“ทำไมเจ้าไม่พูดต่อล่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงัก รวมถึงรอยยิ้มก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าปัญหานี้ยังไม่ได้รับการจัดการให้เหมาะสม นางจึงจำเป็นต้องพูดออกไปว่า “องค์ชาย พวกเราทำสัญญากันเพื่อร่วมมือและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เพื่อควบคุมและจำกัดสิทธิของอีกฝ่าย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้มองนาง ราวกับว่าเขาไม่ได้ใส่ใจในคำพูดของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าเขากำลังเหม่อลอย แม้แต่ชาร้อนที่เขากำลังรินอยู่นั้นก็ยังล้นออกจากถ้วย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ตัว จากนั้น เขาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าหมายความว่าเจ้าไปหาเฮยเจ๋อได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องสนใจองค์ชายคนนี้เช่นนั้นหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าชาร้อนกำลังจะไหลไปโดนบาดแผลบนฝ่ามือของชายหนุ่ม นางก็รีบเอื้อมมือไปจับมือซ้ายของเขา และดึงเขาขยับไปทางด้านข้าง จากนั้น นางก็พูดย้ำอีกครั้งว่า “ข้าเพียงแค่คิดว่าพวกเราไม่ควรจำกัดสิทธิเสรีภาพของอีกฝ่ายก็เท่านั้น หากวันนี้ องค์ชายอยากจะไปหาหญิงสาวคนใด และข้าไม่อนุญาตให้ท่านไป องค์ชายก็คงจะรู้สึกอึดอัดใจอย่างแน่นอน แล้ว…”
“ข้าจะไม่รู้สึกเช่นนั้น” ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะพูดจบประโยค ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็พูดขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด “องค์ชายผู้นี้รู้ดีว่ากำลังจะแต่งงานกับใคร”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือนางยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะแต่งงานกับใคร
ถ้อยคำเช่นนั้นของผู้ชายคนนี้ ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกผิดในใจ หากพูดกันตามเหตุผลโดยทั่วไปแล้ว คู่รักทั่วๆ ไป ก็มักจะต้องหลีกเลี่ยงประเด็นต้องห้ามดังกล่าว
“เจ้าเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่ หากเจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียงก่อนการประลองยุทธ์ แล้วผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร” น้ำเสียงของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่กลุ่มเมฆด้านนอกนั้นกลับรวมตัวกันเป็นก้อนหนา ลมที่พัดโชยอย่างแผ่วเบา จู่ๆ ก็รุนแรงขึ้น จนกลายเป็นลมแรงที่โหมกระหน่ำ และเมื่อมันพัดผ่านเข้ามาในหู ก็ราวกับเป็นเสียงของม้าศึกจำนวนหลายหมื่นตัวที่กำลังอาละวาดอยู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผลที่จะตามมา คือเจ้าไม่สามารถแต่งงานกับราชวงศ์คนใดได้อีกตลอดชีวิต”
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะพูด เขาก็พูดต่อว่า “องค์ชายผู้นี้จะไม่อนุญาตให้ผู้ใดมาแทรกแซงสัญญาระหว่างพวกเราได้โดยเด็ดขาด หากเจ้ายืนกรานที่จะไปพบเขา ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องลงมือกับตระกูลเฮย และช่วยฝึกให้คุณชายรองของพวกเขาอยู่ในระเบียบวินัย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตกตะลึงไปชั่วขณะ นางไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในที่สุด นางก็เข้าใจถึงสิ่งที่ทุกคนพูดถึงวิธีการขององค์ชายสามอย่างชัดเจนแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาทำตัวเฉยชาจนดูเหมือนว่าไม่ใส่ใจอะไร
เฉยชามากเสียจนนางลืมไปเลยว่าเขาเคยไล่ตามนางอย่างโหดเหี้ยม
หากไม่มีใครไปล้ำเส้นขีดความอดทนขององค์ชาย เขาก็เป็นคนที่พูดคุยทุกเรื่องได้อย่างง่ายดาย
แต่ถ้าหากมีใครขัดขวางหรือทำลายแผนการของเขา เขาก็จะแสดงวิธีการของเขาให้คนๆ นั้นได้รับรู้ว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง
ไม่ว่าอย่างไร ในแผนการนี้ นางก็เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น การที่เขาให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของนางก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเช่นกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างอ่อนหวาน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นพูด “เข้าใจแล้ว” จากนั้น นางก็เดินกลับไปนั่งที่ตำแหน่งเดิมอย่างสุภาพ แต่ทันใดนั้น นางก็ดูเหมือนกับวางตัวห่างเหินไป
ความร่วมมือก็ควรจะเป็นความร่วมมือ แม้ว่าองค์ชายสามจะพูดจาอย่างไร้ความปรานี แต่สิ่งที่เขาพูดก็คือความจริง
เพียงแต่ว่าสิ่งนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย
นางจะไม่ยอมเป็นหมากบนกระดานของใคร
หญิงสาวเป็นคนเริ่มต้นคิดแผนการนี้ขึ้นมา ดังนั้น นางก็ควรจะเป็นคนที่จบแผนการนี้ด้วยตัวเองเช่นกัน
จากนี้ไป นางต้องคิดและวางแผนอย่างรอบคอบว่าจะถอนตัวออกไปได้อย่างไร
เพราะตอนนี้นางรับรู้แล้วว่าพันธมิตรที่นางเลือกเพื่อจะร่วมมือด้วยนั้น เป็นคนที่อันตรายกว่าที่นางคิดไว้ในตอนแรก
หากนางไม่ระวัง สิ่งที่อยู่ข้างหน้าก็อาจจะกลายเป็นปากเหวที่มืดมิดก็เป็นได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยชอบที่จะทำงานกับคนประเภทนี้ เพราะจะทำให้ทุกอย่างนั้นง่ายดายขึ้น
แต่ในขณะเดียวกัน นางก็รู้ดีว่าตนเองจะต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเช่นกัน
ในแผนการนี้ไม่ใช่เพียงแค่ให้พวกเขาจับมือกันเพื่อจัดการกับคนอื่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการที่พวกเขาจะช่วยเหลือกันและกันอีกด้วย
เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูได้อย่างเท่าเทียม เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณของนางจะต้องเต็มไปด้วยความเป็นนักสู้ นอกจากนี้ นางยังคิดอีกด้วยว่า ในอนาคต รอจนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลายแล้ว นางจะออกไปท่องโลกกว้าง และจะกลับมาหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพื่อท้าทายเขา
แต่ในตอนนี้ นางควรรู้จักที่ของตัวเองจะดีที่สุด
ส่วนเฮยเจ๋อนั้น นางก็ค่อยหาเวลาออกไปหาเขา ตอนที่นางกลับไปยังสำนักไท่ไป๋ก็ได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพบว่าตนเองไม่ชอบที่จู่ๆ นางก็เชื่อฟังเขาอย่างกะทันหัน ความรู้สึกห่างเหินจากนางนั้นเหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นคอยผลักเขาออกไปราวสามฉื่อ
ที่นางเป็นแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะผู้ชายที่ชื่อว่าเฮยเจ๋อ
ฮึ่ม
ดี ดีจริงๆ เชียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาลง ท่าทีของเขาดูทั้งหยิ่งและโดดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน สีหน้าของเขาเยือกเย็นราวกับมีพายุหิมะเพิ่งพัดผ่านไป
มันก็เป็นแค่เหยื่อที่เขาให้ความสนใจมากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
เขาค่อยๆ กำมือแน่นขึ้น และคิดในใจว่าทุกอย่างช่างไร้สาระยิ่งนัก ก่อนจะบีบม้วนหนังสือในมือแน่น
บรรยากาศในรถม้าคันนี้ดูเหมือนจะเริ่มเย็นลงจนถึงจุดเยือกแข็ง
เมื่อขันทีซุนเปิดผ้าม่านขึ้น เขาก็เห็นบรรยากาศดังกล่าว และกำลังลังเลว่าจะถอยไปก่อนดีหรือไม่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะเอนหลังอย่างเกียจคร้าน เขาคลายเสื้อคลุมด้วยมือข้างหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก และวางมือข้างหนึ่งลง ก่อนจะเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไร”
มีบางอย่างผิดปกติ ขันทีซุนรู้จักองค์ชายคนนี้ดี เมื่อใดก็ตามที่เขาหงุดหงิด เขาจะมีท่าทีเช่นนี้
มันช่างน่าแปลกยิ่งนัก จากที่พวกเขาพูดกัน คือตลอดการเดินทาง องค์ชายอารมณ์ดีมาก นอกจากนี้เขายังสั่งขนมเพื่อกินกับชา และยังบอกว่ามันคือของที่เตรียมไว้สำหรับใครบางคนเป็นพิเศษอีกด้วย
แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ไปได้
ขันทีซุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “องค์ชายอยากรับขนมกุ้ยฮวาพร้อมกับน้ำชาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หรือองค์ชายอยากให้กระหม่อมนำผลไม้แช่อิ่มมาให้แทนดีพ่ะย่ะค่ะ” เขาถามอย่างระมัดระวังขณะที่ถือถาดอยู่ในมือ
“ไม่จำเป็น” เสียงทุ้มต่ำของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นดังคลอไปกับเสียงฝนที่กำลังตก “ไม่มีใครกินแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ขันทีซุนก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจริงๆ จากนั้น เขาก็มองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างระมัดระวัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอื้อมมือออกมาหยิบถาดจากเขา ก่อนจะวางลงข้างๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว นางก็พูดขึ้นว่า “บาดแผลขององค์ชายจะหายเร็วขึ้น หากท่านทานมากขึ้น”
ดูเหมือนลมภายนอกจะอ่อนแรงลงเล็กน้อย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองนางและไม่ได้ตอบปฏิเสธ สายตาของเขามองไปที่มือซ้ายของตนเอง ก่อนจะจ้องใบหน้าของนางอีกครั้ง
หลังจากที่รับใช้อยู่เคียงข้างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมานานหลายปี ขันทีซุนก็เข้าใจความต้องการขององค์ชายในทันที หลังจากประเมินสถานการณ์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เขาก็รีบพูดขึ้นว่า “คุณหนูขอรับ มือขององค์ชายบาดเจ็บ ไม่สะดวกที่จะทานขนมด้วยตัวเอง มือของบ่าวรับใช้อาวุโสคนนี้ก็สกปรกยิ่งนัก จึงต้องขอให้คุณหนูใหญ่ช่วยเกลี้ยกล่อมให้องค์ชายทานให้มากขึ้นด้วยเถิดขอรับ”
ขันทีซุนรีบถอยห่างจากรถม้า โดยไม่รอให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยปฏิเสธ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย
อีกด้านหนึ่ง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังหยิบขนมกุ้ยฮวาขึ้นมาชิ้นหนึ่งด้วยมือที่พันผ้าเช็ดหน้าสีขาวเอาไว้ แต่อาจเป็นเพราะขนมชิ้นนั้นไปโดนบาดแผลของเขา ทำให้เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะทำขนมชิ้นนั้นตกพื้น จนมันกลิ้งไปที่เท้าของหญิงสาว
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดอะไรมากอีกต่อไป ก่อนจะหยิบขนมอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมาจ่อตรงริมฝีปากของเขาทันที
ตอนนั้น นางคิดว่าเขาจะหยิบมันไปด้วยมือของเขาเอง แต่องค์ชายสามกลับอ้าปากของตนเองและกัดมันอย่างสบายใจ เมื่อเขากัดขนมชิ้นนั้น ริมฝีปากของเขาก็สัมผัสกับปลายนิ้วมือของนางอย่างแผ่วเบา มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะเพิกเฉยได้ ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถอนมือออกอย่างอดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้ว นางก็รู้สึกว่าตนเองอาจจะแสดงท่าทีมากเกินไป จนอาจดูราวกับว่านางทำตัวเรื่องมากกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้…