ตอนนี้ในห้องโถงบุปผาของจวนหลัวที่ตรอกกงเสียนกำลังร่ำสุราฉลอง บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมาก
สกุลหวังจวนเม่ากั๋วกงได้ส่งผู้ดูแลมาบอกว่าหวังหลังเป็นไข้ไม่สบาย สือเหนียงต้องคอยดูแลสามี ทั้งสองไม่สามารถมาอวยพรตรุษจีนให้นายท่านใหญ่ได้
เมื่อนายท่านใหญ่ได้ฟังกลับไม่คิดเช่นนั้น เขารู้สึกผ่อนคลายที่ได้ดื่มฉลองกับบุตรชายและบุตรเขยอย่างเบิกบานใจ จนถึงต้นยามเว่ยก็ยังไม่เลิกรา คุณนายใหญ่ให้คุณนายสี่พาอู่เหนียงกับสืออีเหนียงแยกออกไปดื่มชา ทานขนม และพูดคุยกันที่เรือนหน่วนเก๋อ ส่วนตัวเองพาป้าหังไปเตรียมอาหารที่ห้องครัว
อู่เหนียงรีบหาข้ออ้างอยากจะไปดูเสื้อผ้าที่อี๋เหนียงสามทำให้บุตรของตัวเองที่ยังไม่ได้เกิดมา พาคุณนายสี่ไปที่เรือนอี๋เหนียงสาม สืออีเหนียงก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน กำชับให้หู่พั่วกับตงชิงอยู่ดูแลสวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ ส่วนตัวเองไปหาอี๋เหนียงห้า
คนที่มาต้อนรับเป็นอี๋เหนียงหก
นางไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เห็นสืออีเหนียง สืออีเหนียงก็ไม่แปลกใจที่ได้พบนางเช่นกัน
ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม
สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “ข้าเห็นว่าอี๋เหนียงห้าไม่มีคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเลยรู้สึกกังวลเล็กน้อยจึงตั้งใจมาดูเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงหกยิ้มแล้วพูดว่า “สาวใช้พวกนั้นทำอะไรไม่ได้เรื่อง ให้ข้าดูแลเองจะเหมาะสมกว่า”
“เช่นนั้นก็คงต้องรบกวนอี๋เหนียงหกแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้อง
อี๋เหนียงห้ากำลังเอนตัวพิงหมอนอิงอยู่บนเตียง สีหน้าดูอ่อนล้าเล็กน้อย ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงเอ่ยถาม “ใคร” ทันทีที่นางพูดจบก็เห็นบุตรสาวเดินเข้ามา จึงรีบลุกขึ้นนั่งสวมเสื้อคลุมพลางพูดว่า “เหตุใดคุณหนูสิบเอ็ดจึงมาที่นี่ได้ วันนี้เป็นวันฉลองของพวกเจ้า เจ้ามาหาข้าที่นี่นายหญิงใหญ่รู้หรือไม่ คุณนายใหญ่กับคุณหนูห้าเล่ากำลังทำอะไรอยู่”
สืออีเหนียงรู้ว่านางกลัวว่าตัวเองจะทำผิดพลาดจนทำให้คนอื่นกล่าวโทษได้ จึงรีบเดินเข้าไปนั่งข้างเตียง ห้ามไม่ให้อี๋เหนียงห้าลุกขึ้น “อี๋เหนียงรีบพักผ่อนเถิด นายหญิงใหญ่หลับแล้ว คุณนายใหญ่อยู่ที่ห้องโถงบุปผา ข้าเห็นคุณหนูห้าพาคุณนายสี่ไปที่เรือนอี๋เหนียงสาม ข้าจึงมาหาท่านที่นี่”
นางบอกถึงความเคลื่อนไหวของทุกคน
“แล้วใครเป็นคนดูแลคุณชายน้อย”
“หู่พั่วกับตงชิงอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงห้าถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ท่านทานข้าวหรือยัง” สืออีเหนียงไม่รู้ว่านางตั้งครรภ์มากี่เดือนแล้ว จึงถามอี๋เหนียงห้าเป็นนัยๆ แต่ตากลับมองไปที่อี๋เหนียงหก
“พึ่งจะสองเดือน เป็นช่วงที่ไม่สบายพอดี ตอนเช้าตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้พึ่งจะทานโจ๊กไปแค่ชามเดียว” อี๋เหนียงหกพูดอย่างมีความหมายแอบแฝงว่า “ข้าไปช่วยหาหมอตำแยมาดูก็แล้ว ไปพาหมอมาตรวจชีพจรก็แล้ว แต่ตอนนั้นผลยังไม่แน่นอนจึงไม่กล้าพูดออกไป”
สืออีเหนียงพยักหน้า
“ข้าไม่เป็นไร” อี๋เหนียงห้าหน้าแดงเล็กน้อย “เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถิด ที่นี่มีน้องหญิงหกคอยดูแลข้าอยู่”
หากไม่มีอะไรจริงๆ อี๋เหนียงห้าก็คงไม่รู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้!
ขณะที่สืออีเหนียงกำลังครุ่นคิด อี๋เหนียงหกก็เอ่ยขึ้นพร้อมส่งสายตา “คุณหนูสิบเอ็ดนั่งอยู่เป็นเพื่อนพี่หญิงห้าสักหน่อยเถิด ข้าจะไปชงชา”
พูดพลางลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป ซ้ำยังช่วยปิดประตูให้พวกนางเป็นอย่างดี
สีหน้าของอี๋เหนียงห้าดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น นางมองสืออีเหนียงอย่างละเอียด “คุณหนูสบายดีหรือไม่ หลายวันก่อนข้าได้ยินมาว่าท่านโหวพาเด็กคนหนึ่งเข้าจวน ข้าเป็นห่วงทั้งวันทั้งคืน วันนี้ได้เห็นเด็กคนนั้น ดูแล้วเขาคงจะติดเจ้าเป็นอย่างมาก ข้าจึงได้วางใจ” นางพูดช้าลงเรื่อยๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างลังเลว่า “เดิมทีข้าไม่ควรเป็นคนพูดคำพูดนี้ เพียงแต่ข้าเห็นว่าคุณหนูเป็นคนจิตใจดี เด็กคนนั้นก็น่าสงสาร คุณหนูต้องใจดีกับเขาให้มากๆ พระโพธิสัตว์กล่าวว่าการช่วยชีวิตคนก็เหมือนกับการสร้างหอคอยพระพุทธรูปเจ็ดชั้น เมื่อเจ้าสร้างกรรมดี ผลบุญนั้นก็จะบังเกิดแก่เจ้า”
สืออีเหนียงพยักหน้า “อี๋เหนียงวางใจเถิด ข้าจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนที่ปฏิบัติต่ออวี้เกอ”
“คุณหนูคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว” คิ้วของอี๋เหนียงห้าเผยให้เห็นความกลัดกลุ้มเล็กน้อย “เด็กน้อยล้วนไม่รู้จักความ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็นับเป็นความผิดของผู้ใหญ่ เจ้าจงอย่าเกลียดชังเด็กคนนี้เพราะเรื่องของท่านโหว เจ้าให้ที่ทานที่อาศัย ช่วยดูแลเขา เมื่อเขาโตขึ้นจนรู้ความแล้วเขาก็จะทดแทนบุญคุณเจ้า”
ยังกังวลว่านางจะมีปมในใจ คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่สวีลิ่งอี๋มีเรือนนอก
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “อี๋เหนียง สิ่งที่ท่านพูดข้าเข้าใจทุกอย่าง พูดตามตรงตอนที่ท่านโหวเกิดเรื่องเช่นนี้ อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้ถ้าหากพี่หญิงใหญ่ยังอยู่ก็คงไม่ทะเลาะกับท่านโหวเพราะเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นที่ข้าเมตตาเด็กคนนี้ก็ไม่ได้ต้องการให้เขามาตอบแทนบุญคุณข้า ข้าแค่อาศัยมโนธรรมในการทำความดีจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น” พูดพลางยิ้มอย่างสบายใจ
อี๋เหนียงห้านั้นเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ “คุณหนูรอบคอบกว่าที่ข้าคิดมาตลอด เป็นข้าที่คิดมากไปเอง”
เดิมทีสืออีเหนียงก็ไม่ได้มาเพื่อพูดเรื่องนี้ เมื่อเห็นว่าอี๋เหนียงห้าวางใจได้แล้วจึงยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “อี๋เหนียงตั้งครรภ์เหตุใดจึงไม่เอ่ยบอกข้าสักคำล่ะเจ้าคะ ทำเอาข้าเป็นกังวล”
อี๋เหนียงห้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย “นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร…ข้าเองก็อายุมากแล้ว…”
“จะไม่ใช่เรื่องดีได้อย่างไร!” สืออีเหนียงยิ้มพลางตัดบทอี๋เหนียงห้า “ท่านลองคิดดูสิ หากท่านให้กำเนิดบุตรสาว ข้าก็จะมีน้องสาวร่วมท้องแล้ว ต่อไปนี้สองพี่น้องก็ดูแลซึ่งกันและกัน ก็จะได้ไม่เหงา หากท่านให้กำเนิดบุตรชาย ชีวิตต่อจากนี้ก็จะมีที่พึ่ง ข้าก็วางใจได้ นี่จะไม่ใช่เรื่องดีได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
นางรู้ว่าอี๋เหนียงห้าเป็นห่วงนางมากที่สุดจึงได้ยกผลประโยชน์ของตัวเองขึ้นมาพูด หวังว่าอี๋เหนียงห้าจะรวบรวมความกล้าให้กำเนิดเด็กคนนี้ออกมา
อี๋เหนียงห้าตาเป็นประกาย “เจ้า เจ้าอยากมีพี่น้องร่วมท้องอย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มพลางช่วยนางจัดผ้าห่ม “ข้าเห็นพี่หญิงห้ากับน้องสี่แล้วรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก”
อี๋เหนียงห้ามองนางแล้วยิ้ม ดวงตางดงามราวกับดอกบัวขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องที่บานสะพรั่ง
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็อิจฉาเป็นอย่างมาก นางหยิบกระจกขึ้นมาแล้วยื่นไปไว้ข้างๆ ใบหน้าของอี๋เหนียงห้า สืออีเหนียงส่องกระจกไปพลางบ่นไปพลางว่า “เหตุใดข้าถึงไม่งามเท่าอี๋เหนียงเล่า!”
ความร่าเริงของนางทำให้อี๋เหนียงห้าประหลาดใจและดีใจเป็นอย่างมาก ยิ้มพลางกอดสืออีเหนียง “คุณหนูนั้นงดงามกว่าข้าเสียอีก ข้าไม่เห็นจะสวยเลยสักนิด” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย
สืออีเหนียงหยอกล้อนาง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หากข้ามีบุตรสาวหน้าตางดงามอย่างอี๋เหนียงจะดีแค่ไหนกันนะ!”
เมื่ออี๋เหนียงห้าได้ฟังก็ตกใจ มองท้องนางแล้วพูดอย่างลังเลว่า “คุณหนู…”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” สืออีเหนียงส่ายหน้า “ข้าแค่ลองคิดเช่นนี้เฉยๆ”
อี๋เหนียงห้าถอนหายใจยาว ยิ้มแล้วพูดว่า “มีบุตรชายจะดีกว่า” จากนั้นก็ลูบที่ผมของนาง “เมื่อให้กำเนิดบุตรชายเจ้าก็จะสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในสกุลสวี…ทางที่ดีบุตรชายควรจะท่าทางเหมือนบิดา ท่านโหวเห็นจะได้รักและเอ็นดู…ข้าเคยเห็นท่านโหวจากที่ไกลๆ อยู่ครู่หนึ่ง รูปร่างหน้าตาดี เมื่อถึงเวลานั้นบุตรของเจ้าจะต้องเป็นที่รักใคร่อย่างแน่นอน…”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นก็มีเสียงคนกระแอมไอดังผ่านประตูเข้ามา
อี๋เหนียงห้าสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันที “ใครกัน”
สืออีเหนียงมองแล้วส่ายหัวอย่างอดไม่ได้
หากเป็นกังวลขนาดนี้แล้วจะคลอดลูกออกมาให้แข็งแรงได้อย่างไร
ด้านนอกมีเสียงหัวเราะของอี๋เหนียงหกดังขึ้น “พี่หญิงห้า ข้าเอง” พูดพลางผลักประตูเข้ามา
เมื่ออี๋เหนียงห้าเห็นว่าเป็นอี๋เหนียงหก แม้ใบหน้าจะเปื้อนด้วยรอยยิ้ม แต่ท่าทางกลับไม่ได้ดูผ่อนคลายมากนัก
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นจึงเข้าไปรับชามาจากอี๋เหนียงหก
พูดคุยกับอี๋เหนียงห้าสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวลา “อีกสองวันข้าจะมาเยี่ยมอี๋เหนียงอีก”
พรุ่งนี้เป็นวันที่สาม เป็นวันที่เด็กๆ จะต้องมาอวยพรตรุษจีนให้กับบรรดาท่านอา แต่ไท่ฮูหยินไม่มีน้องชายร่วมท้อง บวกกับระยะทางที่ห่างไกล จึงสามารถหาช่องว่างให้สวีซื่ออวี้ จุนเกอ และสวีซื่อเจี้ยได้มาอยู่กับหลัวเจิ้นซิ่งและหลัวเจิ้นเซิง เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ต้องปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ก่อน จนถึงเวลานี้ก็ยังหาวันที่เหมาะสมไม่ได้ นางเองจึงพูดอย่างคลุมเครือว่า ‘ประมาณสองวัน’
“ที่นี่ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เจ้าไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมข้า” อี๋เหนียงห้าลุกขึ้นส่งนาง “ตรุษจีนนี้ท่านโหวมีแขกมาเยี่ยมเยียนมากมาย เจ้าอย่าให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้มาทำให้ไท่ฮูหยินกับท่านโหวไม่พอใจ”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองพูดแล้วจะเป็นไปตามนั้น สืออีเหนียงไม่อยากรับปาก จึงเพียงแค่ยิ้มตอบรับ แล้วให้อี๋เหนียงหกเป็นคนไปส่งนาง “…ข้างนอกอากาศหนาว อี๋เหนียงต้องพักผ่อนให้มากๆ ให้อี๋เหนียงหกเป็นคนส่งข้าก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงห้าเองก็คงไม่อยากออกไปข้างนอก จึงมาส่งนางที่ประตู มองดูอี๋เหนียงหกพาสืออีเหนียงเดินจากห้องหลักไปที่ห้องรองแล้วเลี้ยวไปที่ลานหลักจนลับตาไป จากนั้นจึงได้หันหลังกลับ
สืออีเหนียงกับอี๋เหนียงหกเดินไปพลางพูดคุยกันไปตลอดทาง “น้องหญิงสิบสองยิ่งโตก็ยิ่งสะสวย ท่าทางใจกว้าง ใครเห็นต่างก็ชื่นชอบ รออีกไม่กี่วันเมื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว ข้าจะมาบอกพี่สะใภ้ให้พาไปเล่นที่เรือนข้า”
ใจหนึ่งนางก็อยากจะพูดคุยเรื่องเงื่อนไขกับอี๋เหนียงหก อีกใจหนึ่งก็หวังว่าจะสามารถสร้างโอกาสให้กับสือเอ้อร์เหนียงได้
อย่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่อยากทำ
รสชาติของการสูญเสีย ความหวาดกลัว และความกังวลจนนอนไม่หลับในตอนนั้นนางยังจดจำมันได้ดี
มีความปิติยินดีสื่อออกมาจากอี๋เหนียงหก ใบหน้าของนางกลับมามีรอยยิ้มเล็กน้อย ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “ขอบคุณคุณหนู คิดถึงตอนนั้นที่คุณหนูสิบสองกับคุณหนูอยู่ด้วยกัน ข้าก็ย้ำกับนางว่าคุณหนูสิบเอ็ดเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในจวนเรา หากเจ้าไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ให้เรียนรู้จากคุณหนูสิบเอ็ดโดยตรง…”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
นางนึกถึงตอนที่สือเหนียงที่อาศัยอยู่ด้านบนหอแล้วเอาแต่เอะอะทุบข้าวของ แต่ห้องของสือเอ้อร์เหนียงกลับเงียบสงัดอย่างน่าประหลาดใจ
******
ระหว่างทางที่นั่งรถม้ากลับ สืออีเหนียงเท้าคางแล้วถอนหายใจ “พรุ่งนี้ข้าอยากจะไปเยี่ยมอี๋เหนียงอีก”
สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “ข้าจะไปบอกท่านแม่ว่าพรุ่งนี้เจ้าจะพาเด็กๆ ไปอวยพรตรุษจีนให้กับเจิ้นซิ่งที่ตรอกกงเสียนให้”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านโหว!” สืออีเหนียงกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
สวีลิ่งอี๋ลูบคางพลางพูดว่า “ดูแล้วท่าทางพ่อตาจะดีใจมาก”
“ข้าก็ดีใจเช่นกัน” สืออีเหนียงยิ้มพลางคิดว่า จะทำชุดให้อี๋เหนียงห้าสักสองสามชุดดีหรือไม่ พรุ่งนี้ต้องเอายาสมุนไพรอะไรไปเยี่ยมอี๋เหนียงหรือไม่ แล้วก็ควรจะเตรียมเงินไปด้วยสักหน่อย…คิดไปคิดมาจนมาถึงเหอฮวาหลี่
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินว่าอี๋เหนียงห้าตั้งครรภ์ก็ดีใจเป็นอย่างมาก “การที่เพิ่มสมาชิกให้บ้านสามีนับว่าเป็นเรื่องที่ดี”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งควนกับฮูหยินห้ากลับมานานแล้ว ฮูหยินห้ากำลังนั่งถือจานทานผลผิงกั่วอยู่ข้างๆ ไท่ฮูหยิน เมื่อได้ยินว่าอี๋เหนียงห้าตั้งครรภ์ก็เบิกตากว้าง “อี๋เหนียงของท่านต้องสวยมากแน่ๆ ”
ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ หากคิดอย่างถี่ถ้วนกลับรู้สึกว่าเหมือนนางจะบอกว่าอี๋เหนียงใช้รูปลักษณ์เข้าหาท่านพ่อ
แต่สืออีเหนียงไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะอี๋เหนียงห้าเองก็สวยมากจริงๆ
สวีลิ่งควนที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ฟังคำพูดเสียดสีก็ขมวดคิ้ว อยากจะตักเตือนภรรยา แต่เห็นว่าท่านแม่และพี่ชายล้วนอยู่ที่นี่กันหมด จึงไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะพูด ขยับมุมปากเพียงเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ฮูหยินห้าที่เหลือบมองสามีรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย
เจ้าหมอนี่เข้าข้างสืออีเหนียงอย่างที่ตนคาดไว้จริงๆ ด้วย
ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะพูดถูก!
ส่วนสวีลิ่งอี๋ที่นั่งถัดจากไท่ฮูหยินฟังแล้วก็รู้สึกว่าวันนี้น้องสะใภ้พูดจาไม่เหมาะสม ยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าว่าพรุ่งนี้ให้สืออีเหนียงนำยาสมุนไพรกับสายวัดตัวไปที่ตรอกกงเสียนดีหรือไม่ ไปเยี่ยมอี๋เหนียงสักหน่อย”