ตอนที่ 167 โอกาสในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน การมาถึงของเซียนกระบี่!
แล้วในช่วงเวลาต่อมา ข่าวเรื่องการเปิดแดนลับธุลีสีชาดก็ถูกพูดถึงไปจนทั่วทั้งแคว้นเซียนราวกับไฟป่าที่ลุกลาม ส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนระอุไปทั่ว!
“ได้ยินหรือยัง ภายในแคว้นเซียนปรากฏแดนลับขึ้นเรียกว่า แดนลับธุลีสีชาด!”
“แดนลับธุลีสีชาดนี้ไม่ง่ายเลย ว่ากันว่าเป็นดินแดนที่เซียนธุลีสีชาดผู้แข็งแกร่งสิ้นชีพลงอย่างแท้จริง!”
“หึ! ดินแดนที่เซียนธุลีสีชาดสิ้นชีพ เช่นนั้นก็หมายความว่าภายในนั้นจะต้องมีสมบัติเซียนมากมายมิใช่รึ?”
“แน่นอน! ใคร ๆ ก็รู้ว่ากว่าแสนปีมานี้ ภายในแคว้นเซียนแห่งแคว้นทั้งเก้าไม่มีผู้ใดประสบความสำเร็จในการเป็นเซียนธุลีสีชาดเลย ได้ยินมาว่าเซียนธุลีสีชาดก็คือปรมาจารย์ตำหนักเซียนที่สร้างตำหนักเซียนขึ้นมา!”
“ฮ่า ๆ! รีบไปยังแดนลับธุลีสีชาดเถอะ หากได้รับสมบัติเซียนภายในนั้นมาได้ก็จะสามารถพัฒนาได้แล้ว!”
“เจ้าช่างฝันหวานเกินไปแล้ว หนึ่งตำหนัก สามขุนเขา ห้าพรรค แปดสำนัก กองกำลังชั้นหนึ่งแห่งแคว้นเซียนล้วนไปที่แดนลับธุลีสีชาด หากมีพวกเขาอยู่ สมบัติเซียนจะมีส่วนที่เป็นของพวกเราได้เช่นไร!”
“หึ จะอยู่หรือตายก็มีอยู่สองทางเดิน หากอยากได้ก็ต้องยอมเสี่ยง!”
“…”
ทั่วทั้งแคว้นเซียนกำลังเดือดพล่านราวกับไฟลามทุ่ง แล้วในวันนี้ก็มาถึง วันที่จะต้องเปิดแดนลับธุลีสีชาดแล้ว!
แดนลับธุลีสีชาดตั้งอยู่ใจกลางของแคว้นเซียน อยู่บนเทือกเขาอันไร้ขอบเขต ภูเขาขนาดใหญ่ในพื้นที่แห่งนี้เชื่อมต่อกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต้นไม้ใหญ่โบราณสูงเสียดฟ้า เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังลั่นไปทั่วผืนพสุธา ดูเก่าแก่มาก!
และภายในหุบเขาแห่งนี้ก็มีประตูแสงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ ภายในประตูแสงมีคลื่นพลังไร้เทียมทานกระเพื่อมไปทั่วทุกทิศทางเป็นระลอก ๆ ซ้ำยังมีเส้นทางที่ดูคลุมเครือ พลังปราณแห่งแดนลับธุลีสีชาดที่พัดไปมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้!
ในเวลานี้ ทั่วทั้งตลอดแนวของหุบเขา ไม่ว่าจะเป็นผืนฟ้าหรือผืนดิน หรือท่ามกลางเหล่าขุนเขาทั่วทุกที่ ล้วนเต็มไปด้วยร่างของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ มีกองกำลังชั้นสาม กองกำลังชั้นสอง รวมถึงเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ไร้สำนักมากมาย ประมาณโดยคร่าว ๆ คือแปดล้านคน พร้อมด้วยลำแสงที่มาจากทุกทิศทาง จำนวนของผู้คนก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ!
ท้ายที่สุด เมื่อผู้คนรวมตัวกันถึงล้านคน ภายในหุบเขาก็เกิดความวุ่นวายขึ้นในทันที!
“ดูนั่นเร็ว! เหล่ากองกำลังชั้นหนึ่งบางกลุ่มมาถึงแล้ว!”
ตอนนี้สายตาของทุกคนในที่แห่งนี้ ล้วนจ้องมองไปยังขอบฟ้าโดยมิได้นัดหมาย!
ที่ปลายขอบฟ้านั้นเต็มไปด้วยกึ่งเซียนที่น่าเกรงขาม คนกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปยังหุบเขาอย่างรวดภายในชั่วพริบตาเดียว!
เห็นเพียงพวกคนเหล่านี้ที่นำโดยกึ่งเซียนทั้งสามคน ผู้คนที่อยู่ข้างหลังล้วนอยู่ในชุดคลุมสีเดียวกัน ชุดคลุมพวกนั้นล้วนปักด้วยรูปของพระราชวังเมฆหมอก!
“เป็นคนของตำหนักเซียน!”
ในเวลานี้ สายตาของทุกคนเปี่ยมไปด้วยความเกรงกลัว!
ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ว่าตำหนักเซียนเป็นกองกำลังชั้นหนึ่ง และได้ชื่อว่าเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งมากที่สุดในแคว้นเซียน!
โดยปกติแล้ว ทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียนมักจะทำตัวลึกลับไม่ค่อยให้ผู้ใดพบเห็น แต่ในวันนี้เพียงชั่วพริบตา เหล่าตำหนักเซียนผู้แข็งแกร่งก็มากันมากมาย ซ้ำยังมีเจ้าตำหนักด้วย ส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนไม่น้อย!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ความตกใจจากการมาถึงของเหล่าผู้คนแห่งตำหนักเซียนยังคงไม่จางหายไป แต่แล้ว ณ ท้องฟ้าที่ห่างไกลก็เกิดพลังปราณอันน่าเกรงขามทั้งสามดวงขึ้น
ทั้งสามฝ่ายนี้มาจากสามทิศทางที่แตกต่างกัน พลังที่พัวพันกันนี้ราวกับทำให้เกิดหุบเขาเซียนทั้งสามรูปแบบ และพวกเขาก็พุ่งมาที่นี่ในไม่ช้า!
“นี่มัน…! ขุนเขาทั้งสาม อันได้แก่ ขุนเขาหมื่นกัปกัลป์ ขุนเขาม่านหมอก และขุนเขาพุทธจิต!”
ด้วยเสียงพูดคุยดังวุ่นวายของผู้คน ตัวตนของคนทั้งสามคนก็ถูกเปิดเผยในทันที!
ขุนเขาหมื่นกัปกัลป์ นำมาโดยชายในชุดเกราะวัยกลางคนที่ทั่วทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยสายฟ้า และพลังการฝึกฝนของเขาก็อยู่ในกึ่งเซียนก้าวที่เจ็ด ขณะที่ผู้ฝึกยุทธ์แห่งขุนเขาหมื่นกัปกัลป์ซึ่งอยู่ด้านหลัง ก็ล้วนแต่เปล่งประกายด้วยแสงของสายฟ้า นับว่าเป็นพลังการฝึกฝนอันหาที่เปรียบมิได้!
ขุนเขาม่านหมอกเป็นผู้หญิงทั้งหมด บางคนฉลาด บางคนเย็นชาและหยิ่งยโส ทว่าพลังการฝึกฝนหาได้อ่อนแอไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำหญิงที่เป็นวัยกลางคน นางแต่งกายด้วยชุดพระราชวัง ผิวที่มีอายุแต่ยังคงดูดีมีเสน่ห์ ทั่วทั้งร่างกายของนางก็ปลดปล่อยพลังกึ่งเซียนก้าวที่เจ็ดออกมาเช่นเดียวกัน!
และสุดท้ายก็คือ ขุนเขาพุทธจิต พวกเขาเป็นกลุ่มพระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง แต่ละคนพนมมือราวกับกำลังแผ่เมตตา โดยมีเจ้าขุนเขากึ่งเซียนก้าวที่เจ็ดเป็นผู้นำ!
ด้วยการมาถึงของทั้งสาม สถานที่แห่งนี้ก็บังเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง!
และหลังจากนั้น พรรคทั้งห้า ได้แก่ พรรคเมฆาคราม พรรคเมฆาม่วง พรรคเซียนโบยบิน พรรคเทพสงคราม พรรคปีศาจสวรรค์ ทั้งหมดค่อย ๆ ทยอยตามมา ล้วนทำให้เกิดเสียงดังเพิ่มมากขึ้น!
แม้แต่สำนักเซียนยุทธ์ สำนักเซียนวิถีสวรรค์ สำนักปีศาจโบราณ สำนักโลกใต้พิภพ สำนักญาณเซียน สำนักปีศาจเมฆา สำนักเทพตะวัน ทั้งเจ็ดสำนักก็มาถึงแล้ว ขาดก็แต่เหล่าผู้นำกึ่งเซียน เห็นได้ชัดว่ากองกำลังชั้นหนึ่งเหล่านี้อ่อนแอกว่าสามขุนเขาห้าพรรค!
และเหนือขุนเขาแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ประชุมของเหล่ากึ่งเซียนผู้แข็งแกร่ง!
“ท่านเจ้าขุนเขาทั้งสาม!”
“ท่านเจ้าขุนเขาหมื่นกัปกัลป์!”
“ท่านเจ้าขุนเขาม่านหมอก!”
“ท่านเจ้าขุนเขาพุทธจิต!”
“ท่านผู้นำพรรคเมฆาคราม!”
“ท่านผู้นำพรรคเมฆาม่วง!”
“ท่านผู้นำพรรคเซียนโบยบิน!”
“ท่านผู้นำพรรคเทพสงคราม!”
“ท่านผู้นำพรรคปีศาจสวรรค์!”
“สหายเต๋าเฟิงหลิน!”
“สหายเต๋าอวิ๋นหัว!”
“สหายเต๋าเหยียนจุน!”
กึ่งเซียนรวมกันได้สิบสี่คน ทุกคนต่างทักทายกันและกัน ทว่าเมื่อมองไปรอบ ๆ ฝูงชนต่างก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น
“หืม? หากจะเปิดแดนลับธุลีสีชาดนี้ได้ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใช้กึ่งเซียนผู้แข็งแกร่งถึงยี่สิบคน แต่ตอนนี้พันธมิตรของพวกเรามีเพียงแค่สิบสี่คน ควรทำเช่นไรดี?”
ได้ยินเช่นนั้นแล้ว เจ้าแห่งตำหนักเซียนอย่างเยี่ยฉิงชางก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ข้าได้แจ้งกับสำนักเซียนกระบี่เอาไว้แล้ว ขอเพียงสำนักเซียนกระบี่มาถึง กึ่งเซียนก็จะมากันครบ!”
“อืมดี ได้ยินมาว่าวันนี้หนิงฝานเจ้าสำนักแห่งสำนักเซียนกระบี่ ไม่เพียงแต่เป็นร่างเซียนกระบี่บรรพกาล อายุยังน้อยแต่กลับสามารถฝึกฝนมาได้ถึงขอบเขตกึ่งเซียน ซ้ำยังสามารถควบคุมเมืองเซียนโบราณของทั้งแปดสำนักและสะกดข่มอู๋เซียนเหรินกับเหล่ากึ่งเซียนทั้งหกคนเอาไว้ภายในนั้นได้ หลายปีมานี้ ทั่วทั้งแคว้นเซียนต่างพากันพูดถึงชื่อของเขา!”
“อืม ข้าปิดด่านมานานกว่าสิบปี ไม่รู้มาก่อนเลยว่าแคว้นเซียนได้ปรากฏบุคคลเช่นนี้ขึ้น!”
“หึ ก็พอมีชื่อเสียงอยู่ แต่เขาไม่รู้ความเอาเสียเลย พวกเรามาถึงตั้งนานแล้ว แต่เขากลับยังมาไม่ถึง!”
“ได้ยินมาว่าคนผู้นี้ทุบตีทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียน ช่างบ้าไปแล้วจริง ๆ!”
“หึ! เขาไม่รู้หรือว่าแม้เป็นเด็กก็ตายตกได้เหมือนกัน!”
“…”
เมื่อกล่าวถึงหนิงฝานและสำนักเซียนกระบี่ ผู้คนต่างพากันพูดคุยกัน บ้างก็สงสัย บ้างก็ยิ้มฟัง บ้างคนก็เย้ยหยัน ทว่ากับบางคนก็ไม่แม้แต่จะปกปิดจิตสังหารของตนเองเลย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้คนจากสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดสำนักที่นำโดยสำนักเซียนยุทธ์ ซึ่งมีความโกรธแค้นมานานแล้ว!
หลายปีมานี้ ทั้งเจ็ดสำนักไม่มีผู้นำที่เป็นกึ่งเซียนผู้แข็งแกร่ง ทำให้พลังของกองกำลังต้องลดถอยลงหนึ่งขั้น เหมือนกับแคว้นเซียนที่แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ภายใต้สัญลักษณ์ธงแห่งกองกำลังชั้นหนึ่ง แต่ในที่แห่งนี้กลับไม่มีกองกำลังชั้นหนึ่งคนไหนทักทายพวกเขาเลย!
นี่ยิ่งทำให้ความโกรธแค้นที่พวกเขามีต่อหนิงฝานเพิ่มมากขึ้น!
ไม่ว่าผู้อื่นจะรู้สึกเช่นไร แต่เจ้าตำหนักเซียนอย่างเยี่ยฉิงชางก็ยังคงมีใบหน้าที่นิ่งเฉย ดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่!
“รอสักครู่หนึ่งเถิด หากไม่มีสำนักเซียนกระบี่ก็คงไม่มีทางเปิดแดนลับเซียนธุลีสีชาดออกได้!”
หลังจากนั้น เหล่ากองกำลังชั้นหนึ่งและเหล่าผู้ฝึกยุทธ์กว่าสิบล้านคนกลางหุบเขาอันไร้ขอบเขตนี้ก็ตกอยู่ในภวังค์การรอคอย
กระทั่งเวลาค่อย ๆ ล่วงเลยผ่านไป ผู้คนเริ่มใจร้อนกันมากขึ้น พลันนภาฟ้าไกลก็แว่วเสียงกระบี่ดังขึ้น!
ตามมาด้วยลำแสงกระบี่ที่ลอยมา ทุก ๆ แสงกระบี่นั้นล้วนมีผู้ฝึกยุทธ์กระบี่อยู่หนึ่งคน!
โดยด้านหน้าสุดนั้นมีร่างของคนผู้หนึ่งในชุดคลุมธรรมดา ๆ เหยียบอยู่บนกระบี่ ทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยเจตจำนงแห่งกระบี่ ซ้ำแล้วตลอดทางที่ผ่านมายังฉีกกระชากความว่างเปล่า ทลายฟ้าสั่นพิภพไม่หยุด!
“สำนักเซียนกระบี่มาแล้ว!”