูมิใจ “เป็นหญิงสาวที่ดีเสียจริง”
จางเหยาพยักหน้า “ขอบคุณคุณหนูตันจู”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณข้าเรื่องใด”
จางเหยาพูดอย่างซื่อตรง “ขอบคุณคุณหนูตันจูที่ทำให้ข้าพบหญิงสาวที่ดีเช่นนี้อย่างสง่างาม”
ถึงแม้เขาจะปฏิบัติต่อนางไม่เหมือนเมื่ออดีตชาติ แต่จางเหยายังคงเป็นจางเหยา จิตใจปลอดโปร่ง
เฉินตันจูยิ้ม
“คุณหนูตันจู หญิงสาวที่ดีเช่นนี้ ตระกูลหลิวที่ดีเช่นนี้ ข้าไม่มีทางทำร้ายพวกเขา” จางเหยาพูดด้วยความจริงใจ “ข้าจะเคารพรักพวกเขาในฐานะบุตรและพี่ชาย ดังนั้น ท่านคืนจดหมายนั้นให้แก่ข้าเถิด”
โง่เขลาเสียจริง นางหยิบจดหมายของเขา เพราะกลัวคนของตระกูลหลิวและตระกูลฉางทำร้ายเขา
เฉินตันจูยิ้ม แต่ประโยคนี้ไม่จำเป็นต้องพูด คนของตระกูลหลิวและตระกูลฉางทำร้ายเขาเป็นเรื่องเมื่ออดีตชาติ ชาตินี้ยังไม่เกิดขึ้น ชาตินี้เขาถูกคนของตระกูลหลิวและตระกูลฉางปกป้องด้วยความกระตือรือร้น หากนางพูดสิ่งที่แปลกประหลาดออกไป จะทำให้เขาสงสัย
“ไม่ได้” เฉินตันจูยิ้มพลันส่ายหัว “เวลานี้ยังให้เจ้าไม่ได้”
จางเหยาระอา “คุณหนูตันจู…”
ถึงแม้ระอาแต่ไม่มีความหวาดกลัว เขามองนางดุจดั่งมองน้องสาวในตระกูลที่กำลังซุกซน
ไม่อาจให้เขาถือไว้ได้ ถึงแม้เวลานี้ตระกูลหลิวและตระกูลฉางดีต่อเขาอย่างมาก แต่จดหมายฉบับนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของจางเหยา ครานี้ไม่มีคนของตระกูลหลิวหรือตระกูลฉางขโมยจดหมายของเขาไป แต่หากเขาทำหายเองเล่า? ดังนั้น…
“เจ้าต้องการนำจดหมายฉบับนี้ไปมอบให้จี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนใช่หรือไม่” เฉินตันจูถาม ก่อนจะพูดเสริมขึ้น “ข้าไม่ได้อ่านจดหมายของเจ้า ข้าแค่เห็นหน้าซอง”
“เนื้อหาไม่มีสิ่งใด” จางเหยายิ้ม “อาจารย์ของท่านพ่อข้าเป็นสหายกับสวีลั่วจือซินแส อยากขอให้เขารับข้าเป็นการพิเศษ ให้ข้าได้เข้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน”
“ดังนั้น เจ้าจะไปพบสวีซินแสเมื่อใด” เฉินตันจูหยิบจดหมายออกมา “ข้าจะคืนจดหมายให้เจ้าเมื่อนั้น เจ้าจะได้ไม่ทำหาย”
ทำหาย จดหมายฉบับนี้เป็นชีวิตของเขา เขาจะทำหายได้อย่างไร จางเหยาหัวเราะ ก่อนจะพยักหน้า “ได้ ข้าคิดว่าจะไปพรุ่งนี้”
เฉินตันจูพยักหน้า “ได้ พรุ่งนี้ ข้ารอเจ้าอยู่ที่หน้าประตูกั๋วจื่อเจี้ยน”