ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว
เฟิงหลินนึกขึ้นได้แล้ว เวลานั้นเมืองอู๋ยังคงเป็นเมืองอู๋ จู๋หลินเพิ่งย้ายไปอยู่ข้างกายคุณหนูเฉินตันจูไม่นาน เขารายงานกลับมาว่าคุณหนูตันจูเดินทางไปร้านยาทั่วเมือง ทุกคนต่างสงสัย ไม่รู้ว่าคุณหนูตันจูต้องการทำสิ่งใด เวลานั้นแม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างเรียบเฉย กำลังตามหาคน
ต่อมา คุณหนูตันจูเปิดร้านยา จากนั้นขวางทางรักษาโรคก่อเรื่องมากมาย ทุกคนจึงลืมเรื่องนี้ไป
“ท่านคิดมากไปแล้ว” หวังเจียนที่อ่านเอกสารกองเท่าภูเขาจนแทบตาบอดเมื่อได้ยินว่ามีจดหมายของเฉินตันจูมา จึงรีบวิ่งมาดู จ้องมองกระดาษทั้งห้าแผ่นจากจู๋หลิน วิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง “เหตุใดนางจะไม่ได้ทำเพื่อคุณหนูหลิวเวยท่านนี้ หรือเพื่อองค์ชายสาม”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กยิ้ม “สู้บอกว่าทำเพื่อสวีลั่วจือแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนจะดีเสียกว่า”
จริงด้วย เรื่องนี้ก็เป็นปัญหา หวังเจียนจ้องจดหมายของจู๋หลิน ครุ่นคิด “สวีลั่วจือนี้มีการไปมาหาสู่กับเมืองอู๋หรือไม่ มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเฉินเลี่ยหู่หรือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่สนใจเขาอีก นำจดหมายที่ส่งกลิ่นสุราอย่างตลบอบอวลของเฉินตันจูไว้ด้านข้าง ยกพู่กันตอบจดหมาย
หวังเจียนครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานก็คิดไม่ตก เขาพลิกจดหมายของจู๋หลินไปมา ยิ่งคิดยิ่งสับสน
“เฉินตันจูนี้ทำเรื่องนี้เรื่องนั้น ตกลงต้องการสิ่งใด เป้าหมายของนางคืออันใด มีแผนการอันใด” เมื่อเห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กกำลังยกพู่กันเขียนจดหมาย รีบกำชับอย่างเคร่งขรึม “ท่านให้จู๋หลินสืบให้ดี คนเหล่านี้มีความสัมพันธ์อันใดกัน ทั้งองค์หญิงทั้งองค์ชายสาม เวลานี้แม้แต่กั๋วจื่อเจี้ยนก็เกี่ยวพันเข้ามา จู๋หลินโง่เขลาเกินไป ไม่อาจเอาชนะเฉินตันจูได้ ควรจะส่งคนที่ฉลาดไปอีกคน…”
เขามองไปยังเฟิงหลินที่นั่งอยู่ด้านข้าง เฟิงหลินขนลุกขึ้นทันที
“หากจะพูดถึงความฉลาด ที่นี่ยังมีผู้ใดฉลาดกว่าหวังไต้ฟู” เฟิงหลินพูดประโยคอันชาญฉลาดออกมาอย่างไม่เคยทำมาก่อน แต่ความซื่อสัตย์ขององครักษ์หลวงทำให้เขาพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “นอกจากท่านแม่ทัพ”
หวังเจียนกลอกตาใส่เขา
“หรือไม่ ถามเฉินตันจูโดยตรงเสีย” เขาลูบไล้เคราของตนเองเบาๆ “เฉินตันจูเจ้าเล่ห์ แต่นางมีจุดอ่อนที่ใหญ่มาก ท่านแม่ทัพบอกนาง หากไม่พูด ก็ส่งตระกูลของนางไปตาย”
เขาพูดอย่างตั้งใจเป็นเวลานาน เห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กจรดปลายพู่กันเขียนจดหมายสองฉบับ จู๋หลินฉบับหนึ่ง เขียนว่าข้ารู้แล้ว ส่วนอีกฉบับของเฉินตันจูเขียนว่า ข้ารู้แล้ว
“เอาล่ะ” แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่งจดหมายให้เฟิงหลิน “ส่งออกไปเถิด”
หวังเจียนไม่ทันได้เอ่ยปาก เฟิงหลินก็ถือจดหมายวิ่งออกไปราวกับเหาะได้
“เรื่องสำคัญนัก” หวังเจียนถลึงตา “ท่านต้องระวัง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กชี้เขา “นางเป็นแค่เด็กสาว ไม่อาจเทียบกับเรื่องใหญ่ที่เจ้ากำลังทำได้ เจ้ารีบตรวจบัญชีเอกสารให้กระจ่างเถิด ข้าจะได้เข้าเมืองทูลฝ่าบาทให้เร็ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฝ่าบาท และเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของต้าเซี่ย”
หวังเจียนกุมหัวอีกครั้ง “อ่านเอกสารมากมายเช่นนี้ ท่านอ๋องฉีมีปัญหาจริง…เอ๊ะ?” เขาเงยหน้าถาม “ท่านจะกลับไปแล้ว?”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง “ดูความคืบหน้าของเจ้า”
“หากก่อนสิ้นปีข้าสามารถรวบรวมหลักฐานได้ ท่านจะกลับไปหรือ” หวังเจียนถาม “เวลานั้น
องค์รัชทายาทก็จะเข้าเมืองหลวง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบ “กลับไป”
หวังเจียนนั่งตัวตรงในทันที เขาลูบไล้ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ยอมกลับเมืองหลวงเสมอมา นอกจากต้องการทัพหน้าที่ควบคุมเมืองฉีอย่างเข้มงวด ทำให้เมืองโจวสงบและมั่นคงแล้ว ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลคือหลีกเลี่ยงองค์รัชทายาท มีองค์รัชทายาทอยู่ เขาจึงหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ฮ่องเต้ ยอมเป็นเพียงแค่ท่านแม่ทัพที่อยู่ด้านนอก
เวลานี้เขายอมที่จะกลับเมืองหลวงตอนที่องค์รัชทายาทอยู่เมืองหลวง
สีหน้าของหวังเจียนในครั้งนี้เคร่งเครียดขึ้นมาอย่างแท้จริง “ครั้งนี้มีเรื่องใหญ่จะเกิดขึ้นจริงแล้วหรือ” เขาก้มหน้ามองกองจดหมายของจู๋หลิน และจดหมายของเฉินตันจู “เพราะเฉินตันจูกำลังจะก่อเรื่องหรือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหัวเราะด้วยเสียงแหบพร่า “ไม่ใช่นางจะก่อเรื่อง แต่เมื่อนาง…” เขายกมือโยนพู่กันลงกระบอกไม้ไผ่ พู่กันหมุนวนอยู่ในกระบอก “เคลื่อนไหว ย่อมทำให้ผู้อื่นต่างหวั่นไหว หลังจากมีการเคลื่อนไหว จากนั้นจะเกิดความโกลาหล”
ดวงตาของหวังเจียนทั้งสว่างทั้งสงบ “ในเมื่อเป็นความโกลาหล ท่านแม่ทัพไม่กลับไป วางตัวอยู่ด้านนอกไม่ดีกว่าหรือ”
กลับไปอาจถูกดึงให้เข้าไปเกี่ยวพันได้
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ “กลับไปอาจไม่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวพันเสมอไป ดูอยู่ด้านข้างกระจ่างยิ่งกว่า”
หรืออาจเพิ่มไฟ? ดูความสนุกไม่เสียดายเรื่องจะใหญ่ หวังเจียนหัวเราะเสียงเย็น ความคิดของอีกฝ่ายเขายังไม่รู้!
“เวลานี้เรื่องของเหล่าท่านอ๋องจัดการแล้ว สถานการณ์และความคิดของฝ่าบาทแตกต่างจากแต่ก่อนแล้ว” เขาพูดเสียงทุ้ม “ในฐานะแม่ทัพใหญ่ที่ในมือถือสามกองทัพ ทหารและม้านับหลายแสน การกระทำของท่านต้องระวังแล้วระวังอีก”
“ข้าไม่ระวังเมื่อใดกัน” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดด้วยเสียงแหบพร่า ยื่นมือคิดจะลูบไล้เครา เสียดายที่ไม่มี ดังนั้นจึงวางลงบนหัว ลูบผมสีขาวเทา “หากข้าไม่ระวัง ข้าจะมีวันนี้ได้อย่างไร หวังไต้ฟู ผ่านมาหลายปีแล้ว เจ้ายังคงดูถูกคนเหมือนเดิม”
หวังเจียนขุ่นเคือง “ข้าไม่ได้ดูถูกคน แต่เป็นประสบการณ์ เจ้าคนชรา”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กโบกมือ “รีบไป รีบไป หาหลักฐานที่มีแรงโน้มน้าวได้ ข้าอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทย่อมระวังเพียงพอแล้ว”
…
ตอนที่เฉินตันจูได้รับจดหมาย นางมึนงงเล็กน้อย
“ข้าเคยเขียนจดหมายให้ท่านแม่ทัพหรือ” นางถามจู๋หลิน “เขารู้เรื่องใดอีก”
วันนั้นนางดื่มสุราไปมาก นอนไปหนึ่งวัน ตื่นมาจึงลืมเรื่องทุกอย่าง จู๋หลินจึงไม่อยากพูดถึง
อาเถียนพูดกลั้วหัวเราะ “คุณหนู ท่านเขียนจดหมายให้ท่านแม่ทัพบอกว่าท่านมีความสุขมาก คุณชายจางได้เข้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน ท่านให้ท่านแม่ทัพมีความสุขร่วมด้วย”
เฉินตันจูนึกขึ้นได้แล้ว นางแทบอยากจะให้ทุกคนมีความสุขไปพร้อมกับนาง เรื่องผ่านไปครึ่งเดือน เมื่อนึกขึ้นได้ นางยังคงยิ้มออกมาอย่างดีใจ “สมควรมีความสุขร่วมด้วย” พูดพลางลุกขึ้นยืน “ยาของจางเหยากินหมดแล้วหรือไม่”
เวลาครึ่งเดือน สายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านเมืองหลวง พัดพาความหนาวเย็นมา ยาของจางเหยามาถึงขั้นตอนสุดท้าย
เฉินตันจูไม่ได้ไปพบจางเหยาอีก เกรงว่าจะรบกวนเขาอ่านตำรา เพียงแค่ให้อาเถียนส่งยาไปตระกูลหลิว
เวลานี้จางเหยาไม่ได้พักอยู่ในตระกูลหลิวเป็นประจำแล้ว สวีลั่วจือถ่ายทอดวิชาให้เขาอย่างตั้งใจ ให้เขาพักอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยน กลับจวนไปทุกห้าวัน
คราก่อนตอนที่อาเถียนไป จางเหยากลับจวนพอดี เขายังบอกกับอาเถียนว่าอาการไอเกือบหายจนสมบูรณ์แล้ว
“คุณชายจางสวมชุดผ้าฝ้ายใหม่ บอกว่ามารดาของหลิวเวยเป็นคนทำ อีกทั้งยังมีรองเท้า” อาเถียนเล่าสถานการณ์ของจางเหยาแก่นางอย่างเจื้อยแจ้ว “อีกทั้ง ท่านยายของตระกูลฉางรู้สึกว่าสถานศึกษาหนาวเย็น มอบเตาอุ่นมือใหม่สองใบให้คุณชายจาง คุณชายจางกำลังเร่งศึกษา ไปมากับนักเรียนอื่นน้อยมาก แต่เหล่านักเรียนของซินแสปฏิบัติต่อเขาอย่างเป็นมิตร”
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่จางเหยาเล่าให้อาเถียนฟัง เรื่องเล็กจนกระทั่งการใช้ชีวิตประจำวัน ราวกับเขาเข้าใจว่าเฉินตันจูเป็นกังวลสิ่งใด
เฉินตันจูได้ยินคำบอกเล่าของอาเถียน วางใจยิ่งนัก เขามีชีวิตอยู่ดี ช่างดีเสียจริง
“ครานี้นอกจากยา ใช้สมุนไพรทำน้ำตาลชุ่มคอ” นางเรียกอิงกูมาแนะนำ “เป็นได้ทั้งขนม แต่ก็สามารถเสริมฤทธิ์ของยา”
คุณหนูพูดสิ่งใดล้วนดี อิงกูพยักหน้า เฉินตันจูลงมือหั่นยา ต้มยา บดยาด้วยตนเองอย่างตื่นเต้น ก่อนจะให้อิงกูใช้น้ำตาลจากข้าวหมักเอาไว้ ทำไว้เต็มกล่อง ให้อาเถียนนั่งรถส่งไป
ครานี้จางเหยาไม่อยู่ในจวน เนื่องจากได้ยินว่าเมื่อวานเพิ่งกลับมา กลับมาอีกครั้งต้องอีกห้าวันต่อมา อาเถียนกลัวจะเสียเวลาการกินยา จึงให้จู๋หลินเคลื่อนรถมากั๋วจื่อเจี้ยนด้วยตนเอง เรียกจางเหยาออกมา นำยาและน้ำตาลให้เขา
“ยาทานอย่างไร คุณหนูเขียนไว้หมดแล้ว” อาเถียนพูด “น้ำตาลนี้คุณหนูเป็นคนทำเอง คุณชายอย่าลืมทานนะเจ้าคะ”
จางเหยาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ขอบคุณอาเถียน “ขอบคุณคุณหนูตันจูแทนข้าด้วย”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ” อาเถียนโบกมือ ขึ้นนั่งบนรถขอตัวลากลับ
จางเหยาถือห่อยาและกล่องเล็กมองส่งอาเถียนจากไป ก่อนจะหันหลังกลับกั๋วจื่อเจี้ยน
หยางจิ้งเดินออกมาอย่างเชื่องช้าจากตรอกฝั่งตรงข้ามกั๋วจื่อเจี้ยน เขามองมาทางกั๋วจื่อเจี้ยน ก่อนจะมองทิศทางการจากไปของรถม้าของอาเถียน จากนั้นหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ส่งเสียงหัวเราะเศร้าโศกและโกรธแค้น
“เฉินตันจู ช่างเหิมเกริมไม่เกรงกลัวต่อความรู้ของนักปราชญ์”