หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ข้าไม่ปกติอย่างไรหรือ”
ชวีเหลียนซิงจนปัญญา “ปกติของการเป็นบุตรสะใภ้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ได้ยินแม่สามีตนเองชื่นชมคุณหนูอื่นก็ต้องมีความกังวลอยู่บ้างมิใช่หรือเจ้าคะ”
“กังวลอันใดหรือ”
“คงกำลังกังวลว่าพระชายาและต้าจั่งกงจู่จะชอบแม่นางตระกูลไหนเข้าน่ะสิเจ้าคะ แม้ว่าซื่อจื่อทั้งสามและคุณชายจะมีภรรยาเอกแล้ว จวิ้นจู่และซั่นจยาจวิ้นจู่ยังมีฐานะสูงส่ง แต่ด้วยชาติตระกูลของจวนเยี่ยนอ๋องและฐานะขององค์หญิงฉังผิง ต้องการหาภรรยารองให้คุณชายทั้งสี่สักคนสองคนแน่นอนว่าไม่มีใครว่าอันใด ทั้งสามคนนั้นจะไม่กังวลได้เช่นไรเจ้าคะ” ชวีเหลียนซิงเอ่ย
หนานกงมั่วถอนหายใจ “ที่แท้สตรีที่ออกเรือนแล้วไม่เพียงต้องป้องกันอนุภรรยาและคนในบ้าน ยังต้องป้องกันสตรีอื่นที่ยังไม่แต่งงานด้วยหรือ”
ชวีเหลียนซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลที่มีฐานะสูงส่งแน่นอนว่าไม่มีทางส่งสตรีจากเชื้อสายหลักมาเป็นอนุภรรยา แต่ใช่ว่าฐานะของทุกคนจะสูงส่งนี่เจ้าคะ และคงมิใช่ทุกคนที่มีจิตใจที่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีเพียงนั้นกระมัง หากพระชายาเผยความคิดอยากเลือกภรรยารองให้กับเหล่าคุณชาย คงมีคนอยากส่งคุณหนูมาให้ถึงที่จวนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
พระชายาเยี่ยนอ๋องนับว่ายังมีความเมตตาต่อลูกสะใภ้อยู่บ้าง แม้กระทั่งเยี่ยนอ๋องซื่อจื่อยังประทานเพียงอนุภรรยาให้ นอกจากอานซื่อที่อดีตฮ่องเต้ประทานมาให้ คนที่สามารถกดพระชายาซื่อจื่อได้ยังไม่เห็นมีแม้แต่คนเดียว จวิ้นจู่ยิ่งโชคดี แต่งงานมาปีกว่า ข้างกายคุณชายเว่ยแม้แต่นางข้างห้องก็ไม่มีและไม่เห็นว่าองค์หญิงฉังผิงจะว่าอย่างไร
หนานกงมั่วพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นกังวลเรื่องนี้ ข้าว่าเสด็จป้าคงไม่มีความคิดเรื่องนี้”
ชวีเหลียนซิงพยักหน้า เอ่ย “พระชายาเยี่ยนอ๋องนับว่าเป็นแม่สามีที่เข้าหาได้ง่ายเจ้าค่ะ ไม่มีการทำให้ลูกสะใภ้ต้องลำบากใจ เกรงว่าทั้งสามคนนั้นคงคิดมากเกินไป เพียงแต่ เรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องจะช้าจะเร็วเท่านั้น” ไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนคุณชายเว่ยที่มีใจรักและซื่อสัตย์ต่อซิงเฉิงจวิ้นจู่เพียงผู้เดียว
หนานกงมั่วเองก็เข้าใจหลักการนี้ เรื่องมาถึงตรงนี้นางก็ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้ เว่ยจวินมั่วรักและซื่อสัตย์ต่อนาง นางไม่มีความซาบซึ้งเพราะเรื่องนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าดวงของตนเองนั้นไม่เลว
“พี่สะใภ้” ด้านนอกมีเสียงของจูชูอวี้ดังเข้ามา หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงดังขึ้น “ซั่นจยาจวิ้นจู่เชิญเข้ามา”
จูชูอวี้ผลักประตูเปิดเข้ามา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ที่นี่ช่างเงียบสงบนัก เหล่าคุณหนูเตรียมตัวกลับกันแล้ว ต่างต้องการกล่าวลาพี่สะใภ้ก่อนเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วลุกขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็จะไปส่งทุกคน เพราะคนข้างกายข้าพวกนี้ เอาแต่บอกว่ากลัวข้าเหนื่อย เหนื่อยไม่เหนื่อยตัวข้าเองไม่รู้หรือ” ชวีเหลียนซิงยกมือขึ้นปิดปากยิ้มหัวเราะออกมา เอ่ยว่า “จวิ้นจู่คิดแต่ว่าร่างกายของตนเองไม่เหนื่อย ท่านไม่เหนื่อยคุณชายน้อยของพวกเราอาจจะเหนื่อยนะเจ้าคะ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ไม่แน่อาจจะเป็นลูกสาวก็ได้”
ชวีเหลียนซิงเอ่ย “เช่นนั้นก็ดีสิเจ้าคะ คลอดคุณหนูน้อยมาก่อน ยังมีคุณชายน้อยตามมา พอดีกลายเป็นตัวอักษรจีนคำว่า ดี[1]นะเจ้าคะ”
หนานกงมั่วลูบหน้าท้อง ถอนหายใจ “หากสามารถให้กำเนิดมาพร้อมกันในครรภ์เดียวได้ก็คงดี นี่ทำไม่ได้นั่นก็ทำไม่ได้…ความจริงมีคนเดียวก็ไม่เลวนะ” เป็นเกียรติของลูกคนเดียว
ชวีเหลียนซิงมองจวิ้นจู่ของตนด้วยสายตาแปลกประหลาด ส่งสายตาให้นางเป็นเชิงว่า ท่านคิดว่าจะเป็นไปได้จริงๆ หรือ
จูชูอวี้มองทั้งสองคน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รอบกายพี่สะใภ้มีแต่คนมีความสามารถเหลือล้ำ แม่นางชวีช่างฉลาด แม่นางหลิ่ววรยุทธ์สูงส่ง หมิงฉินและจือซูต่างมีความถนัดเป็นของตนเอง ไม่เหมือนข้างกายข้ามีเพียงคนโง่เขลาไม่กี่คน” ชวีเหลียนซิงยิ้มบางๆ ไม่เก็บมาใส่ใจ “ซั่นจยาจวิ้นจู่ชมเกินไปแล้ว เหลียนซิงคงรับไว้ไม่ไหวเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วเอ่ย “ข้างกายของซั่นจยาจวิ้นจู่เองก็ไม่ธรรมดา เจ้าเอ่ยเช่นนี้พวกนางจะไม่เสียใจหรือ พวกเราไปกันเถิด”
จูชูอวี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เก็บบทสนทนาลงไปไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
“จวิ้นจู่” หลิ่วในชุดสีดำเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เดินมาหยุดอยู่ด้านข้างหนานกงมั่วกระซิบที่ข้างหูเบาๆ เพียงไม่กี่ประโยค ใบหน้าของหนานกงมั่วฉายแววตกใจเล็กน้อย ไม่นานใบหน้าพลันมีรอยยิ้มกลับมา สาวเท้าไวออกไปด้านนอก
จูชูอวี้ย่นคิ้ว สาวเท้าเดินตามหลังนางออกไปอย่างรวดเร็ว
หนานกงมั่วไม่ได้เดินตรงไปหาเหล่าคุณหนูที่เรือนหน้า ทว่าเดินผ่านประตูด้านข้างตรงไปที่สวนดอกไม้เล็กๆ กลางบ้านแทน ที่นี่ไม่มีใครอยู่ ยามนี้เป็นฤดูหนาวสวนดอกไม้ไม่มีอันใดให้ดู เพียงมองเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า อยู่ในชุดสีครามพริ้วไสวไปกับสายลมหนาว ยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าสวน เส้นผมยาวดุจปุยเมฆถูกลมหนาวพัดขึ้น ประดุจดั่งภาพเขียนน้ำหมึกที่เงียบสงบที่สุดในโลกภาพหนึ่ง
เท้าของหนานกงมั่วหยุดชะงักชั่วครู่ รู้สึกแสบในจมูกขึ้นมาทันใด
ชายหนุ่มหันกลับมา ดวงตาสีม่วงนุ่มลึกจ้องมองมายังหนานกงมั่วที่ยืนอยู่หน้าประตู เอ่ยเสียงเบา “อู๋สยา ข้ากลับมาแล้ว”
จูชูอวี้มองทั้งสองคนที่ยืนกอดกันอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ใบหน้าเรียบนิ่งเช่นปกติ แต่ชวีเหลียนซิงที่ยืนอยู่ข้างนางสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ไม่ดีนัก นึกถึงเรื่องราวที่ถูกเล่าลือในจินหลิง ใบหน้างามของชวีเหลียนซิงปรากฏรอยยิ้มร้ายขึ้นมา
“คุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสม พระชายาซุ่นอี้จวิ้นอ๋อง ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
จูชูอวี้หันมา มองชวีเหลียนซิงเล็กน้อยไม่เอ่ยสิ่งใด แม้ว่านางจะแต่งกับเซียวเชียนเหว่ยมาหลายเดือนแล้ว เซียวเชียนเหว่ยถูกเซียวเชียนเยี่ยแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง แต่คนในจวนเยี่ยนอ๋องยังคงชอบเรียกนางว่าซั่นจยาจวิ้นจู่ อย่างเช่นที่ทุกคนเรียกซุนเหยียนเอ๋อร์ว่าฮูหยินน้อยสาม ไม่ว่าเยี่ยนอ๋องหรือพระชายาเยี่ยนอ๋อง เห็นชัดว่าไม่คาดหวังให้การแต่งตั้งจวิ้นอ๋องของคุณชายทั้งสองนำมาซึ่งผลกระทบที่ใหญ่หลวง ส่วนชวีเหลียนซิง…
“แม่นางชวีเอ่ยถูกแล้ว” จูชูอวี้ยกยิ้มมุมปาก เอ่ย “ได้ยินมาว่าเมื่อครั้งนั้นท่านกัวเองก็มีความรักลึกซึ้งต่อแม่นางชวี เพียงแต่น่าเสียดาย…”
ชวีเหลียนซิงสีหน้าทะมึนขึ้นมา รอยยิ้มเย็นยะเยือกขึ้น “คาดไม่ถึงว่าซั่นจยาจวิ้นจู่จะสืบเรื่องราวของสาวใช้ตัวเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาอย่างเหลียนซิงละเอียดเพียงนี้ คงต้องน้อมรับคำสอนจากท่านแล้ว เพียงแต่…ความแค้นที่สามีจากไป ชวีเหลียนซิงจะจดจำเอาไว้ในใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน”
การปะทะกันหนึ่งยก ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใคร จูชูอวี้หันกลับไปมองสองคนที่ยืนอยู่ไกลออกไป ดวงตามีความอิจฉาและอ้างว้างขึ้นมา “ดูเหมือนตอนนี้ซิงเฉิงจวิ้นจู่จะไม่ว่างแล้ว พวกเรากลับเรือนหน้ากันก่อนเถิด”
หนานกงมั่วอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของเว่ยจวินมั่วเงียบๆ ร่างกายที่เต็มไปด้วยฝุ่นของคนเพิ่งกลับมานั้นยังมีความรู้สึกเหน็บหนาวอยู่บ้าง
“อู๋สยา ข้ากลับมาช้าแล้ว” เว่ยจวินมั่วก้มลงมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมอก เอ่ยเสียงเบา
หนานกงมั่วยิ้มหวาน เงยหน้าขึ้นไปมองเขา “เรื่องในสนามรบ ไหนเลยจะตัดสินใจคนเดียวได้ กลับมาเร็วกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้มากเสียอีก”
เว่ยจวินมั่วมองหน้าท้องที่ถูกซ่อนอยู่ในผ้าคลุม ใบหน้ามีความลังเลอย่างยากจะได้เห็น
หนานกงมั่วจับมือของเขามาวางไว้ที่หน้าท้องของตน ยามนี้เป็นฤดูหนาว ร่างกายของหนานกงมั่วผอมเพรียวดูไม่ออกนัก แต่เมื่อสัมผัสพลันรู้สึกได้อย่างชัดเจน รู้สึกได้ว่ามือของคนตรงหน้าเกร็งขึ้น มองใบหน้าเฉยชานั้นอีกครั้งหนานกงมั่วมองเห็นถึงท่าทีทำตัวไม่ถูก
“รู้สึกถึงลูกดิ้นได้แล้ว”
ดวงตาสีม่วงมีความตื่นเต้นและระมัดระวัง น่าเสียดายที่ลูกไม่ไว้หน้านัก เนิ่นนานยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวแม้เพียงนิด คุณชายเว่ยจึงต้องดึงมือกลับด้วยความเสียดาย ยื่นมือไปกระชับเสื้อคลุมของนางอย่างระมัดระวัง เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเบา “รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
[1] ดี ในภาษาจีน คือตัวอักษร 好 ซึ่งเป็นการผสมกันระหว่าง 女 แปลว่าผู้หญิงหรือลูกสาว และ 子 ที่แปลว่าลูกชาย เมื่อมีทั้งลูกสาวและลูกชายจึงนับว่ามีพร้อม ถือเป็นเรื่องที่ดี