ชื่อของเฉินตันจู ในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้ เหล่านักเรียนที่ปิดประตูศึกษาตำราอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยนก็ไม่ยกเว้น เหล่าบัณฑิตของสำนักการศึกษาของเมืองอู๋เดิมย่อมคุ้นเคย นักเรียนที่มาใหม่ล้วนมาจากตระกูลชั้นสูง หลังจากผ่านเรื่องการปะทะของเฉินตันจูและคุณหนูตระกูลเกิ่ง เหล่าตระกูลชนชั้นสูงต่างกำชับบุตรหลานภายในตระกูลให้ห่างไกลจากเฉินตันจู
โชคดีที่เฉินตันจูนี้กระทำการเหิมเกริมแค่ด้านนอก รังแกหญิงข่มเหงชาย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างลัทธิหยู
ทุกคนไม่เคยคิดว่าจะได้ยินชื่อของเฉินตันจูในกั๋วจื่อเจี้ยน
เวลานี้สวีลั่วจือถูกตำหนิว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเฉินตันจู เรื่องนี้ก็เหลือเชื่อมากพอแล้ว สวีซินแสมีฐานะอันใด เหตุใดจึงมีความสัมพันธ์กับหญิงร้ายอย่างเฉินตันจูผู้ที่ไร้ความซื่อสัตย์ไร้ความจงรักภักดีได้
เวลานี้บัณฑิตผู้นี้พูดถึงนามของเฉินตันจู สหาย เขาบอกว่าเฉินตันจูเป็นสหาย
“ฮ่า…” หยางจิ้งหัวเราะร่า เขายกกล่องสำรับขึ้น “เฉินตันจูเป็นสหายของเจ้า? เฉินตันจูเป็นสหายของเจ้า บุตรหลานตระกูลสามัญชนอย่างเจ้าเป็นสหายของเฉินตันจู…”
จางเหยามองกล่องสำรับที่ถืออยู่ในมือของเขา พูดอย่างจริงใจ “ศิษย์พี่ท่านนี้ ขอให้ท่านวางกล่องสำรับลงก่อน สิ่งนี้สหายของข้ามอบให้”
สหายมอบให้ หยางจิ้งนึกถึงเฉินตันจูในฝันร้าย ด้านหนึ่งโหดเหี้ยม ด้านหนึ่งงดงาม มองบุตรหลานตระกูลสามัญชนผู้นี้ด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ…
“หญิงโฉดชายชั่ว!” หยางจิ้งตะโกน ก่อนจะโยนกล่องสำรับลงพื้น
เสียงกระทบดังขึ้น กล่องสำรับแตกกระจาย ขนมน้ำตาลด้านในกลิ้งออกมา ผู้คนด้านนอกห้องต่างส่งเสียงฮือฮา แต่นาทีถัดมาเสียงร้องอย่างตกตะลึงดังยิ่งขึ้น จางเหยากระโจนเข้าไปชกหมัดเข้าที่ใบหน้าของ
หยางจิ้ง
ถึงแม้บุตรหลานตระกูลสามัญชนจะมีรูปร่างผอมบาง แต่การเคลื่อนไหวรวดเร็วมีกำลังมาก หยางจิ้งส่งเสียงร้องเจ็บปวดล้มลง สองมือปิดหน้า เลือดกำเดาไหลออกมาจากร่องนิ้ว
จางเหยาไม่ได้ต่อยซ้ำลงไป เขาใช้แรงถีบลงบนตัวของหยางจิ้ง ก่อนจะสะบัดเสื้อยืนตัวตรง “การเป็นสหายไม่แบ่งแยกสูงต่ำ เจ้าเหยียดหยามข้าได้ แต่ไม่อาจเหยียดหยามสหายของข้า ผู้ที่กล่าวคำดูถูกผู้อื่น ช่างเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ เหยียดหยามต่อนักปราชญ์ยิ่งนัก”
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหล่าผู้ช่วยไม่ทันได้ห้ามปราม ทำได้เพียงไปดูอาการของหยางจิ้งที่นอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้น บัณฑิตผู้นี้มีกำลังมาก เกรงว่าหมัดนี้จะทำให้จมูกของหยางจิ้งแตกร้าว
“สวีซินแส” จางเหยามองไปทางสวีลั่วจือ โค้งตัวคำนับ “ศิษย์เสียมารยาทแล้ว”
สวีลั่วจือมองจางเหยา เอ่ยถาม “เจ้ารู้จักเฉินตันจู?”
จางเหยาตอบรับ “หลังจากข้าเข้าเมืองแล้ว มีอาการไอ คุณหนูตันจูเป็นผู้รักษาให้ข้า”
รักษาหรือ…ได้ยินว่าเฉินตันจูเปิดร้านยา ขวางทางอยู่ที่เชิงเขาภูเขาดอกท้อ รักษาโรคคราหนึ่งต้องใช้เงินมาก เหล่าคุณหนูชนชั้นสูงในเมืองต่างไปซื้อยาของนางเพื่อคบหานาง ยาชนิดหนึ่งราคาหนึ่งตำลึงทอง…ปล้นกันชัดๆ
คนด้านนอกห้องต่างวิจารณ์เสียงเบา บุตรหลานตระกูลสามัญชนนี้มีเงินให้เฉินตันจูรักษาโรคหรือ
หยางจิ้งที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้นก่นด่า “รักษาโรค ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าบอกทุกคน เจ้ารู้จักกับคุณหนูตันจูได้อย่างไร เหตุใดคุณหนูตันจูจึงรักษาโรคให้เจ้า เพราะว่าเจ้ารูปงามหรือ เจ้าคือบัณฑิตที่ถูกคุณหนูตันจูลักพาตัวกลับไปจากบนถนน…คนทั้งเมืองหลวงต่างเห็น!”
คนผู้นั้นคือเขา! คนรอบด้านต่างมองจางเหยาด้วยสีหน้าตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม คุณหนูตันจูลักพาตัวชายผู้หนึ่ง เรื่องนี้ไม่ได้เห็นกันทุกคน แต่ทุกคนต่างรู้ คิดว่าเป็นข่าวลือเสมอมา ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง
สวีลั่วจือมองจางเหยา “เรื่องจริงหรือ”
จางเหยายิ้มระอา “ซินแส ข้ารู้จักกับคุณหนูตันจูบนถนนจริง หากแต่ไม่ใช่การลักพาตัว นางเชิญข้าไปรักษาตัว ข้าจึงไปภูเขาดอกท้อกับนาง ซินแส ตอนที่ข้าเข้าเมือง อาการไอของข้ากำเริบ รุนแรงอย่างมาก มีสหายเป็นพยานได้…”
หยางจิ้งลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เลือดที่ไหลอาบหน้าทำให้เขายิ่งดูโหดร้าย “เฉินตันจูรักษาโรคให้เจ้า เมื่อรักษาหายแล้ว เหตุใดจึงยังคงไปมาหาสู่กับเจ้า ก่อนหน้านี้สาวรับใช้ของนางยังมาพบกับเจ้า สวีลั่วจือ ท่านไม่ต้องแสร้งกระทำ วันนั้นบัณฑิตผู้นี้ถูกเฉินตันจูส่งมา รถม้าของเฉินตันจูอยู่ด้านนอก ผู้เฝ้าประตูเห็นกับตา ท่านต้อนรับอย่างกระตือรือร้น ท่านยังมีสิ่งใดต้องพูด…”
ก่อนหน้านี้จางเหยาไปพบกับสาวรับใช้ของเฉินตันจู? อีกทั้งจางเหยาถูกเฉินตันจูส่งมา? คนด้านนอกประตูต่างฮือฮา มองไปทางจางเหยา ก่อนจะมองไปทางสวีลั่วจือ
เวลานี้ผู้เฝ้าประตูยืนออกมา แก้ตัวให้สวีลั่วจือ “วันนั้นหญิงสาวผู้หนึ่งส่งจางเหยาเดินทางมา แต่ท่านจี้จิ่วไม่ได้เห็นหญิงสาวผู้นั้น อีกทั้งหญิงสาวผู้นั้นก็ไม่ได้เข้ามา…”
หยางจิ้งพูดขัดเขา ชี้ไปยังสวีลั่วจือเงยหน้าหัวเราะยาว “เวลานั้นไม่ได้พบ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาได้พบในเวลาอื่นหรือไม่ มิฉะนั้น เหตุใดท่านจึงรับลูกศิษย์สามัญชน”
ผู้ช่วยทั้งสองที่รู้สาเหตุต้องการพูดบางสิ่ง กลับถูกสวีลั่วจือห้ามเอาไว้ เขามองไปทางจางเหยา เอ่ยถาม “เจ้ารู้จักกับเฉินตันจู เหตุใดจึงไม่บอกข้า”
จางเหยาพูดอย่างสงบ “ศิษย์คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ไม่เกี่ยวกับการศึกษา ดังนั้นไม่ต้องพูด”
สวีลั่วจือถามอีกครั้ง “เจ้ารู้จักกับเฉินตันจูในฐานะไต้ฟูกับคนป่วยเท่านั้น? นางยื่นมือมาช่วยเหลือเจ้าเพียงเพราะพบเจ้าป่วยอยู่กลางถนน?”
เรื่องนี้ จางเหยาลังเลเล็กน้อย เงยหน้า “ไม่ใช่”
สวีลั่วจือถามเสียงทุ้ม “เช่นนั้นเพราะเหตุใด”
ไม่ใช่จริงด้วย บอกแล้ว เฉินตันจูจะเป็นคนประเภทนั้นได้อย่างไร ช่วยเหลือบัณฑิตป่วยที่บังเอิญพบกลางถนน ผู้คนด้านนอกประตูต่างวิจารณ์ด้วยความสงสัย
ได้ยินว่าทดลองยาให้องค์ชายสาม
เพราะเรื่องนี้หรือไม่
จางเหยาส่ายหัว “ขอให้ซินแสเข้าใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของศิษย์ ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ศิษย์ไม่อาจตอบได้”
ไม่ตอบ! เรื่องส่วนตัว? เสียงฮือฮาด้านนอกประตูดังขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางความคึกคักปะปนไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของหยางจิ้ง
สวีลั่วจือตะโกนด้วยความโกรธ “หุบปากให้หมด!”
เสียงเอิกเกริกเงียบไปทันที แม้แต่หยางจิ้งที่บ้าคลั่งก็หยุดลง อาจารย์หยูโกรธมีความน่ากลัวอย่างมาก
“จางเหยา” สวีลั่วจือมองจางเหยา “ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เพราะเหตุใด หากเจ้าไม่พูดให้กระจ่าง เจ้าออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนไปบัดนี้!”
จางเหยาคำนับสวีลั่วจือหนึ่งที “ขอบคุณซินแสที่สั่งสอนมาเป็นเวลาหลายวัน จางเหยาได้รับความรู้มากมาย การสั่งสอนของซินแส ศิษย์จะจดจำไว้ในใจ”
พูดพลางหันหลัง หากแต่ไม่ได้เดินไปเก็บตำราก่อน หากแต่คุกเข่าอยู่บนพื้น เก็บขนมน้ำตาลที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาทีละชิ้น แม้จะเป็นชิ้นที่แตกหัก…
เมื่อเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ สีหน้าของสวีลั่วจือดำทะมึน เขาสะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินจากไป
หยางจิ้งหัวเราะอยู่ด้านหลัง สวีลั่วจือหันหลังกลับมา ตะโกน “ผู้ใดก็ได้ นำตัวหยางจิ้งส่งไปยังที่ว่าการ บอกผู้ควบคุม คนผู้นี้บังอาจมากระทำการอุกอาจในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เหิมเกริมยิ่งนัก ปลดฐานะชนชั้นสูงของเขาเสีย!”
หยางจิ้งตกตะลึง “ท่าน ท่านกล้า ข้าไม่ได้ทำผิดอันใด!”
สวีลั่วจือพูดเสียงเย็น “ผิดหรือไม่ผิด ให้ที่ว่าการตัดสินเถิด” พูดพลางสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปด้านนอก นักเรียนและเหล่าผู้ช่วยที่ยืนดูอยู่ด้านนอกต่างหลีกทาง ส่วนทางองครักษ์ของกั๋วจื่อเจี้ยนไม่กล้ารอช้า เดินขึ้นหน้าจับตัวของหยางจิ้งเอาไว้ อุดปากแล้วลากออกไป
ภายในห้องพักของจางเหยาเหลือเขาเพียงคนเดียว ภายใต้การจับตามองของเหล่านักเรียนด้านนอก เขาเก็บขนมน้ำตาลบนพื้นลงกล่องอีกครั้ง ใส่เข้าไปในชั้นวางตำรา…ชั้นวางตำราทรุดโทรมถูกเฉินตันจูมอบอันใหม่ให้…ก่อนจะนำพู่กัน หมึก ที่ฝนหมึกและกระดาษ รวมทั้งเสื้อผ้าใส่ลงไป ก่อนจะแบกขึ้นมา
“รบกวน” จางเหยาพูดกับคนที่อยู่ด้านนอกประตูด้วยรอยยิ้ม “หลีกทาง”
เหล่านักเรียนต่างหลีกทาง บ้างมีสีหน้าตกตะลึง บ้างมีสีหน้าเสียดสี บ้างส่งเสียงก่นด่า จางเหยาได้ยินแต่ไม่สนใจ เขาแบกชั้นวางตำราเดินออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนอย่างสง่าผ่าเผย
ประตูใหญ่ปิดลงอย่างช้าๆ อยู่ด้านหลัง จางเหยาหันกลับไปมองป้ายที่สูงส่งและเคร่งขรึม ก่อนจะเบนสายตากลับมาเดินไปทางด้านหน้า