หู่พั่วหันไปมองสืออีเหนียง
เห็นนางก้มหน้าลงเล็กน้อย สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
นางพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยิน…”
สืออีเหนียงตกใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดว่า “มีอะไร”
“เรื่องที่คุณชายน้อยสองจะไปเดินปัดเป่าโรคภัย…” หากไม่รู้ก็แล้วไป แต่ตอนนี้รู้แล้ว ถ้าหากปล่อยไปเช่นนี้ เกรงว่าจะมีข่าวลือแพร่สะพัดออกไป แต่ว่าตอนนี้อยู่ต่อหน้าจุนเกอกับสาวใช้เกือบทั้งห้อง นางจึงไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจน
สืออีเหนียงเห็นหู่พั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ย่อมรู้ว่านางกำลังกังวลเรื่องใด จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าช่วยไปเชิญพ่อบ้านไป๋มาให้ข้าที!”
แววตาของหู่พั่วมีความสับสนเล็กน้อย ก่อนจะตอบรับแล้วเดินออกไป
ทางด้านจุนเกอกำลังป้อนน้ำให้สวีซื่อเจี้ย
มีสาวใช้น้อยมารายงานว่า “ฮูหยิน คุณชายน้อยใหญ่ คุณชายน้อยสอง และคุณชายน้อยสามมาพบเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วขนาดนี้
หากเป็นตัวเอง เมื่อถูกผู้ใหญ่จับได้ ก็คงจะมายอมรับผิดก่อนดีกว่า
แต่ไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดของใคร
“เชิญคุณชายน้อยทั้งสามท่านเข้ามา!” สืออีเหนียงกำชับสาวใช้น้อย
สาวใช้น้อยตอบรับแล้วเดินออกไปเชิญทั้งสามคนเข้ามา
เมื่อเห็นจุนเกอกับสวีซื่อเจี้ยอยู่ข้างกายสืออีเหนียง สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ มีเพียงสวีซื่ออวี้ที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มท่าทางนิ่งสงบ
ทั้งสามคนคำนับสืออีเหนียง ไม่รอให้สืออีเหนียงเอ่ยปาก สวีซื่อฉินก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านอาสะใภ้สี่ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าทั้งหมด ท่านอาสะใภ้สี่โปรดอย่าได้บอกท่านอาสี่กับท่านพ่อและท่านแม่ของข้า พวกเรารู้ผิดแล้ว วันเทศกาลโคมไฟพวกเราจะอยู่จวนอย่างเชื่อฟังขอรับ”
สวีซื่อเจี่ยนพยักหน้า “ท่านอาสะใภ้สี่ พวกเราสัญญาว่าจะไม่ออกไปไหนขอรับ”
สืออีเหนียงส่งสัญญาณให้สาวใช้น้อยไปยกเก้าอี้จิ่นอู้มา ยิ้มพลางพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ว่าพวกเจ้าต้องรักษาคำสัญญา ห้ามปิดบังบ่าวรับใช้ข้างกายและองครักษ์แล้วออกจากจวนไปเพียงลำพังเด็ดขาด”
ทั้งสามคนรับปากพร้อมกัน “ขอรับ”
จากนั้นสวีซื่อฉินก็กำชับกับจุนเกอไม่ให้เขานำเรื่องนี้ไปพูด “…เดี๋ยวท่านย่าจะเป็นกังวล”
แน่นอนว่าจุนเกอพยักหน้าตอบรับ
สืออีเหนียงเชิญพวกเขานั่งลงแล้วให้สาวใช้น้อยไปยกชามา
ตอนนี้จุนเกอพึ่งจะกล้ากล่าวทักทายพี่ชายทั้งสาม
สวีซื่อเจี่ยนชี้ไปยังสวีซื่อเจี้ย “เจ้าพาเขาไปเล่นทุกวันเลยหรือ”
จุนเกอพยักหน้า “ข้าเล่านิทานสุภาษิตให้น้องห้าฟังด้วย” ท่าทางภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
สวีซื่อเจี่ยนยิ้มกว้าง
หู่พั่วเดินเข้ามา เห็นสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ อยู่ที่นี่ จึงรีบเข้าไปคำนับ ยิ้มพลางรายงานว่า “ฮูหยิน พ่อบ้านไป๋มาพบเจ้าค่ะ”
นางมีทักษะในการพูด
บอกว่าพ่อบ้านไป๋มาพบ ไม่ใช่มาเพราะได้รับคำสั่ง คงจะเป็นเพราะเห็นว่าสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ อยู่ด้วย
สืออีเหนียงแอบพยักหน้าในใจ ยิ้มแล้วลุกขึ้น “พวกเจ้าพี่น้องนั่งคุยกันไปก่อน ข้าไปดูก่อนว่าพ่อบ้านไป๋มีเรื่องอันใด อีกสักครู่พวกเราค่อยไปหาไท่ฮูหยินด้วยกัน”
ทุกคนยิ้มตอบรับ จากนั้นนางก็ไปที่ห้องโถง
พ่อบ้านไป๋คำนับนางมาแต่ไกล
สืออีเหนียงเดินเข้าไปหา “พ่อบ้านไป๋ ข้ามีเรื่องให้ท่านช่วย”
พ่อบ้านไป๋เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของนาง จึงก้มหน้าลงด้วยท่าทางนอบน้อม
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ มีชุดบ่าวรับใช้อยู่ในห้องให้เขาฟัง “…หากเด็กๆ เพียงแค่จะเล่นกันเพื่อความสนุก ก็ให้บอกท่านโหวไว้ก่อนจะได้ไม่ตกอกตกใจ แต่หากมีอะไรแอบแฝงแล้วเกิดเรื่องขึ้น เกรงว่าจะทำให้เกิดการเสียใจภายหลัง ดังนั้นจึงอยากจะขอให้พ่อบ้านไป๋ส่งคนไปจับตาดูพวกเขาอย่างเงียบๆ อย่างไรก็ต้องรอให้ผ่านเทศกาลโคมไฟไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น”
พ่อบ้านไป๋ฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม โค้งคำนับแล้วตอบว่า “ฮูหยินวางใจได้ ผู้น้อยเข้าใจแล้วขอรับ” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “เพียงแต่ว่าการที่คอยป้องกันอยู่เช่นนี้คงจะไม่ดีเท่าไร เกรงว่าควรนำความไปบอกท่านโหวจะดีกว่า”
เขากำลังเตือนสืออีเหนียง ในเมื่อนางสงสัยว่าคุณชายน้อยทั้งสามไม่ได้เตรียมเสื้อผ้านี้ไว้เพื่อไปเดินปัดเป่าโรคภัย เช่นนั้นก็ควรรีบผลักความรับผิดชอบออกไปให้เร็วที่สุด
แต่ที่สืออีเหนียงทำเช่นนี้เพราะมีเจตนาบางอย่าง
เด็กทั้งสามคนพากันมาขอร้องนาง หากนางปฏิเสธท่าเดียว ต่อไปก็จะเกิดช่องว่างระหว่างกัน ดังนั้นเมื่อสวีซื่อฉินเอ่ยปาก นางจึงตอบตกลงทันที รอให้เทศกาลโคมไฟผ่านไปก่อนนางค่อยหาโอกาสพูดให้เป็นเรื่องตลกกับสวีลิ่งอี๋ จะได้ไม่สูญเสียความเชื่อใจ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องคอยป้องกันทุกวัน
แต่เมื่อได้ยินคำเตือนของพ่อบ้านไป๋นางก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก “อย่างไรก็ต้องรอให้ผ่านเทศกาลโคมไฟไปก่อน!”
เขาได้พูดประเด็นหลักไปแล้ว ส่วนจะฟังหรือไม่ฟังนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
พ่อบ้านไป๋จึงไม่ได้พูดอะไรอีก ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวไปทำธุระต่อนะขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้า ให้หู่พั่วไปส่งพ่อบ้านไป๋ เมื่อกลับไปที่ห้องก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เวลาล่วงเลยมามากแล้ว พวกเราไปหาไท่ฮูหยินกันเถิด!”
ทุกคนตอบรับ “ขอรับ” ลงมาจากเตียงเตา สวมรองเท้าและเสื้อคลุม จากนั้นก็พากันไปที่เรือนไท่ฮูหยิน
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว ไท่ฮูหยินปิดจวนไม่ต้อนรับแขก การติดต่อไปมาหาสู่กันในเรือนมอบให้เป็นหน้าที่ของฮูหยินสาม เกรงว่าจะมีคนนิสัยไม่ดีที่ไม่ได้รู้ความจริงมาพูดจาทำให้สืออีเหนียงไม่สบายใจ จึงเสนอให้สืออีเหนียงมาอยู่เป็นเพื่อนนาง ให้สืออีเหนียงคอยปรนนิบัตินางเข้านอนและตื่นขึ้นในตอนเช้า ส่วนเวลาอื่นก็ให้อยู่ที่เรือนของตัวเอง ทำให้สืออีเหนียงว่างไม่มีสิ่งใดทำ
เมื่อเห็นสืออีเหนียงพาเด็กๆ มาด้วยนางก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ เมื่อทุกคนนั่งลงแล้วนางก็ถามจุนเกอว่า “จุนเกอเล่านิทานให้เจี้ยเกอฟังอีกแล้วหรือ”
ไท่ฮูหยินเห็นด้วยที่จุนเกอไปอยู่กับสืออีเหนียงทุกวันตอนบ่าย การที่สองคนแม่ลูกสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไท่ฮูหยินอยากเห็นมาตลอด
สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ มีสีหน้าตึงเครียด จนกระทั่งจุนเกอพยักหน้าจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ไท่ฮูหยินยิ้มด้วยความปลื้มปีติ มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่า “มีราชโองการมาขอรับ”
ทุกคนล้วนตกตะลึง
ไท่ฮูหยินลุกขึ้น กำชับสืออีเหนียงให้รีบไปเปลี่ยนชุดพลางบอกให้ป้าตู้ส่งคนนำชุดมาให้นางเปลี่ยน แล้วให้คนไปรายงานฮูหยินห้าที่สวนดอกไม้หลังจวน
ทุกคนแยกทางกัน
เมื่อกลับมาถึงลานที่เรือนก็พบกันสวีลิ่งอี๋กำลังเปลี่ยนชุดราชการอยู่
เมื่อเห็นสืออีเหนียงมีสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย เขาก็ยิ้มปลอบใจสืออีเหนียง “ไม่มีอะไรหรอก ในวังจะมีการจุดดอกไม้ไฟในวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่ง ฝ่าบาทเพียงแค่อยากให้พวกเราไปร่วมสนุกด้วย”
สืออีเหนียงนึกถึงหม่าจั่วเหวินคณะราชทูต…คงเป็นเขาที่มาบอกสวีลิ่งอี๋ล่วงหน้า สืออีเหนียงสงบจิตสงบใจแล้วเดินไปที่ลานเล็กหลังห้องโถงหลักกับสวีลิ่งอี๋
พึ่งจะมาถึง ไท่ฮูหยิน สวีลิ่งควน ฮูหยินห้า คุณชายสาม และฮูหยินสามก็มาถึงพอดี
ทุกคนคุกเข่าฟังราชโองการ
เป็นอย่างที่สวีลิ่งอี๋พูดว่าฮ่องเต้มีราชโองการให้สวีลิ่งอี๋ ไท่ฮูหยิน และสืออีเหนียงเข้าวังไปชมดอกไม้ไฟในวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง
คนสกุลสวีกล่าวขอบพระทัย สองพี่น้องสกุลสวีไปเรือนนอกกับขันทีเฮ่อกงกงที่มาส่งราชโองการ ส่วนฮูหยินสามยกมือขึ้นลูบอกแล้วถอนหายใจยาว “ข้าตกใจแทบแย่”
ฮูหยินห้าพูดพึมพำว่า “เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทถึงอยากให้พวกเราเข้าไปชมดอกไม้ไฟในวังเล่า”
แววตาของไท่ฮูหยินเผยให้เห็นถึงความสับสน แต่กลับทำท่าทางเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่ฝ่าบาทพึ่งขึ้นครองราชย์ก็ทรงรับสั่งให้พวกเราไปชมดอกไม้ไฟ บางทีปีนี้ฝ่าบาทคงอยากจะชมดอกไม้ไฟด้วยกันอีกกระมัง”
ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินสามหรือฮูหยินห้าต่างก็ไม่ได้สบายใจกับคำอธิบายของไท่ฮูหยิน ทุกคนต่างกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนด้วยความกังวล
ตอนกลางคืนสวีลิ่งอี๋กลับมา สืออีเหนียงอดถามเขาไม่ได้ “…หรือว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่ซ่อนเจตนาร้าย”
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ฟังก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าไม่ได้มีอำนาจใดๆ ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องจัดงานเลี้ยงเช่นนี้กับข้าหรอก” แล้วพูดต่อว่า “จริงสิ สองวันก่อนข้าได้พบกับซื่อเจิง เขาบอกว่าองค์หญิงทั้งหลายต่างก็ชื่นชมเจ้าต่อหน้าองค์หญิงใหญ่ บอกว่าเจ้ามีนิสัยอ่อนโยน สงบเสงี่ยมและค่อนข้างนอบน้อม เข้าวังครั้งนี้จะต้องพบปะกับองค์หญิงหลายท่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจ้าต้องปฏิบัติตัวอย่างนอบน้อม จงจำไว้ว่าเรื่องดีๆ อาจมีคนรู้ไม่กี่คน แต่เรื่องไม่ดีจะถูกแพร่สะพัดไปหลายพันลี้ บรรดาองค์หญิงทั้งหลายต่างก็เป็นคนช่างพูด”
เขาคงจะบอกว่าบรรดาองค์หญิงทั้งหลายชอบซุบซิบนินทาคนอื่นกระมัง
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หันไปบอกให้หู่พั่วส่งคนไปคอยดูสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ “…เดิมทีข้าตั้งใจจะไปดูพวกเขาด้วยตัวเอง แต่วันที่สิบห้าเดือนหนึ่งข้าจะต้องเข้าวัง เจ้าต้องคอยดูพวกเขาไว้ ไม่ว่าอย่างไรวันนั้นก็ห้ามเกิดเรื่องเป็นอันขาด”
หู่พั่วรู้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินวางใจได้ บ่าวได้บอกกับคุณชายน้อยทั้งหลายเรื่องผลที่จะตามมาแล้ว ยกเว้นแต่ว่าพวกเขาจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ มิเช่นนั้นบ่าวไม่มีวันคาดสายตาจากพวกเขาเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
ป้องกันทุกรอบด้านแล้ว ถ้าหากยังปล่อยให้ทั้งสามคนหนีไปได้ เช่นนั้นนางก็คงต้องยอมแพ้
สืออีเหนียงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
******
บางทีพวกเขาอาจจะยอมแพ้เพราะถูกจับได้ หรือไม่ก็ถูกจับตามองจนไม่มีโอกาส พันธมิตรของสวีซื่อฉินและคนอื่นๆได้แตกสลายแล้ว แม้ว่าสวีซื่อฉินกับสวีซื่ออวี้มักจะอยู่ด้วยกัน แต่สวีซื่อเจี่ยนก็เริ่มตามจุนเกอไปอยู่กับสืออีเหนียง สืออีเหนียงได้เตรียมน้ำส้มหวาน ข้าวหมักหรือชาดอกกุ้ยฮวาให้พวกเขา บางครั้งก็เก็บกวาดห้องโถงให้พวกเขาเตะลูกขนไก่ กระโดดร้อยเชือกกับเตะลูกหนัง บางครั้งสืออีเหนียงก็เปลี่ยนชุดแล้วมาเล่นกับพวกเขา
สวีซื่อเจี่ยนเห็นแล้วรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก “ท่านอาสะใภ้สี่ ตอนนี้ท่านมีจุดอ่อนอยู่ในกำมือพวกเราแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนั้นหรือ แล้วเป็นความคิดของใครกันที่วิ่งมาขอร้องข้าที่นี่”
สวีซื่อเจี่ยนหัวเราะ “แหะๆ เป็นความคิดของพี่สอง เขาบอกว่าให้ไปพูดเกลี่ยกล่อมก่อน พวกเรายอมรับผิดแล้วท่านก็คงจะไม่โบยพวกเรา เป็นอย่างที่พี่สองพูดไว้จริงๆ ”
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย พยายามพูดเกลี่ยกล่อมสวีซื่อเจี่ยนเบาๆ “ตอนที่ข้าโตเท่าพวกเจ้าก็คิดอยากจะออกไปเล่นข้างนอกเหมือนกัน แต่ต้องบอกผู้ใหญ่ในบ้านก่อน ผู้ใหญ่มีประสบการณ์มากกว่าพวกเจ้า พวกเขาจะช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย…” แล้วยกตัวอย่างเด็กๆ หลายคนที่สูญหายหรือถูกลักพาตัวไป เรื่องพวกนี้นางเป็นคนให้พ่อบ้านไป๋ไปรวบรวมมา ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงสามารถตรวจสอบได้ “หากไม่เชื่อเจ้าก็ให้บ่าวรับใช้ข้างกายเจ้าไปถามได้เลย”
เมื่อสวีซื่อเจี่ยนได้ฟังก็ลูบหัวตัวเองด้วยท่าทางรู้สึกผิด “ข้าไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่พี่ใหญ่บอกว่าไม่อยากให้มีคนกลุ่มใหญ่เดินตามหลัง จะไปไหนมาไหนล้วนไม่สะดวก พี่สองจึงได้คิดแผนนี้ขึ้นมา”
เป็นสวีซื่ออวี้อีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะฉลาดถึงเพียงนี้
“สุภาพบุรุษตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถเอ่ยบอกใครได้ ไม่เห็นมีอะไรที่ไม่สะดวก” สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบหัวเขา
จุนเกอฟังแล้วพยักหน้า สวีซื่อเจี่ยนยิ้มหน้าแดงก่ำ
เด็กๆ มาเพื่อเล่นสนุกไม่ได้มาเพื่อฟังคำตำหนิ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “เจี่ยนเกอเตะลูกหนังได้ดีมาก เรียนมาจากผู้ใดงั้นหรือ”
“ข้าเรียนมาจากพี่สองขอรับ” สวีซื่อเจี่ยนยิ้ม
“อ้อ!” สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เช่นนั้นรู้หรือไม่ว่าอวี้เกอเรียนมาจากใคร”
สวีซื่อเจี่ยนกระพริบตาปริบๆ พูดเสียงเบาด้วยท่าทางลึกลับว่า “ท่านอาสะใภ้สี่ลองเดาดูสิ”
สืออีเหนียงหัวเราะ “ป้ารองของพวกเจ้า!”
สวีซื่อเจี่ยนอ้าปากค้างมองสืออีเหนียง
ทั้งจวนสกุลสวี นอกจากฮูหยินสองแล้วยังจะมีใครกล้าเล่นเกมที่บรรดาบุรุษเล่นอีก…
“ท่านอาสะใภ้สี่ ท่านฉลาดมากเลย” สวีซื่อเจี่ยนยิ้ม ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ “ข้าว่าพวกเรามาแข่งเตะลูกขนไก่กันเถอะขอรับ”
สืออีเหนียงเหงื่อแตกพลั่ก
ในชาติก่อนนางไม่ค่อยได้เล่นกีฬา ทุกครั้งที่สอบวิชาพละศึกษาก็ผ่านมาได้เพราะอาจารย์ยอมให้ เมื่อมาถึงชาตินี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุทางจิตใจหรือเป็นเพราะความเคยชิน ทุกครั้งที่เล่นเกมนางจะมีท่าทางเงอะงะ ขนาดสวีซื่อเจี้ยยังเตะลูกขนไก่ได้ติดต่อกันตั้งเจ็ดแปดครั้ง แต่นางเตะได้มากสุดไม่เกินสองครั้งเท่านั้น