ฉินจื่อซวี่เองก็เข้าใจเป็นอย่างดี สูดหายใจเข้าลึก เอ่ย “ขอรับ ท่านพ่อ”
นายท่านตระกูลฉินลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “เอาซีเอ๋อร์ไปด้วยหรือไม่”
“เอ่อ” ฉินจื่อซวี่ชะงัก “ร่างกายของซีเอ๋อร์…”
“ก็เพราะเช่นนี้จึงอยากให้เจ้าเอานางไปด้วย จินหลิงมีลมฝนมาก ข้าและมารดาของเจ้าก็ไม่มีเวลาดูแลนาง นอกจากนี้ ได้ยินว่าคุณชายเสียนเกอและอาจารย์ของซิงเฉิงจวิ้นจู่เองก็อยู่โยวโจว หากขอให้พวกเขารักษาน้องสาวเจ้าได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดี”
“เข้าใจแล้วขอรับ ลูกจะดูแลน้องสาวให้ดีขอรับ” ฉินจื่อซวี่เอ่ยจริงจัง
“ไปเถิด ต่อไปตระกูลฉินจะเป็นอย่างไรคงขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว บอกกับคนอื่นว่าเจ้าพาซีเอ๋อร์กลับบ้านเกิดไปไหว้บรรพบุรุษ”
“ขอรับ เสด็จพ่อ” พอดีกับภูมิลำเนาเดิมของบรรพบุรุษตระกูลฉินนั้นอยู่ในเขตปกครองของชิ่งอ๋อง เดินทางไปทางทิศเหนือก็ไม่เป็นที่น่าสงสัย
เซียวเชียนเยี่ยอารมณ์ร้าย ตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์มาก็ไม่เคยอารมณ์ดีมาก่อน หวงจั่งซุนผู้อ่อนโยนสุขุมผู้นั้นคล้ายกับจะอยู่เพียงในความทรงจำของผู้คน
“เลว” เซียวเชียนเยี่ยฉีกทึ้งฎีกาบนโต๊ะตรงหน้า โจวเซียงที่ยืนอยู่ด้านหน้าก้มลงไปเก็บขึ้นมา แม้เซียวเชียนเยี่ยจะอารมณ์ร้ายแต่ยังเคารพอาจารย์เหล่านี้มาก เห็นเขาทำเช่นนี้ก็อดละอายอยู่ในใจไม่ได้ “ท่านโจว ให้นางกำนัลมาเก็บเถิด เป็นข้าเองที่ควบคุมตัวเองไม่ได้”
นางกำนัลด้านข้างรีบเดินเข้ามาเก็บฎีกาที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น โจวเซียงเอ่ย “ไยฝ่าบาทต้องโกรธเกรี้ยวเช่นนี้”
เซียวเชียนเยี่ยยิ้มขมขื่น เอ่ย “เรื่องของข้าผ่านไปเกือบสองเดือนแล้ว คนเหล่านี้…คนพวกนี้ต่างเป็นราษฎรของข้านะ มีเวลาว่างมาถวายฎีกาไร้สาระ มิสู้เอาเวลาไปทำเพื่อราชสำนักจะดีกว่า” โจวเซียงถอนหายใจอยู่ในใจ เมื่อเทียบกับอดีตฮ่องเต้แล้วฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังขาดความน่าเกรงขามและจิตใจที่เด็ดเดี่ยว ต่อให้เทียบกับองค์รัชทายาทที่ร่างกายอ่อนแอก็ยังมีไม่มากพอ แต่ว่าฮ่องเต้ใจอ่อน สำหรับราษฎรแล้วเป็นเรื่องที่ดี อดีตฮ่องเต้ตัดสินใจเด็ดขาดด้วยพระองค์เอง ในสายตาของชาวเมืองชื่อเสียงย่ำแย่เป็นที่สุด แต่เพราะความโหดเหี้ยมของอดีตฮ่องเต้จึงไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก
“ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล พวกเขาพูดได้เพียงชั่วระยะหนึ่งเดี๋ยวก็หยุดแล้ว พี่หันได้ไปเยี่ยมท่านชิงเถิงด้วยตนเองแล้ว ขอเพียงเขาไม่เอ่ยอันใดอีก นักประพันธ์เหล่านั้นก็จะหยุดกันไปเอง” ท่านชิงเถิงเป็นคนมีชื่อเสียงในเจียงหนาน แม้จะไม่เคยเข้ามาอยู่ในราชสำนักแต่ชื่อเสียงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าโจวเซียงและหันหมิ่นเมื่อหลายปีก่อน หากโจวเซียงสองคนเรียกว่าเป็นขุนนางผู้มีอำนาจในราชสำนัก ชิงเถิงก็เปรียบเสมือนตัวแทนของคนที่ไม่ได้อยู่ในราชสำนัก ใช้ชีวิตสันโดษหลีกหนีจากโลกภายนอก
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้า เอ่ยถาม “ตระกูลขุนนางในจินหลิงเหล่านั้นยังไม่ยอมกลับคำพูดอีกหรือ”
ดวงตาของโจวเซียงมีแววไม่พอใจ เอ่ย “ตระกูลขุนนางเหล่านั้นเดิมทีก็เป็นนกสองหัว ต้องการให้พวกเขายกธงยืนข้างฝ่าบาทลดอำนาจผู้ปกครองเมือง…เกรงว่า…” ฮ่องเต้ไม่อาจล่วงเกิน ผู้ปกครองเมืองเองก็ไม่อาจล่วงเกินเช่นกัน นอกเสียจากฝ่าบาทจะจัดการผู้ปกครองเมืองให้สิ้นในคำเดียวหรือยึดอำนาจของพวกเขาและกักขังเอาไว้ทั้งหมด มิเช่นนั้นพวกเขาอยากจะหาเรื่องใครก็มิใช่เรื่องยาก ยิ่งไปกว่านั้นการยึดอำนาจเบื้องหน้าทำได้ง่าย ล้วนเป็นอ๋องอายุน้อยยังไม่มีอำนาจอันใด ลึกลงไป เจอกระดูกยิ่งยากแล้ว ใครจะรู้ได้ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไร
“เลว” เซียวเชียนเยี่ยก่นด่า
โจวเซียงถอนหายใจ เอ่ย “ทว่า กระหม่อมเพิ่งได้ข่าวหนึ่งมา”
“ท่านโจวไม่ต้องกังวล รีบเอ่ยมาเถิด”
โจวเซียงเอ่ย “ได้ยินมาว่า…ครึ่งเดือนก่อน คุณชายใหญ่ฉินพาคุณหนูฉินออกจากจินหลิง บอกว่ากลับไปไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเกิดพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยย่นคิ้ว “แล้วอย่างไร” ทุกๆ ปีเชื้อพระวงศ์เองก็ต้องไปไหว้บรรพบุรุษที่ตานหยาง เพราะเหตุนนี้ราษฎรเองก็ปฏิบัติตาม ส่งลูกหลานกลับไปไหว้บรรพบุรุษไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
โจวเซียงเอ่ย “ภูมิลำเนาเดิมของตระกูลฉิน…อยู่ห่างจากโยวโจวไม่ไกลนักพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยชะงัก ขมวดคิ้ว เอ่ย “ท่านโจวคิดมากเกินไปหรือไม่ คนตระกูลฉินก็ยังอยู่ที่จินหลิง ฉินจื่อซวี่เพียงคนเดียวจะทำอันใดได้” ครุ่นคิดอยู่นาน เซียวเชียนเยี่ยจึงเอ่ย “ท่านโจวกังวลว่า ตระกูลฉินจะอยู่ฝ่ายจวนเยี่ยนอ๋องหรือ”
โจวเซียงส่ายศีรษะ เอ่ย “บางทีกระหม่อมคงคิดมากไปเองพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ระวังไม่ได้”
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้า หรี่ตาลง เอ่ย “ตระกูลขุนนางในจินหลิงพวกนี้ เดิมไม่เคยมองข้าอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ตระกูลฉิน ควรเคาะดูสักหน่อยจริงๆ”
“ฝ่าบาทหมายถึง” โจวเซียงเอ่ย
เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย “ส่งคนจับตามองคนตระกูลฉินเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อสายหลักหรือเครือญาติ ออกจากจินหลิงโดยไม่ได้รับอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียด ทางที่ดี อย่าให้ข้าจับได้ว่าพวกเขาคิดจะเล่นลูกไม้อันใด” ก่อนหน้านี้คงจะใจดีกับตระกูลขุนนางพวกนี้มากเกินไป
“ฝ่าบาท ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาลงมือกับตระกูลขุนนางพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้า ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านโจววางใจ ขอเพียงพวกเขารู้หน้าที่ข้าก็จะไม่แตะต้องพวกเขา จริงสิ ตระกูลจูช่วงนี้เป็นอย่างไร”
ใบหน้าของโจวเซียงมีรอยยิ้มขึ้นมา เอ่ย “ตระกูลจูจงรักภักดีต่อฝ่าบาทยิ่งนัก ฝ่าบาทวางใจได้ เรื่องที่ฝ่าบาทรับสั่งตระกูลจูไม่มีทางไม่กล้าทำอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” แม้การเป็นปัญญาชนโจวเซียงเองก็ดูแคลนตระกูลจู แต่เขาก็ไม่ใช่เทพเซียนไม่กินข้าวของคนธรรมดา[1] สิ่งที่ฝ่าบาทจะทำ หากไม่มีเงินแน่นอนว่าไม่อาจทำได้ อีกทั้งตระกูลจู อย่างไรก็ยังเป็นถุงเงินของฝ่าบาท
“เช่นนั้นก็ดี” เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้า เอ่ย “เสด็จอาเยี่ยนอ๋อง…ข้าหวังว่าเขาจะไม่ลืมคำสั่งสอนของเสด็จปู่ ทำเรื่องอกตัญญูต่อบรรพบุรุษขึ้นมา”
“จิตใจที่กว้างขวางของฝ่าบาทหวังว่าเยี่ยนอ๋องจะเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” โจวเซียงเอ่ย
ปลายฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม เมืองโยวโจวเองก็มีลมพัดเย็นน่าอภิรมย์ ดอกไม้ผลิบาน รถม้าไม่สะดุดตาค่อยๆ เคลื่อนมาตามถนน หยุดลงหน้าเรือนชิงมั่ว ไม่นานชายหนุ่มในชุดสีเหลืองดั่งฤดูใบไม้ร่วงออกมาจากในรถม้า หันกลับไปเอ่ยกับคนที่อยู่ด้านในเสียงเบาเพียงไม่กี่ประโยคจึงเดินมายังประตูใหญ่ด้านหน้าเรือนชิงมั่ว
เรือนชิงมั่วเป็นที่อยู่ของตั้งจั่งกงจู่ แน่นอนต้องมีองครักษ์คอยเฝ้าอยู่ด้านหน้า เห็นเขาเดินเข้ามา จึงเอ่ยถามเสียงเข้ม “ผู้ใดกัน”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นประสาน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยมาจากจินหลิง ขอพบคุณชายเว่ยและจวิ้นจู่ ช่วยรายงานด้วย”
“คุณชายมีนามว่าอย่างไร”
ชายหนุ่มยิ้มยื่นแผ่นหยกที่พกติดตัวไปให้ เอ่ย “ช่วยมอบของสิ่งนี้ให้คุณชายเว่ย เขาจะรู้เอง”
องครักษ์เห็นว่าเขาดูไม่ธรรมดา พยักหน้าพลางเอ่ยตอบ “คุณชายรอชั่วครู่”
“ขอบคุณมาก”
…
“คุณชายฉิน ซีเอ๋อร์ ไม่เจอกันนานเป็นอย่างไรบ้าง”
ในห้องโถง หนานกงมั่วมองทั้งสองคนที่ถูกเชิญเข้ามา ใบหน้ากลับไร้ซึ่งความประหลาดใจ มือกวัดแกว่งหยกที่ได้รับมาจากองครักษ์เมื่อครู่เล่นพร้อมเอ่ยกับทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“มั่วเอ๋อร์หรือ” ฉินซีมองหนานกงมั่วที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ “เจ้า…เจ้าตั้งครรภ์แล้วหรือ” หนานกงมั่วอายุครรภ์ได้เก้าเดือนแล้ว เพราะเป็นแฝดท้องจึงโตกว่าหญิงตั้งครรภ์ทั่วไป เมื่ออากาศหนาวยังไม่อาจรู้สึกได้ แต่เมื่อเปลี่ยนมาอยู่ในชุดฤดูใบไม้ผลิแล้ว มักเห็นองค์หญิงฉังผิงคอยตื่นตกใจอยู่เป็นนิจ กลัวว่านางจะไม่ระวังสะดุดล้มหรือไปชนเข้ากับสิ่งใด
ฉินจื่อซวี่กลับสุขุมกว่าน้องสาวมาก อย่างไรเสียคุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่ก็แต่งงานมาปีกว่าแล้ว จะตั้งครรภ์ก็ไม่แปลก
[1]เทพเซียนไม่กินข้าวของคนธรรมดา มาจากเรื่องเล่า เทพเซียนสามารถใช้วิชาเพื่อเสกข้าวออกมาได้ เมื่อเทียบกับข้าวของคนธรรมดาทั่วไปแล้วนับว่าเป็นข้าวชั้นดีกว่า จึงไม่คิดจะแตะต้องข้าวของคนธรรมดา