องค์ชายไม่น่าจะตั้งใจกัดโดนนิ้วของนางหรอก
แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้ง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้คิดเรื่องระหว่างหญิงชายมากนัก
จากประสบการณ์ส่วนตัวของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางรู้สึกว่าปกติแล้ว ผู้ชายประเภทนี้มักจะชอบผู้หญิงที่อ่อนโยนและว่านอนสอนง่าย เหมือนกับกระต่ายขาวที่พวกเขารู้สึกตื่นเต้นและสนุกสนานกับการกลั่นแกล้งพวกมัน
ความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นไม่ผิด เพราะมีคนจำนวนมากที่คิดเช่นนั้น
แต่นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีผู้ชายอีกประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะคนที่ชื่อว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
สิ่งที่เขาชอบกลั่นแกล้งไม่ใช่กระต่ายสีขาวตัวน้อย แต่เป็นคนเกียจคร้านและเลี้ยงไม่เชื่องอย่างนางต่างหาก
ยิ่งยากและท้าทายมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากถอดเขี้ยวเล็บของนางมากขึ้นเท่านั้น
ลมข้างนอกสงบแล้ว และมีเพียงลมที่พัดผ่านเข้ามาอย่างผ่อนคลายเท่านั้น
“เอาเถอะ เจ้ากินส่วนที่เหลือได้”
ขนมเหล่านี้จัดเตรียมไว้ให้นางโดยเฉพาะ แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจววี๋ยไม่ใช่คนกินเยอะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาไม่เคยชอบขนมเหล่านี้มาก่อน ในเมื่อตอนนี้เขาได้ลิ้มลองของหวานไปแล้ว เขาจึงหยุดไว้แค่ตรงนั้น
ยิ่งเหยื่อคนนี้ฉลาดมากเท่าไหร่ เขาก็ต้องค่อยๆ ย่องเข้าไปอย่างมั่นคงเพื่อที่จะตะครุบมันให้ได้ เช่นเดียวกับการค่อยๆ อุ่นน้ำให้เดือดเพื่อต้มกบที่อยู่ในหม้อ เขาจะต้องค่อยๆ ลงมือ
สำหรับอุปสรรคอื่นๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาลง แล้วปลายลิ้นของเขาก็เลื่อนผ่านปลายนิ้วมือของตนเอง
เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะจัดการมันด้วยตัวเอง…
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่อยู่ด้านข้างไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดเช่นนี้อยู่ อาจเป็นเพราะนางหิวมาสักพักหนึ่งแล้ว และเมื่อนางเห็นขนมกุ้ยฮวาครึ่งชิ้นที่อยู่ในมือ นางก็อ้าปากและป้อนขนมที่เหลือเข้าปากของตัวเอง ท่าทางการกินของนางนั้นงดงามอย่างมาก แม้ว่าแก้มของนางจะยังคงป่องอยู่ก็ตาม
ขนมกุ้ยฮวาชิ้นนี้อร่อยมาก มันไม่หวานจนเกินไป และมีน้ำผึ้งในปริมาณที่พอเหมาะ ทำให้มันละลายในปากของนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเพลิดเพลินไปกับรสชาติทุกส่วนของมัน และแสดงสีหน้าพึงพอใจ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางและพูดว่า “นั่นคือส่วนที่ข้ากินไปแล้ว”
“หืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเคี้ยวอย่างมีความสุข พร้อมกับแก้มที่ยังป่องออก นางตอบกลับ “ท่านบอกให้ข้ากินส่วนที่เหลือได้ไม่ใช่หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอย่างเหนื่อยใจ และขณะเดียวกัน ก็ดูเหมือนกับทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เขาเอานิ้วประคองหน้าผากของตนเอง และทำได้แค่พูดว่า “ข้าหมายถึงส่วนที่เหลืออยู่บนจานต่างหากเล่า ช่างเถิด เจ้ากินต่อเถอะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าทำไม แต่นางรู้สึกว่าคำสองคำที่ว่า ‘ช่างเถิด’ นั้น ฟังดูราวกับว่าเขามีนัยยะอื่นแอบแฝงอยู่ เหมือนว่าเขากำลังดูถูกสติปัญญาของนางก็ไม่ปาน
เมื่อเห็นแก้มป่องๆ ตรงหน้า ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะรีบยกนิ้วมือมาปิดริมฝีปากของตนเอง และปกปิดมันด้วยการไอเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเลียนตนเองอยู่ นางจึงรู้สึกหงุดหงิดอย่างมากทันที เมื่อใดก็ตามที่นางอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ ก็ดูเหมือนว่าสมองของนางจะทำงานได้ไม่ดีนัก
“หากท่านอยากหัวเราะ ก็หัวเราะไปเถอะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนหลังและเบะปากเล็กน้อย
องค์ชายสามรู้สึกสนุกที่สามารถรู้สึกถึงความรำคาญใจของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน เขาคิดว่าจริงๆ แล้ว เหยื่อคนนี้ก็มีจุดอ่อน และหากเขาจับจุดได้อย่างถูกต้อง วันหนึ่ง นางก็จะตกอยู่ในกำมือของเขาจนได้
เขาจะรอดูท่าทีของนาง หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันแล้ว
อืม เมื่อถึงตอนนั้น เตียงทรงกรงทองในวังหลวงก็น่าจะได้ใช้งานแล้ว
หากนางนอนบนเตียงนั้น และยอมให้เขาค่อยๆ เข้าไปใกล้… อืม มันจะต้องเป็นฉากที่งดงามอย่างมากแน่นอน…
อา…
เหยื่อของเขาสมควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด หลังจากนั้น เขาก็จะได้ ‘ยั่วเย้า’ นางอย่างเร่าร้อน…
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ รถม้ากำลังจะเข้าไปในเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนมองดูสิ่งรอบข้าง และแม้ว่าเขาจะไม่อยากรบกวน แต่เขาก็จำเป็นต้องแจ้งให้องค์ชายรับทราบผ่านม่าน “ในอีกสักครู่ รถม้าจะกลับไปที่สำนักไท่ไป๋ และจะมุ่งหน้าไปทางอื่นที่อยู่ตรงทางแยกข้างหน้า บ่าวอาวุโสคนนี้ควรส่งคุณหนูกลับไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงข่าวลือดีหรือไม่พ่ะยะค่ะ”
ในตอนนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รอให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบ นางรีบปัดเศษขนมกุ้ยฮวาบนตัวออก และเปิดม่านด้วยตัวเอง นางยิ้มอย่างแผ่วเบาและตอบว่า “ขันทีซุน ช่วยนำทางให้ข้าด้วย ข้าจะต้องกลับแล้ว”
ขันทีซุนมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ด้านหลังของนาง และเมื่อเห็นว่าองค์ชายไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาจึงพยักหน้าและตอบกลับอย่างโล่งอก “ขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจิบชาอย่างเงียบๆ และหลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจากไป เขาก็มองไปทางเงาทมิฬ
เงาทมิฬเข้าใจในความต้องการของฝ่าบาท พร้อมกับคุกเข่าลงด้วยความเคารพ และหายตัวไปในทิศทางที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งจากไป
จริงๆ แล้ว ระยะทางจากรถม้าขององค์ชายสามไปยังรถม้าของหญิงสาวนั้นไม่ได้ห่างกันมากนัก ทั้งหมดเกิดจากความคิดอันรอบคอบของขันทีซุน
เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม และจัดการให้รถม้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยคอยติดตามอยู่ด้านหลังอย่างใกล้ชิด เพื่อเปลี่ยนคันรถม้าได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น
ขันทีซุนเปิดม่านให้เฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “ต้องขอบคุณคุณหนูสำหรับทุกเรื่องเลยขอรับ พวกเราต่างก็เป็นห่วงองค์ชายอย่างมาก แต่พวกเราไม่สามารถช่วยบรรเทาความกังวลขององค์ชายได้เลย พวกเราทำได้เพียงขอให้คุณหนูช่วยเหลือพวกเราเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นและหัวเราะออกมา “ข้าเองก็ไม่สามารถช่วยคลายความกังวลของเขาได้เหมือนกัน ข้าก็แค่ลูบตามแนวขนของเสือตัวหนึ่งเท่านั้น”
ขันทีซุนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง การเปรียบเทียบองค์ชายกับเสือนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ไม่ใช่หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรต่อ นางจึงหมุนตัวเข้าไปในรถม้าของตนเอง
“มีอะไรหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าเวลายังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูป แต่เงาทมิฬก็กลับมาแล้ว
เงาทมิฬครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจรายงานตามคำพูดที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดทุกคำ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเย้ยหยัน “นางฉลาดใช้ได้เลย” เมื่อคิดว่าการเอาอกเอาใจทุกอย่างเมื่อครู่นี้ เป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ เขายังคิดว่านางเป็นคนจริงใจอย่างมากอีกด้วย
หญิงสาวตัวน้อยคนนี้ไม่หวาดกลัวว่าเสืออย่างเขาจะขย้ำนางทั้งตัวหรอกหรือ
เขาคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่นางทำแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง… แต่นั่นก็เป็นเพียงการทำตามคำแนะนำของขันทีซุนเท่านั้น…
ลูบตามแนวขนของเขาเช่นนั้นหรือ
ระหว่างพวกเขาสองคน ใครคือเหยื่อที่แท้จริงกันแน่
ดูเหมือนว่ามีคนที่ยังไม่รู้ตัวว่านางซ่อนเขี้ยวเล็บของตัวเองเอาไว้
“จับตาดูนางต่อไป” แววตาของเขาเป็นประกาย
เงาทมิฬตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง เขาคิดว่าหากเขาถ่ายทอดคำพูดทั้งหมดของเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว ฝ่าบาทจะไม่เสียแรงและเสียเวลากับนางมากนัก แต่สำหรับเขาแล้ว ดูเหมือนว่านางจะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษเช่นนี้ นางอยู่ในสถานะพิเศษจริงๆ
เงาทมิฬรู้สึกขอบคุณต่อการมีตัวตนของเฮ่อเหลียนเวยเวย เพราะนางทำให้ฝ่าบาทของเขาไม่กังวลกับเรื่องอื่นๆ เลย ยกเว้นเรื่องของนาง
ขณะที่เงาทมิฬมองดูรถม้าที่อยู่ไม่ไกลออกไป เขาก็ถอนหายใจยาว โชคดีที่องค์ชายไม่ติดตามมาด้วย มิเช่นนั้น การปรากฏตัวขององค์ชายอาจจะถูกนางใช้เป็นประโยชน์ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนี้ เพราะทุกคนต่างก็รอคอยงานใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น นั่นคืองานประลองยุทธ์ที่กำลังจะเริ่มขึ้นนั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าศิษย์จากสำนักไท่ไป๋หรือคนจากสี่ตระกูลใหญ่ ทุกคนต่างให้ความสนใจกับการประลองครั้งนี้ ผู้คนต่างทุ่มเทความพยายามในการฝึกซ้อมและฝึกปราณแบบทั้งวันทั้งคืน ในขณะที่ทั่วทั้งเมืองหลวงเริ่มร้อนระอุ ท้องถนนเริ่มคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่สวมใส่เสื้อคลุมซึ่งไม่ได้โดดเด่นจำนวนมากมาย ส่วนเหล่าเจ้ายุทธ์ต่างก็เดินอยู่บนท้องถนนพร้อมกับอาวุธคู่ใจของพวกเขา ผู้คนจำนวนมากเดินทางจากเมืองไกลมาโดยเฉพาะ มันแสดงให้เห็นว่าการแข่งขันครั้งนี้มีอิทธิพลมากเพียงใด จนสามารถดึงดูดผู้คนจากเมืองไกลๆ มาได้
และจากอิทธิพลอย่างมากนี้ ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งความคาดหวังเอาไว้ เพราะมันคือช่วงเวลาตักตวงเงินนั่นเอง
งานประลองยุทธ์ที่กำลังจะเริ่มขึ้นนี้ ทำให้การหาอาวุธดีๆ นั้น เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ฝึกปราณทุกคน
ในฐานะนายหญิงของเวยเจ๋อ นางจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทองในการทำธุรกิจนี้หลุดมือไปได้อย่างแน่นอน
ถึงเวลาขึงตาข่ายจับปลาแล้ว…