หยางอันไต้ฟูเมืองอู๋ย่อมไม่ติดตามท่านอ๋องอู๋ไป นับแต่ฮ่องเต้เข้าเมืองอู๋ เขาก็ปิดประตูไม่ออกจากจวน จนกระทั่งท่านอ๋องอู๋จากไปครึ่งปีเขาถึงได้ปรากฏตัว ก้มหน้าเดินทางมาทำงานที่หยาเหมิน[1]ที่เคยทำงานมาก่อน
หยาเหมินที่คุ้นเคยนั้นเปลี่ยนถ่ายขุนนางจำนวนมากกว่าครึ่ง ตำแหน่งไต้ฟูในเวลานี้ก็มีขุนนางจากราชสำนักมารับแทนแล้ว ไต้ฟูเมืองอู๋ย่อมไม่อาจเป็นไต้ฟูต่อได้ แต่หยางอันยังคงทำงานทั่วไปตามขุนนางชั้นผู้น้อยจำนวนหนึ่ง หลังจากขุนนางใหม่รายงาน จึงให้เขาอยู่ต่อ ปล่อยให้เขาปฏิบัติเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเมืองอู๋
หยางไต้ฟูจึงเปลี่ยนจากไต้ฟูเมืองอู๋กลายเป็นขุนนางเล็ก ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่ยอมจากไป แต่ละวันเดินทางมาทำงานที่หยาเหมินตรงเวลา กลับจวนตรงเวลา ไม่ก่อเรื่อง ไม่มากเรื่อง
คุณชายใหญ่ตระกูลหยางเดิมทีก็มีตำแหน่ง เขาเลียนแบบบิดาของตนเองอยู่ต่อด้วยวิธีการเดียวกันอย่างอับอาย
ส่วนหยางจิ้งไม่มีความเครียดนี้ เขาถูกขังอยู่ในคุกมาตลอด หยางอันและคุณชายใหญ่ตระกูลหยางราวกับลืมเขาไปแล้ว จนกระทั้งเมื่อหลายวันก่อนหลี่จวิ้นโส่วจัดการคดีสะสมจึงนึกถึงเขา ปล่อยเขาออกมา
หยางจิ้งราวกับเกิดใหม่อีกครั้ง เมืองที่คุ้นเคยในอดีตก็เปลี่ยนไป ก่อนที่จะถูกเฉินตันจูใส่ร้าย เขาเรียนหนังสือในสำนักการศึกษา บิดาตระกูลหยางและคุณชายใหญ่ตระกูลหยางแนะนำให้เขาหลบอยู่ในจวน
แต่หยางจิ้งไม่อยากให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างหยามเกียรติเช่นนี้ จึงยังคงเดินทางมาเรียนหนังสือ สุดท้าย…
“ที่ว่าการกลับบันทึกประวัติการเข้าคุกของข้าภายในทะเบียนสำนักการศึกษา เหล่าขุนนางของกั๋วจื่อเจี้ยนจึงให้ข้าออกไป” หยางจิ้งยิ้มอย่างเศร้าโศก “ให้ข้ากลับไปศึกษาวิชาลัทธิหยูใหม่ในจวน ปีหน้าเดือนเก้าสอบเข้าใหม่”
หากสอบไม่ผ่าน ถึงแม้จะเป็นชนชั้นสูงก็ไม่อาจได้รับจดหมายแนะนำ ชาตินี้ทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่ในจวน ในอนาคตย่อมได้รับผลกระทบเรื่องแต่งงาน บุตรหลานย่อมเดือดร้อน
หากบอกว่าการเข้าคุกเป็นการหยามเกียรติของบุตรหลานชนชั้นสูง เช่นนั้นการถูกยึดทะเบียนการศึกษาย่อมเป็นกรงขังตลอดชีวิต
ไม่เคยมีการลงโทษที่เข้มงวดเช่นนี้มาก่อนในสำนักการศึกษาเมืองอู๋
ราชสำนักเข้มงวดอย่างยิ่ง
“บางทีอาจเข้มงวดกับแค่บุตรหลานของเมืองอู๋อย่างพวกเรา” หยางจิ้งหัวเราะเยาะ
สหายของเขาไม่อาจเห็นด้วยกับประโยคนี้ เขาไม่ได้อยู่ในฐานะของคนเมืองอู๋อีกต่อไป เวลานี้ทุกคนต่างเป็นคนเมืองหลวง เขากระแอมไอเสียงเบา “ท่านจี้จิ่วบอกแล้ว เมืองอู๋หรือซีจิง คนเหนือหรือคนใต้ ล้วนเหมือนกัน ท่านอย่าคิดมาก การลงโทษท่านเช่นนี้เพราะคดีนั้น อย่างไรก็เป็นเรื่องตอนที่ท่านอ๋องอู๋ยังอยู่ เวลานี้เหล่าใต้เท้าของกั๋วจื่อเจี้ยนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ท่านอธิบายกับเหล่าใต้เท้า…”
เรื่องนั้นเป็นเรื่องหยามเกียรติที่สุดในชีวิตของเขา หยางจิ้งนึกย้อนไปถึงเวลานั้น สีหน้าของเขาซีดเผือดจนแทบจะเป็นลมล้มลงไป
สหายของเขารีบพยุงเอาไว้ คุณชายรองตระกูลหยางอ่อนแออย่างมากแล้ว อยู่ในคุกเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า ถึงแม้หยางจิ้งจะกินดีอยู่ดีในคุก ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเข้มงวดแม้แต่น้อย อีกทั้งฮูหยินตระกูลหยางยังส่งสาวรับใช้คนหนึ่งเข้าไปปรนนิบัติ แต่สำหรับคุณชายชนชั้นสูงผู้หนึ่งแล้ว เรื่องนี้เป็นฝันร้ายที่ไม่อาจยอมรับได้ จิตใจทุกข์ทรมานจนทำให้ร่างกายพังลง
เขาปลอบ “คุณชายรองตระกูลหยาง ท่านกลับจวนไปก่อน ให้คนในจวนร้องขอกับที่ว่าการ แจ้งเรื่องในตอนนั้นให้กั๋วจื่อเจี้ยนรับรู้ หากรับรู้ว่าท่านถูกใส่ร้าย เรื่องนี้ย่อมจัดการได้”
หยางจิ้งไม่มีวิธีอื่น ก่อนหน้านี้เขาต้องการเข้าพบท่านจี้จิ่ว แต่ถูกปฏิเสธทันควัน เขาถูกสหายพยุงเดินออกไปด้านนอก ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งสองคนหันหน้ากลับไปตามเสียง แต่ประตูหน้าต่างห่างไกล มองไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย
นักเรียนทั่วไปอาจมองไม่เห็นสถานการณ์ทางท่านจี้จิ่ว แต่ขันทีสามารถยืนชะโงกหน้าดูชายหนุ่มและชายชราที่นั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ด้านนอกประตู ก่อนหน้านี้เปล่งเสียงหัวเราะดังก้อง เวลานี้กลับร้องไห้ต่อกัน
“คนผู้นี้มีความสัมพันธ์กับท่านจี้จิ่วอย่างไร เหตุใดจึงทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ” เขาถามด้วยความสงสัย
ผู้ช่วยพูด “เป็นลูกศิษย์ของสหายท่านจี้จิ่ว หลายปีไม่มีข่าวคราว ในที่สุดมีข่าวคราว สหายท่านนี้ก็จากไปแล้ว”
ขันทีตอบรับ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ว่าเหตุใดลูกศิษย์คนนี้จึงมีความสัมพันธ์กับเฉินตันจูได้
“ลูกศิษย์คนนี้มาเรียนหนังสือหรือ” เขาแสร้งถามด้วยท่าทางห่วงใย “มีญาติสหายอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่”
ผู้ช่วยได้ยินมาก่อนหน้านี้ “สหายเก่าแนะนำให้เขามาเรียนหนังสือ มีท่านลุงอยู่ในเมืองหลวง มีชาติกำเนิดไม่ดีนัก บิดามารดาตายจาก น่าสงสารยิ่งนัก”
น่าสงสาร พวกเจ้าดูผิดเสียแล้ว ขันทีมองสีหน้าของผู้ช่วย หัวเราะเยาะภายในใจ รู้หรือไม่ว่าลูกศิษย์ผู้นี้เข้าร่วมงานเลี้ยงใดหรือไม่ เฉินตันจูอยู่เคียงข้าง องค์หญิงอยู่ในเหตุการณ์
บุตรหลานตระกูลเล็กที่สามารถคบหาเฉินตันจูได้ไม่ใช่คนธรรมดา
ผู้ช่วยถาม “ท่านจะพบท่านจี้จิ่วหรือไม่ ฝ่าบาทมีตรัสถามเรื่องวิชาขององค์ชายห้าหรือ”
เขาสามารถเข้าใกล้ท่านจี้จิ่วก็พอแล้ว แต่คงไม่ต้องถูกท่านจี้จิ่วถาม ขันทีรีบส่ายหัว “ข้าไม่กล้าถามเรื่องนี้ ให้ท่านจี้จิ่วทูลฮ่องเต้โดยตรงเถิด”
วิชาขององค์ชายห้าไม่ดี นอกจากท่านจี้จิ่ว ผู้ใดกล้าไปทูลฮ่องเต้ ขันทีวิ่งจากมาอย่างรวดเร็ว ผู้ช่วยไม่ประหลาดใจ มองส่งด้วยรอยยิ้ม
ขันทีวิ่งออกมา แต่ไม่พบเหยาฝูรออยู่ที่เดิม หากแต่มาถึงกลางถนน รถม้าหยุดลง คนสวมผ้าปิดหน้ายืนอยู่นอกรถ ข้างตัวมีนักเรียนสองคน…
“เป็นความผิดของข้า” น้ำเสียงของเหยาฝูสั่นเทา “รถของข้าเคลื่อนเร็วเกินไป ชนเข้ากับเหล่าคุณชาย”
ถึงแม้ตกใจ แต่ท่าทางของคุณหนูท่านนี้ดีมาก หยางจิ้งโบกมืออย่างหมดแรง “ไม่เป็นอันใด ไม่ได้ชนเข้าจริงๆ แค่เฉียดไปเท่านั้น พวกข้าไม่ระวังเอง”
เหยาฝูรั้งไม่ให้เขาไป “คุณชายไม่ใส่ใจเพราะใจกว้าง แต่ไม่ใช่ข้าไม่ผิด ให้รถม้าของข้าส่งคุณชายกลับจวน หลังจากไต้ฟูดูว่าคุณชายไม่เป็นอันใด ข้าจะได้วางใจ”
ไม่รอหยางจิ้งปฏิเสธอีกครั้ง นางก็ร้องไห้ขึ้นมาก่อน
“ขอให้คุณชายให้โอกาส ข้าจะได้ไม่เป็นกังวล”
เฮ้อ ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสงสาร ประสบเรื่องเท่านี้ก็เป็นกังวลแล้ว? นึกถึงหญิงสาวที่ชนคนแล้วยังขับไล่ใส่ร้ายคนนั้น หยางจิ้งยิ้มขึ้น “ได้ รบกวนคุณหนูด้วย”
ขันทีมองดูเหยาฝูให้องครักษ์คนหนึ่งพยุงคุณชายคนหนึ่งขึ้นรถ เขาไม่ได้เดินเข้าไปเปิดเผยตัวตนของเหยาฝูอย่างเฉลียวฉลาด หากแต่หันหลังกลับพระราชวังไปก่อน
รอในพระราชวังไม่นานนัก เหยาฝูก็นั่งรถกลับมาแล้ว
“ท่านกลับมาเร็วเสียจริง” ขันทีถามด้วยรอยยิ้ม
เหยาฝูมองเขา เปิดผ้าปิดหน้าขึ้น “มิฉะนั้นเล่า?”
สายตาของนางดุร้ายขึ้นมาอย่างกะทันหัน ขันทีตกใจอย่างมาก ไม่รู้ว่าคำถามของตนเองมีปัญหาอันใด พูดอย่างหวาดกลัว “ไม่ ไม่อย่างไร แค่คิดว่าคุณหนูต้องการสืบบางอย่าง ต้องใช้เวลา”
เมื่อนึกถึงตอนนั้นนางรู้จักกับหลี่เหลียงเช่นนี้ ทันใดนั้นจึงรู้สึกถึงความเสียดสีในคำพูดของขันที
แต่สำหรับเรื่องที่นางหลอกล่อหลี่เหลียงเป็นความลับ ถึงแม้ขันทีนี้จะถูกนางซื้อตัวแล้ว แต่เขาไม่รู้เรื่องแต่ก่อน นางเสียกิริยาเสียแล้ว
“น่าโกรธยิ่งนัก” เหยาฝูไม่ได้ปิดบังดวงตาดุร้าย นางกัดฟันพูด “ไม่คิดว่าคุณชายท่านนั้นจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ถูกใส่ร้ายจนต้องเข้าคุก เวลานี้ยังถูกกั๋วจื่อเจี้ยนขับไล่ออกไป”
ที่แท้ไม่ได้ดุเขา ขันทีวางใจ อุทาน “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” ก่อนจะพูดประจบเหยาฝู “คุณหนูสี่ ข้าสืบมาแล้ว คนที่เฉินตันจูส่งเข้าไปเป็นบุตรหลานตระกูลเล็ก อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ของสหายเก่าท่านจี้จิ่ว ท่านจี้จิ่วให้เขาอยู่ศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน”
เช่นนี้หรือ เหยาฝูจับผ้าปิดหน้าเอาไว้ ถอนหายใจเสียงเบา “บุตรหลานชนชั้นสูงถูกขับไล่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยน บุตรหลานตระกูลเล็กถูกเชิญเข้าไปเรียนหนังสือ โลกนี้เป็นอันใดไป”
—————————————————————————–
[1] หยาเหมิน คือ ที่ว่าการท้องถิ่น