“เตียงล่ะครับ”
“หา?”
“ห้องที่มีเตียงน่ะครับ ถ้าคุณอินซอบนอนบนพื้น วันรุ่งขึ้นเขาจะรู้สึกเหนื่อย”
ให้ตายเถอะ ความหวานเลี่ยนชวนอ้วกแบบนั้นน่ะ น่าเหนื่อยกว่าอีก
หัวหน้าทีมชารีบชี้ไปที่ห้องด้านใน[1] เพราะไม่อยากจะเห็นภาพที่ทนดูไม่ได้นั่นอีกแล้ว อีอูยอนอุ้มอินซอบขึ้นมาพร้อมกับผ้าห่ม เขาใส่รองเท้าเดินไปตามทางเดินอย่างหน้าตาเฉย และถอดรองเท้าเมื่อมาถึงหน้าห้องด้านใน
“ให้ตาย”
หัวหน้าทีมชาหยิบรองเท้าของอีอูยอนขึ้นมา และขว้างไปที่ประตูหน้าบ้านสุดแรง แม้อีอูยอนที่กำลังวางอินซอบลงจะเห็นการกระทำนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร และนั่งลงบนโซฟา
“รู้ได้ยังไงถึงมา”
อีอูยอนหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า และยื่นให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย เป็นเพราะ SNS ของคิมคังอูนั่นเอง ในรูปที่โพสต์ลงด้วยแคปชั่นที่ว่า ‘มื้อเย็นที่อารมณ์ดีกับเหล่าคนดี’ ไม่ได้เขียนบอกว่าไว้ว่าดื่มที่ไหนและกับใคร เขาแค่ถ่ายมือของอินซอบที่ถือกระป๋องเบียร์อยู่กับโต๊ะในห้องนั่งเล่นของหัวหน้าทีมชาเท่านั้น และก็เพิ่งจะลงรูปได้ไม่นานเท่าไร
ไอ้คนเหมือนผีเฮงซวยเอ๊ย
หัวหน้าทีมชากลั้นคำด่าไว้ก่อนจะนั่งลงบนโซฟา
“คุณอินซอบดื่มไปเยอะไหมครับ”
“ไม่ได้ดื่มเยอะหรอก ก็แค่ไวน์หนึ่งแก้วกับเบียร์อีกหนึ่งหรือสองกระป๋อง?”
“ก็ดื่มไปเยอะสำหรับเขานะครับ”
“คงจะเสียใจมากเพราะใครบางคนล่ะมั้ง”
หัวหน้าทีมชาเปิดกระป๋องเบียร์ที่เหลืออยู่บนโต๊ะ
“งั้นเหรอครับ ผมเองก็ใจสลายเหมือนกันครับ”
อีอูยอนเปิดกระป๋องเบียร์พลางยิ้มให้
“ไอ้คนใจแคบ หาเงินได้เยอะขนาดนั้นแท้ๆ แต่พอรถพังนิดๆ หน่อยๆ ก็รังแกคนอื่นเขาขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือไง คนที่รู้ดีกว่าใครว่าพอมาอยู่ที่เกาหลีแล้วคุณอินซอบลำบากแค่ไหนน่ะ…”
“รู้ครับ”
อีอูยอนเอ่ยตัดบทหัวหน้าทีมชา
“เพราะผมรู้ดีกว่าใครอย่างที่หัวหน้าทีมพูดนี่แหละครับ ผมถึงอยากพาเขามาอยู่ด้วย เพราะไม่อยากให้น้ำสักหยดเปื้อนปลายนิ้วของเขา และทำให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา แม่งเอ๊ย”
อีอูยอนดื่มเบียร์ที่ถืออยู่ เขาบีบกระป๋องเบียร์ที่ว่างเปล่าทันทีก่อนจะพูดต่อราวกับคิดทบทวน
“ผมอดทนอย่างดีมาตลอดเลยนะครับ ทั้งการฆ่าคน การลอบวางเพลิง การขโมย แล้วก็การขืนใจ ฮ่าๆๆ มีอะไรอีกนะ ใช่แล้ว ผมไม่ได้ใช้ความรุนแรง แล้วก็ไม่ได้กักขังหน่วงเหนี่ยวด้วย ผมพยายามที่จะไม่ทำเรื่องพวกนั้น แต่ก็เหมือนตามไม่ทัน เพราะมัวแต่หุบปากและทำเป็นไม่รู้”
หัวหน้าทีมชาขนลุกชันไปทั้งตัว เขาใช้มือลูบเพื่อเช็กโทรศัพท์มือถือที่ใส่ไว้ในกระเป๋า ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องเป็น 112
“ผมทำตามที่เขาสั่งให้ทำ แล้วก็รออย่างว่านอนสอนง่ายอยู่ครับ เพราะฉะนั้น…”
อีอูยอนฝังหน้าลงกับฝ่ามือ เขาเงยหน้าขึ้นมาหลังจากถอนหายใจเบาๆ
“คุณไม่ควรจะมาขัดขวางนะครับ”
แววตาที่เป็นประกายปักขาของหัวหน้าทีมชาราวกับมีด
ขอยกเลิกคำที่บอกว่าเหมือนผี หมอนี่มันยิ่งกว่าผีอีก เป็นคนที่แม้แต่ผียังเกลียด
หัวหน้าทีมชาเช็ดฝ่ามือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อกับกระเป๋า และพยายามตอบอย่างใจเย็น
“นายบอกว่าฉันขัดขวางอะไรนะ”
“อย่าเอาอกเอาใจคุณอินซอบเกินไปครับ เพราะมันจะทำให้เขาเสียคน”
“แล้วทีนาย…!”
คนที่กอดอินซอบที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น และตบหลังให้เบาๆ เมื่อกี้ก็คืออีอูยอน ท่าทางนั้นเป็นท่าทางที่ดูเหมือนพ่อที่อ่อนโยนเป็นอย่างมากกับการได้รับการออดอ้อนอย่างไม่จำกัดจากลูกสาวคนเล็ก
“ห้ามปลอบ แล้วก็ห้ามปล่อยให้เขาทำตัวเหมือนเด็กด้วยนะครับ ไม่สิ แค่อย่าให้คุณอินซอบมาที่บ้านนี้ก็พอครับ”
“ไม่สิ ฉันรับแขกในบ้านตัวไม่ได้เหรอ งั้นจะให้ไล่เด็กที่กำลังเมาไปที่อื่นหรือไง”
เขารู้สึกเหมือนถูกความไม่น่าเชื่อหวดแก้ม
“บ้านหลังนี้เป็นบ้านเช่าแบบรายเดือนนี่ครับ”
อีอูยอนตอบกลับอย่างสุขุม
“เป็นบ้านเช่ารายเดือนแล้วไง นายช่วยจ่ายเหรอ”
“งั้นเรามาทำแบบนี้กันเถอะครับ”
“เราเหรอ”
หัวหน้าทีมชาทำสีหน้าไม่พอใจ เขาเกลียดการถูกมัดรวมกับอีอูยอน แม้จะเป็นเวลาไม่กี่วินาทีกับคำว่าเราก็ตาม
“ตอนเช้าผมจะโทรศัพท์ไปหานายหน้าอสังหาริมทรัพย์ และจะติดต่อเจ้าของบ้านหลังนี้เองครับ แต่ผมจะเรียกเป็นสองเท่าของค่าเช่ารายเดือนนะครับ”
“พูดเรื่องอะไร…”
“ถ้าอย่างนั้น บ้านหลังนี้ก็เป็นของผมใช่ไหมครับ”
“…”
“ช่วยทำตามความตั้งใจของเจ้าของบ้านด้วยนะครับ คุณผู้เช่า”
คำพูดที่ว่าที่เกาหลีนั้นเจ้าของตึกอยู่เหนือพระเจ้าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หัวหน้าทีมชากัดริมฝีปากและตัวสั่นเทา เพราะความรันทดใจของผู้ไร้บ้าน
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
คำพูดที่น่ายินดีที่สุดในบรรดาคำพูดที่ได้ยินวันนี้หลุดออกมาจากปากของอีอูยอน หัวหน้าทีมชาอยากจะไล่อีกฝ่ายกลับไปก่อนที่จะเปลี่ยนใจ จึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูบ้าน อีอูยอนที่ออกมาตรงประตูหน้าบ้านสวมรองเท้า และเงยหน้าขึ้นมา เพราะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“พรุ่งนี้ช่วยต้มซุปแก้แฮงค์ให้คุณอินซอบด้วยนะครับ”
“ถึงนายไม่บอกฉันก็จะต้มให้อยู่แล้ว”
“อย่าลืมไล่เขากลับไปทันทีที่กินเสร็จนะครับ ถ้าคุณทำแบบนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องย้ายบ้านแล้วล่ะครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างงดงามก่อนจะออกไป หัวหน้าทีมชาล็อกประตูหน้าบ้าน และใช้กำปั้นทุบอก
หากก่อนหน้านี้น้องคนเล็กไม่แต่งงาน เขาก็น่าจะซื้อบ้านหลังนี้ได้ ความเสียใจที่สายเกินไปถาโถมเข้ามา แต่เขาก็ไม่สามารถหาวิธีหลบเลี่ยงเล่ห์กลของว่าที่เจ้าของบ้านที่ชั่วช้าได้ง่ายๆ
***
หลังจากได้ยินเสียงปิดประตูตามหลัง ความเครียดก็คลายลงไปเล็กน้อย อินซอบถอดเสื้อ และแขวนอย่างเป็นระเบียบก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ เขาเปิดโน้ตบุ๊กและตรวจสอบจำนวนเงินฝากที่ใช้โปรแกรมเอ็กเซลจัดให้เป็นระเบียบ
“โล่งอกไปที”
ถ้ารวมส่วนหนึ่งของเงินค่ามัดจำกับเงินที่ฝากไว้ เขาก็จะสามารถจ่ายค่าซ่อมรถได้พอดี ปัญหาก็คือเขาต้องใช้เงินมัดจำที่เหลือหาบ้านอีกครั้ง
อินซอบร้องฮือก่อนจะนอนลงบนเตียง เขายังคงรู้สึกมึนหัว เพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มไปเมื่อวาน
อินซอบตกใจมากตอนที่ตื่นขึ้นมาในบ้านของหัวหน้าทีมชาเมื่อเช้า นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขานึกไม่ออกเลยว่าตัวเองหลับไปเมื่อไร และตาของเขาก็บวมเสียจนแทบจะลืมไม่ขึ้น พอล้างหน้าออกมา เขาก็ถามหัวหน้าทีมชาว่าเมื่อวานตนได้ทำพฤติกรรมที่เสียมารยาทอะไรหรือเปล่า หัวหน้าทีมชาส่ายหน้าและยื่นซุปถั่วงอกให้ จากนั้นก็เอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
‘คุณอินซอบ ขอโทษนะ แต่ดูเหมือนว่าต่อไปนี้คุณอินซอบจะมานอนที่บ้านของฉันไม่ได้แล้วล่ะ เพราะเจ้าของบ้านที่นี่เป็นคนที่เฮงซวยที่สุดในโลก ถ้าพาคนอื่นที่ไม่ใช่คนเช่ามานอนเขาจะอาละวาด…เหอะ ไอ้เหี้ยเอ๊ย’
หัวหน้าทีมชาพูดต่อว่า ‘และ’
‘และที่ตาบวมก็เพราะเมื่อวานคุณอินซอบดื่มเหล้าไปเยอะมาก ไม่ใช่เพราะร้องไห้นะ เข้าใจไหม’
อินซอบพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว หัวหน้าทีมชากินข้าวไปพลางพ่นคำด่าอีอูยอนไปพลางว่า ‘อีอูยอนนิสัยแย่มาก เป็นไอ้กร๊วกของแท้เลย ต่อให้ไปไหนในโลกก็คงจะหาคนนิสัยเหี้ยแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว’
แต่ในขณะเดียวกัน หัวหน้าทีมชาก็ยังขอร้องว่าถ้ามีเรื่องให้เจ้าตัวช่วย ก็ให้ติดต่อมาได้เสมอ แถมยังยัดเงินค่าแท็กซี่ใส่มือให้ตอนออกมาจากบ้านด้วย แม้อินซอบจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจอย่างเต็มที่แล้ว แต่หัวหน้าทีมชาก็ยื่นเงินนั้นให้ราวกับโยนเข้ามาในแท็กซี่ อินซอบไม่ยอมใช้เงินที่ได้รับมาจากหัวหน้าทีมชาอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเก็บมันไว้ในกระเป๋าสตางค์
อินซอบไปหาเจ้าของบ้านทันทีที่กลับมาถึงบ้าน แม้ว่าสัญญาจะยังไม่หมด แต่เขาก็บอกความคิดที่อยากจะย้ายบ้านออกไป
‘ค่านายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นผมจะจ่ายเองครับ’
คำที่อินซอบพูดเสริมทำให้เจ้าของบ้านที่ตกตะลึงในตอนแรกพยักหน้าทันที
‘ฉันอยากให้เธออยู่ไปนานๆ นะ เพราะรักษาบ้านได้สะอาดเรียบร้อยมาก เสียดายจัง’
แม้จะไม่แน่ใจว่าเป็นคำที่พูดไปตามมารยาทหรือเปล่า แต่คำพูดนั้นกลับวนเวียนอยู่ในหูของอินซอบอย่างน่าประหลาด
เขามองไปรอบห้อง ถึงจะไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอด แต่ก็ไม่นึกเหมือนกันว่าจะต้องตัดสินใจย้ายออกเร็วถึงขนาดนี้
เขานึกถึงวันแรกที่มาที่นี่ นี่เป็นที่ที่อยู่ใกล้กับบ้านของอีอูยอน และเดินทางไปมหาวิทยาลัยได้สะดวก ทั้งยังเป็นบ้านที่เขาหาจากที่ที่ค่าเช่าดูจะสมเหตุสมผล และได้มาอย่างยากลำบาก เขาเอากล่องพัสดุที่ส่งมาจากอเมริกามา และพูดคุยเรื่องจิปาถะกับอีอูยอนในขณะที่จัดของไปด้วย
‘บ้านนี้เหมือนจะร้อนตอนหน้าร้อน และหนาวตอนหน้าหนาวเลยนะครับ’
อีอูยอนไม่ถูกใจที่นี่ตั้งแต่แรก
‘ลิฟต์ก็ไม่มี โครงสร้างก็ไม่ค่อยดีเท่าไรด้วย’
ฝ่ายนั้นจัดหนังสือให้โดยเรียงจากชื่อของนักเขียน และพูดจับผิดบ้านหลังนี้ไปเรื่อยๆ
‘พอเห็นมุ้งลวดแล้ว แมลงน่าจะเข้ามาได้ง่ายด้วย คุณอินซอบชอบแมลงเหรอครับ’
พอเห็นอินซอบทำสีหน้ารังเกียจและส่ายหน้า อีอูยอนก็ยิ้มอย่างพอใจมากๆ
‘เหมือนจะมีผีออกมาด้วยนะ ถ้าตอนกลางคืนมีใครมายืนจ้องหัวของคุณอินซอบจะทำยังไงล่ะครับ ฮ่าๆ รอยเปื้อนตรงเพดานนั่นดูเหมือนหน้าคนเลย’
‘…พอเถอะครับ’
พออินซอบขอร้องด้วยใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ อีอูยอนก็เลิกพูดย้ำเรื่องผี สุดท้ายคืนนั้นอีอูยอนก็ต้องมานอนในห้องที่ยังไม่ได้เอาเตียงมาวาง เพราะคำขอร้องของอินซอบ วันต่อมา และวันต่อต่อมาก็ด้วย
ในขณะที่ด่าว่าเป็นบ้านที่เก่าและคับแคบ แต่อีอูยอนก็คอยอยู่ข้างๆ จนกระทั่งอินซอบคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เขาไม่เคยเห็นผีเลยแม้แต่ครั้งเดียว และเคยเห็นแมลงอยู่บ้างสองสามครั้ง แต่อินซอบก็ถูกใจบ้านหลังนี้มากๆ
“เสียดายจัง…”
เขารู้สึกว่าชีวิตในโซลสั้นพอๆ กับกระดาษแค่พับเดียว
ถ้าหาบ้านใหม่ เขาก็คงต้องเริ่มบทใหม่อีกครั้ง
อินซอบพยายามเปลี่ยนอารมณ์ และลุกขึ้น เงื่อนไขของบ้านหลังใหม่ก็เป็นแบบเดียวกัน คือต้องอยู่ใกล้บ้านของอีอูยอน และเดินทางไปมหาวิทยาลัยได้สะดวก
อินซอบเปิดโน้ตบุ๊กและเริ่มค้นหาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ใกล้บ้านของอีอูยอน และใช้เวลาเพียงไม่นานความมืดก็เข้าปกคลุมดวงตาของเขา
***
“ด้วยเงินมัดจำนั้นยังไม่ได้ธรณีประตูเลยด้วยซ้ำครับ บางทีค่าเช่าอาจจะขึ้นไปประมาณสองร้อยเลยก็ได้นะครับ”
“สองร้อยเหรอครับ”
อินซอบทำตาโต
“ราคาบ้านที่นี่แพงมาก นี่เป็นย่านที่แพงที่สุดในเกาหลีใต้เลยครับ”
“เป็นห้องกึ่งชั้นใต้ดิน หรือห้องบนชั้นดาดฟ้าก็ได้ครับ”
“นี่ก็พูดถึงราคาของห้องกึ่งชั้นใต้ดิน หรือห้องบนชั้นดาดฟ้าให้ฟังอยู่นะ”
“…ขอบคุณครับ หากมีบ้านที่ตรงตามเงื่อนไข รบกวนติดต่อมาที่เบอร์โทรศัพท์ที่ทิ้งไว้ทีนะครับ”
อินซอบเอ่ยลาและลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง สิ่งที่เขารู้สึกขณะเดินเข้าๆ ออกๆ บริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์มาทั้งวันก็คือราคาบ้านที่โหดร้ายในโซล ถึงขนาดที่ยากที่จะเชื่อว่ามันสามารถขึ้นมาถึงขนาดนี้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีได้อย่างไร แม้จะหาบ้านที่ตรงกับงบและประคับประคองไปได้สองสามเดือน แต่ถ้ารวมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไปด้วย เขาก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
“ทำยังไงดี”
ไม่ว่าจะคำนวณเท่าไรก็ไม่ได้คำตอบ
ถ้าวันนั้นเราไม่เจอแชยอนซอที่นั่น
อินซอบรีบส่ายหน้า ถ้าตนไม่มัวแต่มองที่อื่น อุบัติเหตุก็คงไม่เกิดขึ้น นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมาโทษว่าเป็นความผิดของใคร การรับผิดชอบในเรื่องที่ตัวเองก่อขึ้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ในจังหวะที่หมุนตัวด้วยคิดว่าจะไปที่บริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์อื่นต่อ ใครบางคนก็เรียกเขาไว้จากทางด้านหลัง
“นักเรียน นักเรียน!”
เป็นเจ้าของบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่เขาเพิ่งเดินออกมานั่นเอง
“ฉันลืมไปน่ะ ว่ามีตึกที่พอใช้ได้อยู่หนึ่งหลัง แล้วบ้านก็ว่างพอดีด้วย”
“จริงเหรอครับ”
เขารู้สึกเหมือนเห็นแสงออกมาจากหลังของเจ้าของบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์
“เงื่อนไขก็ตรงตามที่นักเรียนพูดพอดีเลย ถึงจะเป็นห้องบนชั้นดาดฟ้า แต่ก็ใช้ได้พอสมควรนะ เพราะตึกได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่”
‘ในภาษาเกาหลี เราจำเป็นต้องฟังจนจบ เพราะเนื้อหาสำคัญอยู่ในตอนท้าย’ คำพูดของพ่อผ่านเข้ามาในหัวของอินซอบ
“ชายแก่เจ้าของบ้านค่อนข้างที่จะเรื่องมากน่ะ ตัวเองจะต้องเห็นหน้าคนเช่าก่อนถึงจะให้ทำสัญญา แต่แค่ดูหน้าอย่างเดียวจะรู้เหรอว่าเป็นคนแบบไหน ยังไงก็เถอะ ในหนึ่งปีชายแก่นั่นก็อยู่ที่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ และจะกลับมาที่เกาหลีนานๆ ครั้งอยู่แล้ว แต่การทำสัญญาน่ะเป็นเหมือนดาวที่ตกมาจากฟ้าเลยนะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
นั่นสินะ ไม่มีทางที่ฟ้าจะส่องแสงลงมาหาเขาง่ายๆ อยู่แล้ว
“แต่เจ้าของบ้านบอกว่าจะกลับมาอาทิตย์นี้พอดีเลย ถ้าเธอต้องการ จะไปเจอและทำสัญญาด้วยไหมล่ะ”
“อาทิตย์นี้เหรอครับ ผมสะดวกทุกวันเลยครับ ถ้าไม่ใช่วันเสาร์”
วันเสาร์เป็นวันที่มีพิธีมอบรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์
“ถึงจะรีบแค่ไหนก็คงได้เป็นวันอาทิตย์ เพราะเขากลับมาที่เกาหลีวันเสาร์”
“งั้นก็ได้ครับ”
เพราะวันเสาร์นอกจากจะเป็นพิธีมอบรางวัลแล้ว เขายังตัดสินใจที่จะไปบ้านของอีอูยอนในตอนเย็นอีกด้วย ถ้าไม่ใช่วันนั้น เขาก็ได้หมด
“วันอาทิตย์มาเจอกันแต่เช้า และทำสัญญาใช่ไหมครับ”
อินซอบถามยืนยันเผื่อเอาไว้
“ใช่แล้ว แล้วการทำสัญญาก็น่าจะจบเร็วด้วย เพราะเขาจู้จี้จุกจิกมาก แค่เห็นหน้าของคนเช่าบ้านก็ตัดสินใจได้ทันทีเลย งั้นวันนี้ไปดูบ้านกันก่อนไหมล่ะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
“รออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวฉันจะไปเอารถ”
เจ้าของบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เดินกลับไปที่ร้านอีกครั้ง อินซอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ แม้จะยังไม่ได้ทำสัญญา แต่เขาก็คว้าโอกาสที่จะไปดูบ้านที่เหมาะไว้ได้
วันที่เกิดรถเกิดอุบัติเหตุ อีอูยอนไม่พูดอะไรเลยตลอดทางไปโรงพยาบาล ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่อีกฝ่ายบอกว่าไม่ชอบให้ของของตัวเองเป็นรอย และขอให้เอากลับไปคืนอย่างไร้รอยขีดข่วน ถึงจะไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น บรรยากาศระหว่างพวกเขาก็อึดอัดอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องคราวนี้ขึ้น เขาจึงรู้สึกเหมือนเดินไปในทิศทางที่แย่ลง ยังไงเขาก็จะต้องใช้เงินคืน
“นักเรียน ไปกันไหม”
เจ้าของบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ชูกุญแจรถก่อนจะขยับมือ อินซอบเดินตามหลังอีกฝ่ายออกไป เขาไม่สามารถปล่อยโอกาสที่คว้าไว้อย่างยากลำบากไปได้
[1] ห้องด้านใน หมายถึง ห้องนอนของเจ้าของบ้าน