สงบสติอารมณ์ตนเองอยู่ชั่วครู่ ชายในชุดสีเทาจึงเอ่ยถาม “เอาเถิด แม่ทัพเซี่ยมีวิธีการอันใด อย่าลืมเสียเล่า รับสั่งของฝ่าบาท…”
เซี่ยลี่หลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “การปะทะกันของกองทัพสองฝ่าย จะกำหนดแพ้ชนะเพียงเพราะคนคนเดียวหรือ ขอเพียงเว่ยจวินมั่วไม่มีผลกระทบอันใดต่อกองทัพโยวโจว สำหรับพวกเรานับว่าสำเร็จแล้ว ยามนี้เว่ยจวินมั่วจากไปไม่นับว่าเป็นเรื่องร้าย”
“แต่ว่าเว่ยจวินมั่วไม่ตาย แม่ทัพเซี่ยคิดว่าศีรษะบนบ่าของท่านยังจะปลอดภัยดีอยู่หรือ” ชายในชุดสีเทายิ้มเย็น
เซี่ยลี่เงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ย “นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเลือก ข้าสังหารเว่ยจวินมั่วไม่ได้ เขาสังหารข้าได้ เช่นนั้นก็เป็นเพราะข้ามีความสามารถไม่สู้เขา และนับว่าทำเพื่อฝ่าบาทจนถึงที่สุดแล้ว” ชายในชุดสีเทาลนลาน “แม่ทัพเซี่ย ฝ่าบาทมิได้ต้องการให้เจ้าพลีชีพเพื่อสัจธรรม ฝ่าบาทต้องการให้ท่านเป็นผู้นำทัพกองทัพโยวโจว”
เซี่ยลี่ถอนหายใจ “ความยากลำบากในยามนี้ เซี่ยลี่ไร้ความสามารถไม่อาจพลิกกระแสน้ำได้ เพียงทำสุดความสามารถก็เท่านั้น”
ชายชุดสีเทาเงียบไปนาน เอ่ย “ท่านแม่ทัพไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไป ฝ่าบาทจะส่งกองกำลังมาสนับสนุนในไม่ช้า ไม่มีทางปล่อยให้ท่านแม่ทัพต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังหลายแสนของทหารเหล็กโยวโจวเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน”
เซี่ยลี่พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ย “ข้ารู้ ท่านไปพักก่อนเถิด เรื่องหลังจากนี้ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร” เห็นเขาหลับตาลง ท่าทางราวกับไม่อยากเสวนาอันใดอีก แม้ชายชุดสีเทาจะไม่ยินยอมอย่างไรก็ต้องยกมือประสานยอมล่าถอยออกไป ใบหน้าชราเล็กน้อยของเซี่ยลี่เผยความอ่อนล้าออกมา ประจำการอยู่เขตชายแดนมากี่สิบปี สุดท้าย…ต้องมาฆ่าฟันกันเองหรือ
“รายงานท่านแม่ทัพ แม่ทัพเว่ยไปแล้วขอรับ”
“รู้แล้ว จัดการตามแผนที่วางเอาไว้เถิด”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
…
“เหมือนจะคลอดแล้ว” ด้านในเรือนชิงมั่วมีเสียงตื่นเต้นของเซียวเชียนจย่งดังขึ้น ผู้คนในเรือนต่างพากันมองมาที่เขาด้วยสายตาตำหนิ ซุนเหยียนเอ๋อร์กระตุกชายเสื้อของเขาพลางส่ายศีรษะ เซียวเชียนจย่งจึงได้สติขึ้นมา ยกมือลูบศีรษะตนเอง จะโทษเขาไม่ได้ พวกเขารอมาตั้งแต่บ่ายจนพลบค่ำพี่สะใภ้ก็ยังไม่คลอด กว่าจะมีความเคลื่อนไหวขึ้นมา ไม่ตื่นเต้นได้หรือ
แม้ว่าจวนเยี่ยนอ๋องเองก็มีเด็กอายุสองขวบ แต่นั่นกำเนิดมาจากอนุภรรยาของพี่ใหญ่ เขาที่เป็นคุณชายสามเชื้อสายหลักจวนเยี่ยนอ๋องแน่นอนว่าไม่อาจไปดูได้ ส่วนหมิงอวี้จวิ้นจู่ ตอนนั้นเขายังเด็กอีกทั้งไม่อาจไปดูอนุภรรยาของเสด็จพ่อคลอดบุตรได้ ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายเซียวสามได้มีโอกาสมานั่งรอสตรีคลอดลูกอย่างจริงจัง
เฉินซื่อและจูชูอวี้ยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าบนใบหน้านั่นไม่ดีเท่าใดนัก เพียงแต่เมื่อเทียบกับเฉินซื่อที่แสดงอารมณ์ออกมาบนใบหน้า จูชูอวี้นับว่าสงบกว่ามาก เฉินซื่อแต่งเข้าจวนเยี่ยนอ๋องมาหลายปีทว่ายังไม่มีบุตร ยามนี้ยังต้องมารอคอยหนานกงมั่วคลอดไปพร้อมกับคนอื่นๆ นางจะสบายใจได้อย่างไร ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่า ในอนาคตต่อให้นางเองจะคลอดลูกก็คงไม่มีคนมากมายมารออย่างตื่นเต้นมากมายเพียงนี้ หากไม่พอมีสติอยู่บ้าง เฉินซื่อก็คงสะบัดแขนเสื้อหนีไปตั้งนานแล้ว
ด้านในพลันมีเสียงดังขึ้นมา ทว่ายังไม่ได้ยินเสียงหนานกงมั่ว มีเพียงเสียงหมอตำแยสั่งเหล่าสาวใช้และเสียงคนเดินไปยังครัวที่เรือนหลัง เห็นชัดว่าคงกำลังเตรียมน้ำร้อนหรือของใช้อันใดเหล่านั้น
ด้านในห้อง หนานกงมั่วนอนอยู่บนเตียงคิ้วสวยขมวดมุ่น องค์หญิงฉังผิงยืนกุมมือของนางอยู่ด้านข้าง เอ่ยเสียงเบา “อู๋สยา เป็นอย่างไรบ้าง”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ ยิ้มบางๆ เอ่ย “เสด็จแม่ หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ พระองค์…พระองค์ออกไปก่อนเถิดเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงส่ายศีรษะ เอ่ย “ข้าจะอยู่กับเจ้า ไม่ต้องกลัว”
หนานกงมั่วกลั้นรอยยิ้ม แม้ยุคสมัยนี้การคลอดลูกจะอันตราย แต่นางรู้สึกว่าตนเองยังดีอยู่ หลายวันมานี้ศิษย์พี่และอาจารย์ผลัดเปลี่ยนกันมาตรวจชีพจร บำรุงต่างๆ มากมาย ร่างกายของนางเองเดิมก็ไม่เลวอยู่แล้ว หากยังมีปัญหาเช่นนั้นสตรีในโลกนี้คงไม่ต้องมีบุตรกันแล้ว ความเจ็บปวดเกิดขึ้นเป็นระลอก หนานกงมั่วส่งเสียงดังในลำคอ หมอตำแยที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยว่า “หากจวิ้นจู่เจ็บมาก จะร้องออกมาก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
หากเป็นปกติ พวกนางคงต้องบอกหญิงตั้งครรภ์ว่าให้เก็บแรงไว้คลอดลูก เพียงแต่ซิงเฉิงจวิ้นจู่ผู้นี้ช่างมีความอดทนเสียเหลือเกิน ทำให้หมอตำแยอย่างพวกนางที่รับทำคลอดมานานปีทนมองไม่ได้ ที่สำคัญก็คือซิงเฉิงจวิ้นจู่สงบนิ่งเกินไป พวกนางไม่อาจคาดการณ์สถานการณ์ในยามนี้ได้
หนานกงมั่วยิ้มขมขื่น สูดหายใจเข้าลึก เอ่ย “ตอนนี้จะคลอดแล้ว”
“เสด็จแม่ หม่อมฉันอยากกินโจ๊กปี้จิง[1]ที่เสด็จแม่ทำเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงลุกขึ้น “ได้ๆ แม่จะไปทำให้เดี๋ยวนี้ เจ้าคลอดเสร็จจะได้กินเลย” องค์หญิงฉังผิงเองก็รู้ว่าบุตรสะใภ้อยากหาเรื่องแยกตนเองออกไป แม้คิดว่าบุตรชายไม่อยู่ตนเองต้องอยู่กับบุตรสะใภ้ถึงจะถูก แต่นางยืนยันจะให้ตนออกไปเกรงว่าหากตนอยู่นางคงรู้สึกกระอักกระอ่วน คิดได้เช่นนั้น องค์หญิงฉังผิงจึงลูบศีรษะของนางพลันเดินออกไปด้านนอก
“เสด็จอา เป็นอย่างไรบ้างเพคะ” เมื่อองค์หญิงฉังผิงออกมา ซุนเหยียนเอ๋อร์ก็รีบเข้าไปถาม
องค์หญิงฉังผิงเอ่ย “ใกล้คลอดแล้ว”
ทุกคนพ่นลมหายใจออกมา รอมาเนิ่นนานในที่สุดก็ใกล้จะคลอดแล้ว
ใต้ต้นไม้ คุณชายเสียนเกอเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “อย่าพึ่งรีบดีใจไป คลอดลูกไม่ใช่ออกไข่ ไม่ได้เร็วเพียงนั้น คนที่ไม่มีแรงรีบไปพักผ่อนเถิด อีกเดี๋ยวเป็นลมไปจะไม่ได้อุ้มเด็กทารกเอา” เขาช่างจิตใจดี ยังมาเอ่ยเตือนพวกเขาอีก
ใครจะยอมรับกันว่าไม่มีแรงเจ้าบ้า บุรุษทั้งหลายที่อยู่ในสถานการณ์ได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ
เหล่าสตรีทั้งหลายมีคนยกเก้าอี้มาให้นั่งรอ มีเพียงเซียวเชียนจย่งที่โน้มตัวไปเอ่ยถามซุนเหยียนเอ๋อรที่นั่งอยู่ด้านข้าง “เจ้าจะกลับไปพักก่อนหรือไม่ รอพี่สะใภ้คลอดแล้วข้าจะส่งคนไปบอกกับเจ้า” ซุนเหยียนเอ๋อร์ส่ายศีรษะ เอ่ยเสียงเบา “ข้าคงจะ…รอไปก่อน หากเหนื่อยจริงๆ ข้าถึงจะกลับไป” ก้มหน้าลงไปลูบหน้าท้องที่ยังแบนราบเบาๆ ซุนเหยียนเอ๋อร์เอ่ย “ไม่แน่เห็นพี่สะใภ้คลอดออกมาได้ ข้าเองคงจะวางใจไปบ้าง” ตนแต่งมาอยู่ที่โยวโจวคนเดียว แม้พระชายาเยี่ยนอ๋องจะดีกับตนมากแต่อย่างไรก็มิใช่มารดาแท้ๆ ของตน ยามนี้กำลังตั้งท้อง ซุนเหยียนเอ๋อร์เองก็ทำอันใดไม่ถูกอยู่บ้าง ตนคิดว่าหนานกงมั่วเก่งมากมาตลอด และนับถือนางมาก มองเห็นนางคลอดออกมาแล้วไม่แน่ตนเองอาจจะไม่กลัวก็ได้
เซียวเชียนจย่งพยักหน้า เอ่ยว่า “ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไม่ไหวแล้วต้องบอก”
“เจ้าค่ะ”
“คุณชายเว่ยกลับมาแล้ว” ในขณะกำลังสนทนา ด้านนอกประตูพลันมีเสียงรายงานดังขึ้น ทุกคนหันกลับไป มองเห็นเว่ยจวินมั่วในอาภรณ์สีฟ้าครามที่เต็มไปด้วยฝุ่นพุ่งเข้ามาในเรือน คุณชายเว่ยมีนิสัยเย็นชา ปกติแล้วในสายตาของทุกคนเขานั้นเย็นชาหยิ่งยโส ไม่ว่าจะทำอันใดก็ยังสุขุมเยือกเย็น แต่ยามนี้กลับห่างไกลคำว่าสุขุมยิ่งนัก ราวกับอาศัยวิชาตัวเบาพุ่งมาจากด้านนอก ไม่มองดูผู้คนในเรือนแม้แต่เพียงเล็กน้อย พุ่งตรงเข้าประตูไปทันที
ทุกคนมองเห็นเพียงเงาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สองคนพุ่งเข้ามาขวางหน้าคุณชายเว่ยเอาไว้ หนึ่งในนั้นแน่นอนว่าเป็นคุณชายเสียนเกอ อีกคนคืออาจารย์อาที่ไร้เทียมทานในสายตาของทุกคน
“อู๋สยา” เว่ยจวินมั่วกวาดตามองคุณชายเสียนเกอ ฝ่ามือตวัดออกไปโดยไม่ปรานี คุณชายเสียนเกอรู้ดีว่าวรยุทธ์ยังห่างไกลแน่นอนว่าไม่ฝืนขัดขวางต่อ รีบหลบไปอยู่อีกฝั่งอย่างรวดเร็ว อย่างไรด้านหลังก็ยังมีคนขวางเอาไว้อยู่ เว่ยจวินมั่วกำจัดคุณชายเสียนเกอได้ ทว่าไม่อาจใช้ฝ่ามือกำจัดอาจารย์อาได้ ทำได้เพียงจ้องคนที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขม็ง “หลบไป”
[1] โจ๊กปี้จิง คือโจ๊กที่ทำจากข้าว ‘จิงหมี่’หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ‘แกบี้’ เมล็ดข้าวมีลักษณะอ้วนป้อม สีใส เป็นข้าวเจ้าเมื่อหุงแล้วจะเหนียวจับตัวกันคล้ายข้าวเหนียว