“เฮือก ดูเหมือนผมจะต้องกลับบ้านแล้วครับ”
คิมคังอูที่นอนดูโทรทัศน์อยู่เด้งตัวขึ้นมา
“ทำไมล่ะ”
“พี่สาวบอกว่าปวดท้องเลยฝากให้ซื้อยากลับไปให้น่ะครับ”
หัวหน้าทีมชาลุกขึ้น
“งั้นก็ต้องไปสิ มียาหรือเปล่า จะไปซื้อยาได้ที่ไหนในเวลาแบบนี้”
“แถวบ้านของผมมีร้านยาที่เปิดดึกอยู่ครับ ผมจะไปก่อนที่ร้านจะปิด”
คิมคังอูหยิบเสื้อขึ้นมา
“ฉันจะไปส่งที่ป้ายรถเมล์เอง ไม่สิ ฉันจะเรียกแท็กซี่ให้ ออกไปกันเถอะ เดินไหวหรือเปล่า”
“ผมสร่างตั้งแต่เมื่อกี้แล้วครับพี่เขย”
“ที่นี่เรียกแท็กซี่ยากน่ะ โอ๊ย ถ้าไม่ได้ดื่มเหล้า ฉันก็น่าจะไปส่งได้”
พอเห็นว่าหัวหน้าทีมชาบ่นพึมพำในขณะที่ตามออกมา คิมคังอูก็กลั้นขำ
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ว่าแต่พี่กลับไปคบกับพี่สาวใหม่เป็นไงครับ”
“อย่าพูดอะไรน่ากลัวสิ พยายามจะจบชีวิตคนหรือไง”
ทั้งสองคนเถียงกันขณะขึ้นลิฟต์ และลงมาที่ประตูทางเข้าของอพาร์ทเมนต์
“ไว้ผมจะมาเที่ยวเล่นใหม่นะครับ”
พอแท็กซี่ที่เรียกไว้มาถึง คิมคังอูก็โบกมือลาก่อนจะกลับไป หัวหน้าทีมชาจุดบุหรี่
“เพราะนิสัยไม่ดีถึงได้ปวดท้องบ่อยหรือไง เฮ้อ”
เขาโยนบุหรี่ที่จุดแล้วใส่ถังขยะและเดินเข้าไปในอพาร์ทเมนต์
เขาหงุดหงิด…เพราะตาแก่น่ารังเกียจนั่นลากคิมคังอูเข้ามาโดยไม่จำเป็น
หัวหน้าทีมชาสาปแช่งกรรมการผู้จัดการคิมมาตลอดทางที่ขึ้นลิฟต์ เขาตั้งใจว่าจะดื่มโซจูอีกแก้วก่อนนอนและเปิดประตูบ้าน
“เฮือก!”
หัวหน้าทีมชาเห็นคนที่นั่งอยู่บนโซฟา และกลั้นหายใจด้วยความตกใจ
“มะ มะ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้คุณอินซอบ”
“สวัสดีครับ”
อินซอบก้มหัวให้หัวหน้าทีมชา พอเห็นท่าทางนั้นแล้ว ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยสร่างดี
“นอนต่ออีกสักหน่อยสิ ออกมาทำไมล่ะ”
“พอตื่นแล้วก็นอนไม่หลับน่ะครับ”
“เอาน้ำหน่อยไหม”
“ขอบคุณครับคุณหัวหน้าทีม”
“ขอบคุณอะไรกันล่ะ”
หัวหน้าทีมชานั่งลงข้างๆ อินซอบ แล้วคนที่เคลื่อนไหวอยู่ในหน้าจอทีวีก็โผล่เข้ามาในสายตาของเขา
“ไม่เอาน่า จะดูหน้าหมอนั่นอีกทำไมล่ะ ไม่เบื่อเหรอ”
อินซอบยิ้มโดยไม่พูดอะไร หัวหน้าทีมชามองอีอูยอนในหน้าจอที่หน้าตาหล่อเหลาจนรู้สึกเกลียดก่อนจะเบือนสายตาไป
“ฉันว่าหนังเรื่องนี้ไม่สนุก แล้วก็น่าเบื่อจริงๆ นะ ถึงจะได้รางวัลก็เถอะ”
นี่เป็นผลงานเดบิวต์ของอีอูยอน
“แต่ผมชอบครับ”
อินซอบเอ่ยตอบในขณะที่มองหน้าจอ
มีสิ่งที่หัวหน้าทีมชาอยากจะเอ่ยถามอินซอบหากมีโอกาสในสักวัน
ว่าเห็นอารมณ์โมโหร้ายของอีอูยอนแล้ว มีใจที่จะคบด้วยได้ยังไง คงไม่ใช่ว่าโดนจับจุดอ่อนได้ แล้วถูกบังคับให้อยู่ข้างๆ หรอกใช่ไหม
เรื่องพวกนั้นติดอยู่ในใจของเขาตลอดเวลา เพราะหากเป็นอีอูยอนแล้วล่ะก็ เขาเป็นคนที่น่าจะทำอะไรแบบนั้นได้
“…ผมชอบฉากนี้ที่สุดเลยครับ”
ดวงตากลมโตของอินซอบเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ และการที่แก้มขาวๆ กลายเป็นสีแดงก็ไม่ใช่เพราะฤทธิ์เหล้าด้วย
หัวหน้าทีมชารู้สึกเหมือนตนแอบดูความรู้สึกส่วนตัวของคนอื่น และรีบเบือนหน้าหนีไป เหมือนเขาจะได้ฟังคำตอบเกี่ยวกับคำถามที่ไม่กล้าถามออกไปแล้ว
“เฮ้อ…”
อินซอบถอนหายใจยาวก่อนจะทำคอตก
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ ไม่สบายท้องเหรอ”
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษอะไรอีกล่ะ”
“เมื่อกี้ผมโกหกครับ ความจริงแล้วผม…”
ปลายนิ้วของอินซอบที่กำแก้วน้ำไว้สั่นเทา หัวหน้าทีมชาคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะเปิดเผยความลับออกมาหรือเปล่า และรอคอยคำพูดต่อไปของอินซอบอย่างตื่นเต้น
“…เหนื่อยครับ”
น้ำตาหยดลงบนมือของอินซอบที่ถือแก้วไว้
“หา?”
“เมื่อกี้ผมบอกว่าไม่เหนื่อย…แต่ผมเหนื่อยครับ เหนื่อยมากเลยด้วย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องทำยังไง ถ้ารู้ว่าทำอะไรผิด ผมก็จะแก้ไขได้ แต่หัวหน้าทีมไม่รู้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…ฮึก”
“อะ อินซอบ อย่าร้อง เดี๋ยวสิ อย่าร้องเลย”
หัวหน้าทีมชาหยิบทิชชูและยื่นให้อินซอบ แต่ทันทีที่รับทิชชูไป อินซอบก็น้ำตาไหลพรากๆ
“ผมไม่ได้ระ ร้องครับ ผะ ผม…ไม่ได้ร้องเลย”
น้ำตาหยดลงมาทันทีที่เอ่อขึ้นมาในดวงตา และทำให้แก้มเปียก อินซอบร้องไห้เก่งจนสามารถใช้เป็นแบบเรียนของใบหน้าตอนร้องไห้ได้ ถึงจะไม่รู้ว่าคำว่าร้องไห้เก่งเป็นคำพูดที่ถูกต้องหรือไม่ แต่หากได้เห็นภาพของคนที่โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ร้องไห้แล้ว อย่าว่าแต่รำคาญเลย กลับจะรู้สึกปวดใจด้วยความสงสารด้วยซ้ำ
“บะ บอกคุณอีอูยอนนะครับ ฮึก วะ ว่าผมไม่ได้ร้อง…”
“เออ ได้ๆ จะบอกให้นะว่านายไม่ได้ร้องเลย”
อินซอบพยักหน้า แล้วน้ำตาก็หยดลงมาอีก
“ขอโทษครับ ผมเหนื่อยเพราะแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้ ขอโทษจริงๆ ครับ”
“ไม่หรอก นี่เป็นงานที่ทำนะ ก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้วสิ ยิ่งไปกว่านั้นนิสัยของอีอูยอนก็แย่มากด้วย เฮ้อ ก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว”
หัวหน้าทีมชาตบหลังอินซอบ ตนเดาไว้อยู่แล้วว่าอินซอบที่ชอบซ่อนความรู้สึกคงลังเลมากกว่าจะมาหาถึงที่นี่ เขาคงจะรู้สึกจนตรอก เพราะตัวเองเป็นคนที่รู้เกี่ยวกับอีอูยอนดีที่สุด
“พวกดาราเขาอยู่รวมกันอยู่แล้วใช่ไหมครับ”
อินซอบช้อนตาที่มีน้ำตาคลอขึ้นพลางเอ่ยถาม แม้จะเป็นคำถามที่ไม่คาดคิด แต่หัวหน้าทีมชาก็ตอบรับไปตามสมควร
“ใช่ อยู่รวมกัน ทุกคนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหมดเลย
น้ำตาที่กลั้นไว้อย่างยากลำบากไหลลงมาอาบแก้มกลมๆ นั่นอีกครั้ง
“อยู่แยกกันไม่ได้เหรอครับ”
“งั้นพูดว่าอยู่แยกกันเนอะ ใช่แล้ว อยู่แยกกัน เพราะฉะนั้น หยุดร้องนะ”
หัวหน้าทีมชาฟังการโวยวายตอนเมาของอินซอบที่พูดพล่ามไปเรื่อย และปลอบอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
“คุณอีอูยอนอยากได้อะไรก็ต้องได้ ฮึก…แล้วถ้าชีวิตของผมพังพินาศจะทำยังไงล่ะครับ”
ดูเหมือนมันจะพังพินาศไปตั้งแต่ตอนที่ยุ่งเกี่ยวกับอีอูยอนแล้วล่ะ คุณอินซอบ
หัวหน้าทีมชาปิดปากเงียบด้วยความรู้สึกสงสาร
“ขอโทษครับหัวหน้าทีม ผมไม่ได้ร้องไห้นะครับ แต่เพราะเหนื่อยมากก็เลย…”
น้ำตาหยดลงมาจากดวงตากลมโตของอินซอบ หัวหน้าทีมชาจุกในอกด้วยความสงสาร
“คุณอินซอบ ถึงเมื่อกี้จะพูดไปแล้ว แต่ถ้าเหนื่อยก็พอเถอะ ไม่มีอะไรดีกับการฝืนอยู่ด้วยกันหรอกนะ”
อินซอบไม่ตอบอะไร เขาเพียงแค่พูดขอโทษ ขอบคุณ และโวยวายว่าตนไม่ได้ร้องไห้ซ้ำๆ เท่านั้น
ถ้าด่าออกมาก็น่าจะรู้สึกดีขึ้นนะ
หัวหน้าทีมชาสงสารอินซอบที่ไม่พูดตำหนิอีอูยอนสักคำ และได้แต่ตบหลังอีกฝ่ายเงียบๆ
เขามองเวลา มันเลยตีหนึ่งมาแล้ว ลางสังหรณ์ไม่ดีทำให้เขาเสียวสันหลัง หัวหน้าทีมชากลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ
ปังๆๆ
เสียงเคาะประตูแรงๆ ดังขึ้นอีกครั้ง หัวหน้าทีมชาค่อยๆ เดินไปเปิดวอลแพด[1] ตรงประตูหน้าบ้าน บังเอิญว่าเซนเซอร์หลอดไฟด้านนอกของประตูหน้าบ้านดับ ทำให้เขาไม่สามารถเห็นหน้าของคนที่ยืนอยู่นอกประตูได้ แต่ไหล่กว้างๆ นั่นทำให้รู้ว่าเป็นใคร แม้จะไม่เห็นหน้าก็ตาม ถ้าเงียบอยู่อย่างนี้สักพักก็คงจะเลิกไปเอง
“…!”
หัวหน้าทีมชาเกือบจะกรีดร้อง เพราะหน้าที่ยื่นเข้ามาจนเต็มหน้าจออย่างกะทันหัน
[ทำไมถึงไม่เปิดล่ะครับ ผมรู้นะครับว่ากำลังมองอยู่]
อีอูยอนแสยะยิ้มพลางชี้ไปที่ประตู
นี่มันเหมือนภาพยนตร์สยองขวัญมากๆ หัวหน้าทีมชากลืนคำด่าลงไป และวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้าน เขาเอารองเท้าของอินซอบไปเก็บในตู้เก็บรองเท้าก่อนจะใส่กลอนและเปิดประตูออกแค่ครึ่งเดียว
“มีธุระอะไรในเวลาแบบนี้”
หัวหน้าทีมชาทำหน้าง่วงนอนที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะเอ่ยถาม
“คงรู้ใช่ไหมครับว่าผมไม่ได้มาเจอหน้าหัวหน้าทีม”
“อือ รู้สิ กลับไปได้แล้ว”
ในจังหวะที่หัวหน้าทีมชากำลังจะปิดประตู อีอูยอนก็ล้วงมือเข้ามา
“นี่! จู่ๆ ก็ทำแบบนี้ ถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจะเป็นความผิดของใครหา!”
หัวหน้าทีมชาตกตะลึง เขาลดเสียงลงก่อนจะตำหนิอีอูยอน
“ดูเหมือนว่าจะมีใครอยู่ข้างในหรือเปล่าครับ ทำไมถึงพูดเสียงเบาแบบนั้นล่ะ”
“…ก็กลัวคนข้างบ้านจะตื่นน่ะสิ”
อีอูยอนทำตาหยี หัวหน้าทีมชารีบตั้งสติ เขาเป็นคนไม่กี่คนที่ไม่โดนใบหน้าที่ยิ้มสวยอย่างนั้นหลอก
“ก็คุณอินซอบอยู่ในนั้นยังไงล่ะครับ”
อีอูยอนมองข้ามไหล่หัวหน้าทีมชาไป และไล่มองประตูหน้าบ้าน หัวหน้าทีมชาคิดว่าตนซ่อนรองเท้าไว้ดีแล้วพลางยืดไหล่
“ไม่หนิ? ไม่มีใครทั้งนั้น”
แม้จะรู้ว่าเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ แต่หัวหน้าทีมชาก็ไม่อยากส่งอินซอบให้อีอูยอน อย่างน้อยเขาก็อยากให้ชเวอินซอบได้เศร้าตามใจชอบ และทำตัวขาดสติในเวลาที่ดื่มเหล้าสักวัน เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาเกลียดไอ้หมอนี่มากที่สุด เขาคิดว่าถ้าด่าไอ้หมอนี่ได้ เขาจะด่าโดยไม่เลือกวิธี
“เพราะฉะนั้นก็รีบกลับไปซะ”
เพราะฉะนั้นแกจงรับคำด่าคำโตนี้ไปเถอะอีอูยอน
หัวหน้าทีมชายิ้มกว้างพลางโบกมือ
“อยู่สิครับหัวหน้าทีม”
อีอูยอนยืนพิงประตู และเริ่มพูดอย่างนุ่มนวล
“คุณคงคิดไปเองอย่างที่คนทั่วไปคิดกันสินะครับ ว่าเจ้านี่จะเป็นตาข่ายรักษาความปลอดภัยได้”
อีอูยอนใช้นิ้วเคาะกลอน นี่เป็นลางไม่ดี และลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็ใช้เวลาไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำในการกลายเป็นความจริง อีอูยอนยิ้มพลางดึงประตู เกิดเสียงดัง กึก พร้อมกับตัวล็อกของกลอนที่อ้าออก
“นี่! นาย…”
เขาไม่มีเวลาที่จะห้าม พออีอูยอนใช้แรงดึงประตูหน้าบ้านต่ออีกสองสามครั้ง กลอนก็ถูกดึงออกไปด้วยเรียบร้อย อีอูยอนเดินผ่านหัวหน้าทีมชาไป และเข้าไปในบ้านโดยไม่ถอดรองเท้า
“ไอ้บ้า…!”
แววตาของอีอูยอนที่ใส่รองเท้าเข้ามาในบ้านของคนอื่นดุร้ายเหมือนเสือที่กำลังหาเหยื่อ สายตาของเขาหยุดอยู่ที่อินซอบที่กำลังนอนหลับในสภาพคู้ตัวอยู่บนโซฟา
อีอูยอนเดินไปหาอินซอบ บรรยากาศไม่ปกติเลยสักนิด หัวหน้าทีมชาปิดประตูและรีบวิ่งไปที่ห้องนั่งเล่น
“อีอูยอน!”
“ชู่ว์”
อีอูยอนเอานิ้วแตะปากและทำเป็นสั่งให้เงียบ หัวหน้าทีมชามองการกระทำของอีอูยอนด้วยสีหน้ามึนงง อีอูยอนที่เดินเข้าไปด้วยท่าทางที่เหมือนจะจับใครฆ่านั่งคุกเข่าข้างหนึ่งหน้าโซฟา และมองอินซอบที่หลับใหล ภาพที่ดูน่าสงสารนั้นทำให้หัวหน้าทีมชาคิดว่าตัวเองยังไม่สร่างดีหรือเปล่า และรีบหยิกต้นขาของตัวเอง
“ใครทำให้ร้องไห้เหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามทำลายความเงียบ สีหน้าโหดเหี้ยมนั่นทำให้หัวหน้าทีมชารีบส่ายหน้า
“ไม่ได้ร้องนะ อินซอบไม่เคยร้องไห้เลย”
อีอูยอนเอียงคอ
ขอโทษนะชเวอินซอบ
หัวหน้าทีมชาสารภาพออกไปอย่างไม่สามารถทำอะไรได้
“เขาร้อง คงจะร้องไห้คนเดียวเพราะเมาน่ะ รู้นิสัยตอนเมาของคุณอินซอบแล้วยังจะถามอีก”
อีอูยอนถอนหายใจ เขาใช้นิ้วเช็ดน้ำตาที่เกาะอยู่บนขนตาของอินซอบ และพึมพำคำพูดที่แฝงการเยาะเย้ยตัวเองคนเดียวว่า “เพราะรู้น่ะสิครับ ถึงมา” ตอนนั้นเองอินซอบก็ตื่นพอดี เขาค่อยๆ กะพริบตาอยู่สองสามครั้ง
“…คุณอูยอน”
“หืม?”
ถึงจะเป็นคำตอบสั้นๆ แต่ก็เป็นคำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่ออีกฝ่าย
“ขอโทษครับ”
น้ำตาไหลอาบแก้มของอินซอบอีกครั้ง
“ผมไม่ได้ร้องไห้นะครับ เพราะฉะนั้น…ห้ามบอกคุณอีอูยอนนะครับ”
อีอูยอนมองอินซอบที่ต่อให้ตาย ก็ยังยืนกรานว่าไม่ได้ร้องไห้ ทั้งๆ ที่ร้องไห้อยู่ด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น
“เข้าใจแล้วครับ ไม่ได้ร้องเลยครับ ไม่ได้ร้องเลยสักนิดเดียว”
อีอูยอนเช็ดน้ำตาให้อินซอบที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น พอเขาทำแบบนั้นอินซอบก็ยิ้มน้อยๆ และถูหน้าตัวเองกับมือของอีอูยอน อีอูยอนถอนหายใจก่อนจะดึงอินซอบมากอดไว้กับไหล่ของตน
“ผมสับสนจริงๆ เลยครับ”
อินซอบไม่ได้มีนิสัยชอบทำตัวน่ารักในเวลาปกติ แต่ถ้าดื่มเหล้า เขาก็จะแสดงนิสัยออดอ้อนเหมือนเด็กออกมา และวันต่อมาหลังจากที่ร้องไห้พร้อมกับเกาะแกะคนอื่น และหลับที่ไหนสักที่แล้ว อีกฝ่ายมักจะจำอะไรไม่ได้เลย นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ปล่อยให้อินซอบไปกินเหล้าคนเดียว
“อย่าสับสนเลยครับ ฮึก”
อินซอบกำชายเสื้อของอีอูยอนและยึดเอาไว้
“เข้าใจแล้วครับ นอนเถอะนะ”
อีอูยอนกอดอินซอบที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเป็นเด็ก และเริ่มตบหลังเบาๆ ผ่านไปไม่นานเสียงร้องไห้ก็เงียบลง และอินซอบก็หลับไปในอ้อมกอดของอีอูยอน
[1] วอลแพด (Wall-pad) เป็นอุปกรณ์สำหรับบ้านแนวสมาร์ทโฮมที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมอุปกรณ์ทุกอย่างในบ้าน เช่น การเปิดปิดไฟ หรือการล็อกประตู