ฉินจื่อซวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้เซี่ยโหวให้เกียรติมาถึงที่นี่ เพราะเรื่องใดหรือขอรับ หรือเพื่อมาส่งหลานอย่างนั้นหรือ”
เซี่ยโหวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว นอกจากนี้ ข้ายังมีจดหมายหนึ่งฉบับอยากฝากคุณชายฉินแวะไปส่งให้สักหน่อย”
“จดหมายหรือขอรับ” ฉินจื่อซวี่เอ่ยด้วยความสงสัย เซี่ยโหวหยิบจดหมายออกมาหนึ่งฉบับส่งให้นายท่านตระกูลฉิน นายท่านตระกูลฉินมองชื่อบนจดหมาย กลับต้องกัดฟันเอ่ย “ต้องขออภัยพี่เซี่ยยิ่งแล้ว บุตรชายของข้าเกรงว่าจะแวะไม่ได้”
เซี่ยโหวยิ้มบางไม่เอ่ยวาจา
สองพ่อลูกตระกูลฉินมองชายวัยกลางคนตรงหน้า ต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยไร้ซึ่งวาจา เซี่ยโหวไม่เพียงรู้ว่าฉินจื่อซวี่จะเดินทางออกจากจินหลิง ยังรู้อีกว่าเขาจะไปที่ใด คนผู้นี้แทบไม่เหยียบย่ำเข้าไปในราชสำนัก นายท่านตระกูลเซี่ยที่เอาแต่อยู่ในสำนักศึกษา เห็นชัดว่ารู้ลึกเสียยิ่งกว่าคนภายนอกเสียอีก
นายท่านตระกูลฉินวางจดหมายในมือลงบนโต๊ะ เอ่ย “พี่เซี่ยมั่นใจได้เยี่ยงไรว่าบุตรชายของข้าจะผ่านเส้นทางนี้”
เซี่ยโหวถอนหายใจ เอ่ย “เพราะว่า…หากข้าอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าตระกูลฉิน ก็คงจะทำในแบบเดียวกัน”
นายท่านตระกูลฉินตกใจ เอ่ยเสียงเข้ม “เซี่ยโหวเองก็คิดว่า…”
เซี่ยโหวส่ายศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอ่ยไม่ได้”
เอ่ยไม่ได้จริงๆ นายท่านตระกูลฉินถอนหายใจ เอ่ย “เช่นนั้นเซี่ยโหวทำเช่นนี้เพื่ออันใด หากรู้ จดหมายฉบับนี้หากถูกจับได้ ความเลวร้ายคงตกมาอยู่ที่ศีรษะของพวกเราทันที”
เซี่ยโหวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าข้าเชื่อในความสามารถของตระกูลฉินและคุณชายใหญ่”
ฉินจื่อซวี่ยิ้ม เอ่ย “เซี่ยโหวกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าตระกูลเซี่ยยินดีช่วยหลานปิดบังใช่หรือไม่”
เซี่ยโหวคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มมองเขา หันกลับไปเอ่ยกับนายท่านตระกูลฉิน “พี่ฉินมีผู้สืบทอด”
เซี่ยโหวมิใช่คนที่มีท่าทีกดดันใคร อากัปกิริยาสง่างามเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลนักปราชญ์ บางทีอาจเป็นเพราะความสามารถที่ไม่ได้แสดงออกมาในความสง่างามนั้นยังมีความอึดอัดแฝงอยู่มาก ถูกเขามองเพียงเล็กน้อย ฉินจื่อซวี่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ราวกับตนเองเป็นเด็กไม่รู้ความกำลังถูกผู้ใหญ่จ้องมองด้วยสายตาเมตตาจนเกิดความรู้สึกละอายอยู่ในใจ
“พี่เซี่ยชมเกินไปแล้ว” นายท่านตระกูลฉินเอ่ย “เขายังเป็นเด็ก”
ฉินจื่อซื่อลูบจมูก เขาอายุยี่สิบกว่า แต่งงานมีหน้าที่การงานตั้งนานแล้ว
“จื่อซวี่ได้ช่วยท่าน นับเป็นวาสนาของเขา เพียงแต่…ข้าอยากรู้ว่า ตระกูลเซี่ย...”
เซี่ยโหวโบกปัด “ตระกูลเซี่ยไม่เข้าร่วมการแก่งแย้งใดๆ ตอนนี้ไม่ ต่อไปก็ไม่”
“เช่นนั้นสิ่งนี้…” นายท่านตระกูลฉินมีแววฉงน เดิมเข้าคิดว่าตระกูลเซี่ยเตรียมตัวเข้าร่วมการต่อสู้ หากตระกูลเซี่ยสนับสนุนเยี่ยนอ๋อง เขาเองไม่ไตร่ตรองเพิ่มแต้มต่อก็คงไม่ได้ ส่วนคนในจินหลิงผู้นั้น เอ่ยตามตรงว่าไม่อยู่ในสายตานายท่านฉิน หากไม่มีโจวเซียงหันหมิ่นสองคนนั้น ยามนี้ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจินหลิงจะเป็นเช่นไร แต่เช่นกัน นายท่านฉินมั่นใจว่าที่พึ่งของเซียวเชียนเยี่ยจะต้องถูกทำลายภายใต้มือของทั้งคู่อย่างแน่นอน ต่อให้ไม่เอ่ยถึงสิ่งเหล่านี้ ตระกูลฉินและสองคนนั้นก็ไม่อาจเดินในเส้นทางเดียวกันได้ ขุนนางคนสำคัญอย่างสองคนนี้จัดการกับผู้ปกครองเมืองสำเร็จ จะปล่อยพวกเขาไปหรือ
เซี่ยโหวถอนหายใจ เอ่ย “ข้าเพียงทำในสิ่งที่ข้าทำได้ก็เท่านั้น”
ฉินจื่อซวี่เอ่ย ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้เซี่ยโหวเคยถวายฎีกาต่อฝ่าบาท ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเรื่องลดอำนาจผู้ปกครองเมือง หากฝ่าบาทฟังคำแนะนำของเซี่ยโหวสักนิด เกรงว่าคงไม่มีเรื่องเว่ยอ๋องเกิดขึ้น”
เซี่ยโหวมองสำรวจฉินจื่อซวี่อยู่ชั่วครู่ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ราชโองการที่ถวายแก่ฝ่าบาทคุณชายใหญ่ฉินยังรู้เนื้อหาด้านในได้ ข้าช่างนับถือ” มิน่าฝ่าบาทถึงได้ไม่ชอบตระกูลขุนนางอย่างพวกเขา ตระกูลฉินยังนับว่าดี แม้จะเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่ง แต่นับว่ายังมีขอบเขต ยามนี้ตระกูลอื่นๆ หลายตระกูลในจินหลิง เห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอดีตฮ่องเต้จึงเริ่มก่อกวนขึ้นมา ยามนี้มีเรื่องผู้ปกครองเมืองมาขวางเอาไว้ มิเช่นนั้นฮ่องเต้องค์ไหนเล่าจะปล่อยพวกเขาไปได้
เซี่ยโหวลุกขึ้น เอ่ยว่า “ข้ารบกวนเวลาของทั้งสองมากแล้ว คงต้องขอตัวลา”
นายท่านตระกูลฉินพยักหน้า เอ่ย “จื่อซวี่ ไปส่งเซี่ยโหว”
“ขอรับ ท่านพ่อ”
ในยามที่ฉินจื่อซวี่กลับมาพลันมองเห็นบิดากำลังนั่งเหม่อลอยมองจดหมายตรงหน้า จดหมายที่เซี่ยลี่ให้มาไม่ได้ปิดผนึก นั่นหมายความว่าไม่ได้มีเนื้อหาที่ต้องปิดบัง นายท่านฉินเองก็ไม่ได้ทำตัวเป็นผู้มีคุณธรรมนัก หยิบขึ้นมาเปิดอ่าน อย่างไรจดหมายฉบับนี้อาจส่งผลต่อสถานการณ์ในอนาคต ท่าทีของตระกูลเซี่ยมีผลต่อความปลอดภัยของฉินจื่อซวี่ หากไม่อ่านให้ละเอียดเขาไม่มีทางให้บุตรชายนำจดหมายไปส่งให้อย่างแน่นอน เห็นชัดว่าเซี่ยโหวเองก็เข้าใจเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเปิดซองจดหมายเอาไว้
“ท่านพ่อ” ฉินจื่อซวี่เอ่ย
นายท่านตระกูลฉินถอนหายใจออกมา “ตระกูลเซี่ยสมแล้วที่เป็นตระกูลนักปราชญ์ พวกเราไม่ต้องกังวลให้มาก”
“ท่านพ่อ เซี่ยโหวว่าอย่างไร”
นายท่านตระกูลฉินยื่นจดหมายให้เขา ความจริงในจดหมายไม่ได้มีความลับอันใด เพียงจดหมายเตือนเยี่ยนอ๋องเท่านั้น เนื้อหาจดหมายบอกเพียงว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ยังหนุ่มเลี่ยงไม่ได้ที่จะก้าวร้าวเกินไป ขอเยี่ยนอ๋องเห็นแก่ประชาชนและเห็นแก่หน้าอดีตฮ่องเต้อย่าได้บุ่มบ่าม ทำให้ผู้คนต้องเดือดร้อน ใช้วาจาที่จริงใจ ด้วยคำง่ายๆ ทว่าทำให้คนเข้าใจถึงความกังวลของเขาต่อสถานการณ์ข้างหน้า
ฉินจื่อซวี่เงียหน้าขึ้นมา ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงก่อนจะถาม “ท่านพ่อ เซี่ยโหวมั่นใจว่าเยี่ยนอ๋อง…” ฉินจื่อชวี่ดูแคลนเหล่าขุนนางผู้โง่เขลาเลอะเลือนในราชสำนักเหล่านั้น รู้จักแต่จะต่อสู้แย่งชิง สถานการณ์ยามนี้ราวกับทุกคนกำลังมัวเมาและมีเขาตื่นอยู่เพียงผู้เดียว ทว่าบนโลกใบนี้ใช่ว่าจะไม่มีคนฉลาดที่มองทะลุปรุโปร่งได้ เพียงแต่คนฉลาดไม่ชอบยื่นมือเข้ามายุ่งเท่านั้น แม้แต่คนที่อยู่ในราชสำนักเหล่านั้น ใครจะกล้าบอกว่ามิใช่คนฉลาด เพียงแต่ตนเองอยู่ในสถานการณ์จึงเลี่ยงได้ยากที่จะ ‘ไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริงของเขาหลู[1]’
นายท่านตระกูลฉินถอนหายใจ เอ่ย “อดีตฮ่องแต่ปรีชาสามารถ เมื่อแก่แล้วกลับ…ผู้ที่อยู่ในวังผู้นั้น กดเยี่ยนอ๋องไม่ได้ เป็นเรื่องจะช้าจะเร็วเท่านั้นแล้ว” องค์ชายที่เคยติดตามอดีตฮ่องเต้สยบใต้หล้า ศักดิ์ศรีของชินอ๋องที่กุมอำนาจทหารอยู่ในมือจะยอมให้หลานชายอายุน้อยมาเหยียบย่ำได้อย่างไร ต่อให้เขาเป็นฮ่องเต้ก็ตาม
“จดหมายฉบับนี้ ส่งได้จริงหรือขอรับ” เยี่ยนอ๋องอ่านจดหมายแล้วจะตัดหัวเขาหรือไม่ ถูกคนจี้จุดอันใดเช่นนั้น จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันใดหรือไม่ หากไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในตัวเซี่ยโหว เขาคงจะสงสัยว่าเซี่ยโหวตั้งใจยืมมือคนอื่นสังหารแล้ว
“ส่ง” เนิ่นนาน นายท่านฉินจึงตัดสินใจ เอ่ย “เดินทางออกไปแล้ว ในระยะเวลาสองปีเจ้าอย่าได้กลับมา”
“สองปีหรือขอรับ”
นายท่านฉินเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากภายในสองปีอำนาจยังไม่เปลี่ยน ต่อไปก็คงไม่เปลี่ยนแล้ว” ด้วยนิสัยของฮ่องเต้องค์ใหม่ เกรงว่าคงทนรอถึงตอนนั้นไม่ได้ โยวโจวผู้นั้น ก็ไม่ใช่คนชอบอดทนนัก
ฉินจื่อซวี่ขมวดคิ้ว ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “ท่านพ่อ ข้าไปแล้วพวกท่าน…” หากข่าวของเขาไม่ถูกปล่อยออกไปคงจะดี เกิดหลุดลอดออกไปได้ตระกูลฉินคงโชคร้ายแล้ว
นายท่านตระกูลฉินเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร หากเจ้าถูกจับได้ ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องแซ่ฉินแล้ว” ฮ่องเต้ไม่มีทางแตะต้องตระกูลฉินได้ง่ายๆ ถึงตอนนั้นไล่ฉินจื่อซวี่ออกจากตระกูลก็ได้แล้ว แต่หากฉินจื่อชวี่ยังอยู่ในจินหลิง เพียงฮ่องเต้สู้รบกับเยี่ยนอ๋องตระกูลฉินก็จะถูกบีบบังคับให้เข้าร่วมกับฝ่าบาท เอ่ยตามตรง นายท่านฉินนั้นไม่ชื่นชอบฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนัก หากมีฉินจื่อซวี่อยู่โยวโจว อย่างไรก็พอดึงสถานการณ์อนาคตเอาไว้ได้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาชอบตีสองหน้า แต่สิ่งนี้ทำเพื่อความอยู่รอดและสืบต่อไปของตระกูล
[1] ไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริงของเขาหลู หมายถึง เพราะเราอยู่ในหุบเขาเราจึงไม่อาจรู้ได้ว่าภาพรวมหรือลักษณะรวมๆ ของภูเขามีหน้าตาอย่างไร ปัจจุบันใช้เปรียบ เรื่องราวที่ยากจะเข้าใจในความเป็นจริง หรือเข้าใจภาพรวมได้ยาก