การเคลื่อนย้ายไม่ได้กินเวลานานมาก แต่ก็จะเป็นครั้งที่ทุกคนจำไม่ลืม ความรู้สึกที่เวลาและห้วงอากาศถูกยืดออกและร่างกายที่ถูกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากนั้นก็กลับมารวมกันใหม่อีกครั้งทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดมากพออยู่แล้ว อีกทั้งยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นระหว่างกระบวนการเคลื่อนย้าย ชิ้นส่วนร่างกายของพวกเขาอาจหายไปหรือเพิ่มขึ้นมาหลังรวมร่างขึ้นใหม่อีกครั้งก็เป็นได้…
โชคดีที่พลังเคลื่อนย้ายในหน้ากากของปรมาจารย์แห่งไฟแข็งแกร่งมาก ทำให้ไม่เกิดอะไรไม่ดีเช่นนั้นขึ้น หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นกังวลอะไรนัก เพราะร่างของเขาเป็นร่างสารัตถะ ดังนั้นทุกส่วนจึงเหมือนกันหมด ถึงแขนขาจะกลับหัวกลับหาง เขาก็แค่สร้างมันขึ้นมาใหม่เท่านั้น
เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว หวังเป่าเล่อซึ่งเป็นคนท้ายๆ ที่เคลื่อนย้ายกลับไม่ได้รู้สึกกังวลใจใดๆ แม้แต่น้อย ตรงกันข้ามในใจของเขากลับตั้งตาคอย…ว่าจะได้ผลึกสีชาดมาเท่าใดกัน!
อย่างไรเสีย…จำนวนผู้คนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่ถูกเขาสังหารทั้งเล็งเป้าตรงๆ และถูกลูกหลงก็มีเป็นจำนวนมาก…นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังปลิดชีพผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายไปอีกด้วย สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นที่สุดคือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นที่โผล่มาตอนสุดท้ายต่างหาก
ข้าควรได้รับความดีความชอบทั้งหมด ข้าพยายามหนักมาก หวังเป่าเล่อกะพริบตา หลังจากถูกส่งตัวกลับมา เขาก็มองไปรอบๆ และพบว่าที่นี่คือสถานที่ก่อนหน้าที่จะถูกเคลื่อนย้ายออกไป มีเศษซากปรักหักพังลอยไปมาภายในสถานที่ที่แปลกตาแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยนี้
โลกแห่งซากปรักหักพังกว้างไกลไร้ขอบเขตและเอ่อล้นไปด้วยคลื่นพลังโบราณ เศษซากแต่ละชิ้นเปี่ยมไปด้วยหลักฐานซึ่งบ่งบอกถึงเวลาที่ผ่านพ้น
ห้วงอวกาศคือสรวงสวรรค์ ความว่างเปล่าคือผืนดิน ขณะนี้ ท่ามกลางห้วงอวกาศและความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยเศษซากลอยเคว้งไปมา มีร่างเงาสวมหน้ากากมากมายเคลื่อนย้ายกลับมาก่อนแล้ว เมื่อหวังเป่าเล่อปรากฏตัวและคนอื่นๆ เห็นหน้ากากหมูที่เขาใส่ เสียงสูดหายใจมากมายก็ดังขึ้น
“เจ้าตัวซวย!”
“ข้าเห็นกับตา เขาฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายจากตระกูลไม่รู้สิ้น!”
“เจ้านี่นี่เอง…ที่ทำให้ภารกิจเปลี่ยนไป…”
“ที่ดาวเคราะห์แตกก็คงเพราะเจ้านี่ เขาเป็นตัวหายนะ พยายามอย่าไปอยู่ใกล้เขาจะดีกว่า” ท่ามกลางเสียงสูดหายใจ ฝูงชนโดยรอบต่างส่งข้อความเสียงหากันขวักไขว่ อาจจะเพราะพวกเขาล้วนมองหวังเป่าเล่อเป็นศัตรูจึงสนิทสนมกันยิ่งขึ้น
แต่เมื่อหวังเป่าเล่อกวาดสายตาผ่าน พวกเขาก็เลิกส่งข้อความเสียงหากันโดยไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวและยำเกรงปรากฏขึ้นในสายตาอย่างควบคุมไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมและการเข่นฆ่าของหวังเป่าเล่อบนดาวเคราะห์ทำให้ทุกคนตื่นกลัวอยู่ในใจ
แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นทั้งสามคนก็รู้สึกไม่ต่างจากฝูงชน พวกเขาไม่ได้ดูหมิ่นหวังเป่าเล่อเพียงเพราะตนมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ จริงๆ แล้ว ทั้งสามต่างคิดว่าผู้ที่สามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ถือว่าน่ายำเกรงมากอยู่ดี พวกเขาเองยังไม่มั่นใจเลยว่าถ้าไปสู้เองจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่
“คนผู้นี้…ไม่ได้ฆ่าได้เพียงศัตรู แม้แต่พันธมิตรเองเขาก็สามารถทำร้ายได้เช่นกัน…” หลังจากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสามหันมองหน้ากัน พวกเขาก็กุมหมัดหันไปทางหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อกวาดตามองรอบๆ และพบว่ามีผู้มาจุติเหลือประมาณสี่สิบกว่าคนจากที่มีหลายร้อย เขากะพริบตา รู้สึกว่าภารกิจนี้อันตรายเกินไป ดีที่โชคเข้าข้างตน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะตกอยู่ในอันตรายเหมือนกัน
หลังจากปลอบใจตนเองและกุมหมัดตอบผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสาม เขาก็หันไปเห็นชายฉกรรจ์หัวโล้นที่สวมหน้ากากกระทิงจากนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา
“เจ้ายังไม่ตาย”
ร่างของชายฉกรรจ์หัวโล้นสั่นเทิ้ม กำลังจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ เขารีบทักทายหวังเป่าเล่อด้วยท่าทีขึงขังทั้งที่ตัวสั่น จากนั้นก็ตะโกนขึ้น “ขอต้อนรับกลับมา สหายเต๋า ข้ารอดจากภารกิจนี้ก็เพราะได้เจ้าช่วย ข้าขอขอบคุณเจ้ามาก โปรดรับคำขอบคุณจากข้า!”
เมื่อได้ยินชายฉกรรจ์พูดสิ่งที่น่าเขินอาย เหล่าผู้ฝึกตนรอบๆ ต่างก็แอบวิจารณ์เขาในใจว่าทำตัวหน้าไม่อายขณะกุมมือและพูดอะไรออกไปคล้ายๆ กัน
พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเพราะทุกคนต่างยังไม่ได้กลับไปยังที่ที่จากมา หากไปทำอะไรให้เจ้าตัวซวยไม่พอใจเข้า พวกเขากลัวว่าตนจะไม่มีชีวิตรอดกลับไป ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีท่าทีเคารพต่อชายหน้ากากหมูผู้นี้
เมื่อเห็นทุกคนต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อก็รู้สึกปลาบปลื้ม หลังจากหัวเราะเสียงดัง เขาก็พยักหน้าให้ฝูงชนและเริ่มสนทนากับพวกเขาเล็กน้อย พอชายหนุ่มพูดอะไรออกไป หลายๆ คนก็เห็นดีเห็นงามตามกันหมด บรรยากาศการสนทนาจึงดำเนินไปอย่างเป็นกันเอง
ขณะที่ฝูงชนถูกเคลื่อนย้ายกลับขณะสนทนาและยกยอหวังเป่าเล่อ ดาวเคราะห์ที่พวกเขาจากมายังคงทลายตัวอยู่ ครึ่งหนึ่งของดาวเคราะห์กลายเป็นฝุ่นผงกระจายไปในห้วงอวกาศ หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นดาวอีกครึ่งที่เหลือเป็นเหมือนดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว อีกทั้งยังปล่อยสัมผัสความไม่สมบูรณ์ออกมาในขณะที่พังตัวลงอย่างเชื่องช้าด้วย
อาจต้องใช้เวลาเนิ่นนาน ดาวเคราะห์ถึงจะพังลงโดยสมบูรณ์และหายสาบสูญไปจากห้วงอวกาศ
แม้แต่กับตระกูลไม่รู้สิ้นผู้ยิ่งใหญ่ เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กๆ แม้จะไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะเรียกความสนใจจากเหล่าผู้มีอำนาจระดับสูงได้ อย่างไรเสีย พวกเขาก็ต้องสูญเสียกองทัพไป อีกทั้งผู้บัญชาการระดับดาวพระเคราะห์ยังได้รับบาดเจ็บหนักจนเหลือรอดเพียงแค่ศีรษะ ขณะเดียวกัน ดาวเคราะห์ที่พวกเขายึดครองอยู่ยังแตกสลายอีกด้วย
เพราะเหตุนี้จึงเกิดการตรวจสอบในทันที สร้างความตื่นตกใจไม่น้อย หลังจากเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ปรมาจารย์แห่งไฟก็ต้องยอมรับว่าแม้จะนำภารกิจทั้งหมดที่ผ่านมามารวมกันก็ไม่สามารถเทียบผลงานของหวังเป่าเล่อได้
เขาคือยอดฝีมือ! ปรมาจารย์แห่งไฟถุยแกนผลไม้ในปากและหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะจ้องหน้าจอตรงหน้า บนหน้าจอฉายภาพโลกซากปรักหักพังที่หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ อยู่
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็ยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือและชี้ไปยังหน้าจอตรงหน้า ทันใดนั้น คลื่นพลังก็ปรากฏบนหน้าจอและพัดกระจายออกไป เปลวสัมผัสสวรรค์ของปรมาจารย์แห่งไฟขยายออกไปผสานกับคลื่น
ครู่ต่อมา ฝูงชนที่กำลังสนทนากันอย่างครื้นเครงบนดินแดนที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณของตนสั่นไหว หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงจากคลื่นพลังที่ถาโถมมา
ทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อเห็นแสงลุกโชนจุติลงมาจากฟากฟ้า และหยุดอยู่กลางอากาศเหนือทุกคน ก่อนจะรวมกันเป็นร่างเงาเพลิง แม้จะเห็นรูปร่างได้ไม่ชัดเจน แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังกดดันมหาศาล มองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกปวดตา และสั่นสะเทือนไปถึงวิญญาณ
หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว เขารีบก้มหัวลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงเก่าแก่ดังขึ้นจากร่างเงาเพลิงกลางฟากฟ้า
“ทำได้ไม่แย่ ข้าจะมอบผลึกสีชาดให้ตามผลงานของเจ้า”
ทันทีที่ร่างเงาเพลิงพูดออกไปเช่นนั้น ตัวเลขก็ปรากฏขึ้นบนหน้ากากของฝูงชนกว่าสี่สิบคน กลไกการเฝ้าดูของหน้ากากสามารถคำนวณรางวัลตามผลงานพวกเขาได้ หวังเป่าเล่อรีบตรวจสอบเลขบนหน้ากากของตัวเองทันที
13,000 ก้อนหรือ หวังเป่าเล่อกะพริบตา รู้สึกว่าเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป แม้ชายหนุ่มจะต้องการผลึกสีชาดเพียงสามร้อยก้อนเพื่อซื้อวัตถุดิบทั้งหมดจากเซี่ยไห่หยาง แต่เขาก็คิดว่าตนเองได้สังหารทั้งกองทัพด้วยตัวคนเดียว เรียกได้เก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมก็ว่าได้
แต่พอหวังเป่าเล่อเห็นตัวเลขบนหน้ากากของคนอื่นๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ตัวเลขสูงสุดบนหน้ากากของผู้ฝึกตนคนอื่นๆ คือ…สองร้อยก้อน ซึ่งเป็นของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสามคน ส่วนคนที่เหลือนั้นได้มากสุดประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบก้อน ส่วนตัวเลขน้อยที่สุดเป็นเพียงหลักหน่วยเท่านั้น
ทั้งหมดรวมกันยังไม่อาจเทียบเท่าเขาได้เลย…
ช่างน่าเวทนาเสียจริง หวังเป่าเล่ออดกระแอมกระไอไม่ได้ เมื่อผู้ฝึกตนคนอื่นๆ เห็นจำนวนผลึกสีชาดที่หวังเป่าเล่อได้รับก็รู้สึกอยากร้องไห้ออกมา แต่ก็ทำไม่ได้ บางคนเคยปฏิบัติภารกิจเช่นนี้มาก่อนหน้าและได้ผลึกสีชาดหลายร้อยก้อน แต่ครั้งนี้กลับได้ไม่ถึงสิบ…
“ได้ผลึกสีชาดแล้วก็ไปได้” ร่างเงาบนท้องฟ้าโบกมือส่งผลึกสีชาดจำนวนมากไปให้ทุกคน หลังจากเก็บไปเรียบร้อย ทุกคนก็ได้แต่กุมหมัดอย่างอดสูไปทางร่างเงาบนท้องฟ้า ก่อนร่างกายจะเลือนหายไปทีละคน ทิ้งไว้เพียงหน้ากากซึ่งลอยกลับไปหลอมเข้ากับร่างเงาเพลิงบนท้องฟ้า
“หืม” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เพราะคนอื่นๆ รอบตัวได้กลับออกไปกันหมดแล้ว แต่เขา…ยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ขณะที่กำลังพึมพำกับตัวเองในใจ เสียงราบเรียบของร่างเงาเพลิงบนฟ้าก็ดังขึ้นในหู
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากเป็นศิษย์ในนามของข้าหรือไม่”