ช่วงเย็นของวันต่อมา หลินเยวียนก็ออกเดินทางไปยังฉีโจว
คนจากจากบริษัทย่อยก็เดินทางกลับเช่นกัน
ทุกคนต้องไปปรึกษากับครอบครัวก่อน เพราะถึงอย่างไรก็ต้องมีพนักงานจำนวนหนึ่งในอนาคตต้องทำงานที่สตาร์ไลท์
และเรื่องนี้ ส่งผลให้คนจากบริษัทย่อยไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน
ช่วงนี้หลินเยวียนเองก็ยังรับงานใดๆ ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะการอัปเกรดใหม่ของระบบยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เขาเปิดกล่องสมบัติไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฟังก์ชันสั่งทำเพลงจากระบบ
ในความจริงแล้ว
ไม่ใช่แค่คนในบริษัทย่อยหรอก ตอนนี้คนในแต่ละสาขาอาชีพก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานกันทั้งนั้น
ตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการดึงตัวบุคลากรและวางแผนกลยุทธ์ ทำได้เพียงรอให้เหตุการณ์นี้สงบลงสักหน่อย การแข่งขันอันดุเดือดในตลาดถึงจะเปิดฉากอย่างเป็นทางการ
ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจนี่ไม่เลวดีเหมือนกัน
หลินเยวียนดื่มด่ำกับชีวิตมหาวิทยาลัยในฉีโจวอยู่เงียบๆ เป็นครั้งสุดท้าย
และยามที่เดือนธันวาคมกำลังจะผ่านพ้นไป ชั้นเรียนที่หลินเยวียนอยู่นั้น ก็มีนักศึกษาใหม่ย้ายมา!
นี่เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
กำลังจะจบเทอมแล้ว ยังมีคนย้ายมาอีกเหรอ
แต่เรื่องแบบนี้ก็ดันเกิดขึ้นแล้ว
หนำซ้ำตอนที่นักศึกษาคนนี้ย้ายมา หลินเยวียนก็พบว่าอีกฝ่ายถึงกับเป็นคนที่ตนรู้จัก
กู้ซี?
หลินเยวียนจำได้ว่ากู้ซีเหมือนจะเป็นนักศึกษาของสาขาเครื่องบรรเลง จะย้ายมาที่วิทยาลัยศิลปะฉีโจวตอนนี้ได้ยังไง
แถมยังมาที่แผนกประพันธ์เพลงด้วย?
หลินเยวียนยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
และเมื่อเทียบกับความสงสัยของหลินเยวียนแล้ว นักศึกษาในชั้นเรียนกลับตื่นเต้นกันถ้วนหน้า
โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินอาจารย์กล่าวแนะนำ “กู้ซีเป็นนักศึกษาสาขาเครื่องบรรเลงจากวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ขณะเดียวกันก็เป็นนักเปียโนเปี่ยมพรสวรรค์ซึ่งเคยขึ้นเวทีการแสดงเปียโนระดับสูง กู้ซีไม่ได้เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน เพียงแต่สนใจการประพันธ์เพลง ก็เลยย้ายมาที่วิทยาลัยเรา…”
ไม่มีคำอธิบายโดยละเอียดถึงวิธีการย้ายมาของกู้ซี เพราะปกติแล้วก็มักจะมีคนที่ย้ายมาผ่านช่องทางพิเศษกันทั้งนั้น
อาจารย์เพียงแค่เอ่ยถึงผลงานความสำเร็จของกู้ซีรอบหนึ่ง
และคงไม่มีใครไปตามสืบสาวราวเรื่องหรอก ทุกคนรู้แค่ว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ในเซคจะมีเทพธิดานักเปียโนซึ่งสวยพริ้งเพราเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง!
มีผู้ชายบางคนที่คิดว่าตนโดดเด่นพอดูก็เริ่มแผนการแล้ว
ส่วนผู้หญิง พวกเธอถึงขั้นที่รู้สึกริษยาไม่ออกเสียด้วยซ้ำ
ความริษยาอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าทุกคนไม่ได้ห่างไกลกันมากถึงขนาดนี้
แต่เมื่อมาเจอกับนักศึกษาระดับตำนานอย่างกู้ซี เพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงทำได้เพียงอิจฉาระคนชื่นชม
ฉะนั้นแล้ว
ทันทีที่เลิกเรียน ผู้ชายหลายคนต่างจัดเสื้อผ้าหน้าผม เตรียมตัวเข้าไปสร้างความประทับใจให้กู้ซีแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น ก่อนที่ทุกคนจะเคลื่อนไหว กู้ซีกลับออกตัวนำหน้าไปก้าวหนึ่งแล้ว เธอถึงกับเดินตรงไปหาหลินเยวียน
ชั่วขณะนั้นเอง หัวใจของผู้ชายหลายคนก็พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ
ส่วนผู้หญิงกลับเกิดความความรู้สึกว่ามีศัตรูร่วมกันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าทุกคนก็ไม่ได้ถึงกับตื่นตะลึงกันมากนัก เพราะหลินเยวียนเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากวิทยาลัยศิลปะฉินโจว กู้ซีก็มาจากวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเหมือนกัน เธอรู้จักหลินเยวียนก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไร้เหตุผล
“เพื่อนนักเรียนหลิน!”
ในตอนนี้กู้ซีแลดูประหลาดใจ จ้องมองหลินเยวียนตาไม่กะพริบ เอ่ยว่า “สวัสดี บังเอิญมากเลย นึกไม่ถึงว่านายจะอยู่เซคนี้ด้วย!”
แน่นอนว่าเธอแสร้งทำท่าทางประหลาดใจ
มีแค่สวรรค์ที่รู้ดีว่าราคาที่กู้ซีต้องจ่ายนั้นมากมายแค่ไหน เพียงเพื่อให้ได้ย้ายมาที่วิทยาลัยศิลปะฉีโจว!
เดิมทีกู้ซีสามารถใช้ช่องทางการเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนเพื่อย้ายมาที่วิทยาลัยศิลปะฉีโจวนี้
แต่เพราะในตอนแรกกู้ซีกังวลว่าถ้าตนเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนก็จะไม่ได้เจอหลินเยวียนแล้ว ฉะนั้นจึงปฏิเสธโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนไป
ปรากฏว่าโชคชะตาเล่นตลก กู้ซีก็พบว่าหลังจากที่ตนบอกปัดโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนไปแล้ว หลินเยวียนกลับจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน!
ดังนั้นในตอนที่กู้ซีเปลี่ยนใจ และอยากกลับมาใช้โควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนเพื่อย้ายมายังวิทยาลัยศิลปะฉีโจว
น่าเสียดายที่เวลานั้นสายเกินไปเสียแล้ว
โควตานักเรียนแลกเปลี่ยนมีจำกัด สุดท้ายแล้วกู้ซีจึงไม่สามารถเดินเส้นทางของการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนได้
แต่กู้ซีก็ไม่ได้ถอดใจ
เธอไปขอร้องคนแล้วคนเล่า ใช้เส้นสายไม่รู้เท่าไหร่ ผ่านช่องทางพิเศษ กว่าจะได้เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนชั้นปีที่สามของวิทยาลัยศิลปีฉีโจวในขณะที่ภาคเรียนกำลังจะสิ้นสุดลง!
แค่นี้ยังไม่จบนะ
เมื่อกู้ซีคิดว่าตนลงทุนลงแรงไปมหาศาล เพื่อให้ตนได้ย้ายมาที่วิทยาลัยศิลปะฉีโจว ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แต่เมื่อคิดจะทำแล้วก็ต้องสู้ถึงที่สุด จึงย้ายไปยังเซคเดียวกับที่หลินเยวียนอยู่ในวิทยาลัยศิลปะฉินโจวให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!
ถึงอย่างไรเธอก็ใช้เปียโนเลี้ยงปากท้อง
และจากฝีมือการบรรเลงเปียโนของเธอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินโจวหรือวิทยาลัยศิลปะฉีโจว ก็ไม่สามารถสอนอะไรกู้ซีได้อีก
สำหรับกู้ซีแล้ว นี่เป็นการทุบหม้อข้าวจมเรือ[1]
แต่ในตอนนี้ได้มาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับหลินเยวียนแล้ว เมื่อคิดว่าหลังจากนี้ทั้งสองก็จะมีโอกาสได้รู้จักกันมากขึ้นแล้ว กู้ซีก็รู้สึกว่าการทุบหม้อข้าวจมเรือครั้งนี้คุ้มค่าเหลือเกิน!
เพราะฉะนั้น ท่าทางประหลาดใจในตอนนี้เป็นการเสแสร้งทั้งปวง แต่รอยยิ้มที่ผุดพรายบนใบหน้านั้นออกมาจากใจจริง!
“บังเอิญจริงๆ สวัสดีครับ” หลินเยวียนพูด
ก่อนหน้านี้ก่อนมาที่ฉีโจว กู้ซีให้โมเดลรูปดาวดวงหนึ่งแก่หลินเยวียน
ถึงแม้ข้างในจะไม่มีไข่แดง แต่หลินเยวียนก็ยังรับของขวัญของอีกฝ่ายไว้ ดังนั้นมองจากท่าทีแล้วนับว่าเป็นมิตรมากทีเดียว
นอกจากนั้น หลังจากที่ผ่านหลายเรื่องราวมา หลินเยวียนไม่ได้ปฏิเสธกู้ซีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
‘เจอกู้ซีแปลว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น’
หลินเยวียนคิดว่าไม่ใช่เรื่องดีนัก ถ้าตนเอาแต่มองอีกฝ่ายด้วยทัศนคตินี้
ครั้งก่อนที่กู้ซีให้โมเดลมา ก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนี่?
“ต่อไปพวกเราก็จะได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันแล้วนะ!”
กู้ซีพูดตามบทที่ตนตระเตรียมไว้แต่แรก “แต่เพราะฉันเพิ่งย้ายเข้ามาในสาขาการประพันธ์เพลง ไม่ค่อยคุ้นเคยกับเพื่อนในเซค แล้วที่จริงฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเขียนเพลงมากเท่าไหร่ เลยหวังว่าเทอมหน้าถ้ามีโอกาสจะขอคำแนะนำจากนายนะ!”
“ขอโทษนะครับ”
หลินเยวียนส่ายหน้าพลางบอกไป “เทอมหน้าผมจะกลับไปเรียนที่ฉินโจวแล้ว”
สีหน้าของกู้ซีแข็งค้างไปทันที
สีสันของโลกใบนี้ประหนึ่งสูญสิ้นไปในชั่วพริบตา ดวงตาของเธอค่อยๆ หมดประกาย ในห้วงสำนึกของเธอเหลือเพียงหนึ่งประโยคดังก้อง
‘เทอมหน้าผมจะกลับไปเรียนที่ฉินโจวแล้ว…’
‘ผมจะกลับไปเรียนที่ฉินโจวแล้ว…’
‘กลับไปเรียนที่ฉินโจวแล้ว…’
‘ฉินโจวแล้ว…’
น้ำเสียงของกู้ซีสั่นเทิ้ม “ทะ…ทำไมล่ะ…”
หลินเยวียนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของกู้ซีเลย เขายังคงอธิบายอย่างใจเย็น “ฉินโจวกับฉีโจวรวมกันแล้ว ระบบของทั้งสองที่ก็เปลี่ยนตามไปด้วย หลังจากนี้ระบบนักศึกษาแลกเปลี่ยนจะต้องถูกยกเลิก ดังนั้นเทอมหน้านักศึกษาแลกเปลี่ยนทั้งหมดก็ต้องกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยเดิม”
กู้ซีรู้สึกว่าสมองของเธอส่งเสียงหวึ่งๆ
เธอถึงขั้นไม่รู้แล้วว่าตนเดินกลับไปยังที่นั่งได้อย่างไร รู้สึกเพียงว่าสติสัมปชัญญะได้หลุดลอยไปแล้ว
ท่ามกลางความมืดมิด ในตอนนั้นเองกู้ซีก็ถึงกับสัมผัสได้ถึงพลังแห่งโชคชะตา
“เพื่อนนักเรียนกู้ซี…”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ผู้ชายหลายคนประชิดเข้ามาพูดโน่นนี่สารพัด แต่กู้ซีฟังไม่ได้ยินเลย จึงฝืนตอบไปว่า “ฉันอยากอยู่เงียบๆ ค่ะ”
“…”
บรรดาผู้ชายที่เข้ามาต่างมองหน้ากัน ก่อนจะแยกย้ายกันเผ่นไป
กู้ซีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา นิ้วมือเรียวของนักเปียโนกดพิมพ์ข้อความอย่างสั่นเทา ‘ปีหน้าฉันกลับไปที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวได้ไหม’
‘ไม่ได้!’
อีกฝ่ายพิมพ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ‘คนที่ร้องจะเป็นจะตายว่าต้องไปวิทยาลัยศิลปะฉีโจวให้ได้ก็คือเธอ! นี่เพิ่งถึงก็ร้องจะกลับแล้ว สองมหาลัยนี้บ้านเธอเป็นเจ้าของหรือไง เทอมหน้าต้องอยู่ฉีโจวต่อนั่นแหละ!’
กู้ซีได้ยินเสียงหัวใจของตนแตกร้าว
อีกฝ่ายถามซักไซ้ ‘มีเรื่องอะไร’
กู้ซีเค้นแรงพิมพ์กลับไป ‘หัวใจฉันตายแล้ว มีอะไรก็เผากระดาษมา’
……………………………………………
[1]ทุบหม้อข้าวจมเรือ เปรียบเปรยว่าสู้ถึงที่สุด ไม่ถอยหลังกลับ