บทที่ 811 ทุกอย่างเป็นเรื่องเสแสร้ง!
คำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้ใครๆ ต่างก็พากันจ้องมองเขาอย่างชื่นชม ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะพากันไปค้นหาบริเวณนั้นอย่างทั่วถึง แม้ว่าพวกเขาจะไม่พบอะไรมากนัก แต่ความใส่ใจรายละเอียดของหวังเป่าเล่อก็ทำให้หัวหน้าหน่วยถึงกับพยักหน้าชื่นชม
การค้นหาเช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นทั่วค่าย กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ยังมาปรากฏตัวเพื่อช่วยค้นหา อันที่จริงแล้ว ดวงจิตของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็อยู่ที่นี่ด้วยตลอดเวลา และกวาดตาตรวจดูทั้งค่ายอยู่ไปมาเพื่อหาร่องรอยของผู้บุกรุก!
แต่ไม่ใช่แค่การจู่โจมของหวังเป่าเล่อที่รวดเร็ว แต่ชายหนุ่มยังมีทักษะการแปลงกายของกระบวนท่าสารัตถะด้วย แม้เขาจะทิ้งเบาะแสเอาไว้บ้างก็ตาม แต่แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอตัวชายหนุ่มได้ในระยะเวลาอันสั้น
หวังเป่าเล่อไม่ได้กังวลเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาคิดมาแล้วทั้งหมดก่อนจะมาที่นี่ ชายหนุ่มเชื่อว่าแม้ว่าค่ายจะถูกปิดตาย แต่ก็คงทำได้ไม่นาน เพราะว่า…จะมีสิ่งอื่นที่มาดึงดูดความสนใจของตระกูลไม่รู้สิ้นไป จากนั้นพวกเขาก็จะต้องแบ่งกำลังไปดูและอาจถึงขั้นเปลี่ยนเป้าหมายไปเลยก็เป็นได้
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ค่ายถูกปิดตาย ก็มีการส่งข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ามาถึงค่าย ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะและบรรดาหัวหน้าหน่วยต่างๆ ต่างได้รับรู้เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง!
มีผู้มาจุติจากนอกโลกที่ทรงพลังมากเดินทางมายังดาวเคราะห์ดวงนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ข้อมูลของกลุ่มผู้มาจุติ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าทุกคนล้วนสวมหน้ากากทั้งสิ้น ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งในตระกูลไม่รู้สิ้นหลายคนพากันคิดถึงเรื่องเดียว…ปรมาจารย์แห่งไฟ!
“ทุกคนล้วนสวมหน้ากาก และจุติตามๆ กันมา…”
“ฝีมือปรมาจารย์แห่งไฟแน่นอน!”
“บัดซบ ทำไมปรมาจารย์แห่งไฟถึงต้องเลือกโจมตีที่นี่ด้วย!”
ยิ่งข้อมูลแพร่กระจายออกไปเท่าใด ความวุ่นวายก็ตามมามากเท่านั้น ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ได้เกรงกลัวการจู่โจมเท่าใดนัก แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์แห่งไฟ ทำให้พวกเขาหลายคนนึกย้อนไปถึงข่าวลือที่เคยได้ฟังมาก่อนหน้า
หวังเป่าเล่อเริ่มหูผึ่ง จึงเดินถามไถ่ข้อมูลไปทั่ว หลังจากที่ได้คำตอบ ชายหนุ่มก็ทำท่าตื่นตกใจก่อนจะตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดไปยังผู้คนที่อยู่รายล้อม
เมื่อค่ายทหารทั้งค่ายตกอยู่ในความโกลาหลเพราะการลอบโจมตี ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากครอบวงกลมที่เก้าจึงปรากฏกายขึ้นมา เขาช่างดูผ่ายผอมและแก่ชรา แต่ประกายในแววตานั้นช่างเยือกเย็น ร่างกายที่เหี่ยวย่นทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงกลิ่นแห่งความตายที่โชยออกมาจากร่าง แต่หากมองดูดีๆ ก็จะเห็นได้ว่ามีพลังน่าสะพรึงกลัวอยู่ในร่างนั้น ซึ่งเมื่อปลดปล่อยออกมา ก็จะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวและสังหารทุกๆ สิ่งรอบกายได้ทันที
น้ำเสียงของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เต็มไปความเกลียดชังสะท้อนก้องไปทั่ว
“ในเมื่อมีผู้มาจุติบางคนมาถึงแล้ว เราก็จะกักพวกเขาเอาไว้ที่นี่ จงส่งกลุ่มค้นหาออกไปค้นให้ทั่วดาวเคราะห์นี้ หากพวกเจ้าสังหารผู้มาจุติได้ ข้าจะเป็นคนจดความดีความชอบของพวกเจ้าเอาไว้ และแจ้งให้ผู้บัญชาการกองทหารปูนบำเหน็จให้อย่างหนัก!”
ขณะที่ชายชรากำลังพูดอยู่นั้น ก็มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายกระโจนออกไปไกลด้วยการพลิกกายเพียงครั้งเดียว ราวกับว่าเขากำลังเข้าร่วมการค้นหาด้วยตนเองกระนั้น ในขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการของทุกๆ กองทหารก็ออกคำสั่งออกไปเช่นกัน พวกเขาแบ่งดาวเคราะห์ออกเป็นส่วนๆ และส่งหน่วยย่อยไปค้นหาทันที
หวังเป่าเล่อเองก็อยู่ในกลุ่มค้นหาเช่นกัน ชายหนุ่มติดตามหน่วยย่อยออกจากค่ายไป ทุกคนต่างก็เริ่มเร่งความเร็วและมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย
เมื่อหน่วยย่อยกระจายตัวกันออกไปแล้ว ค่ายทหารก็เงียบสงบลง ไม่มีใครสังเกตเห็นคลื่นรบกวนที่สะท้อนแสงเรืองเรื่ออยู่ในอากาศ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เหมือนว่าพุ่งตัวออกไปแล้วกลับแปรสภาพเป็นร่างเงาอีกครั้ง เขาตรวจสอบค่ายที่ว่างเปล่าซ้ำอีกหนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สุดท้ายความเคลือบแคลงใจและสับสนที่ปรากฏขึ้นบนแววตา
ข้าแน่ใจว่าผู้ที่ลอบสังหารทหารในค่ายเป็นหนึ่งในผู้บุกรุกไม่ผิดแน่ ทั้งยังรู้อีกว่าพวกมันมีจำนวนเพียงหยิบมือ…แถมเป็นไปได้มากว่ามีเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ!
ทว่า…คนผู้นี้ได้จากไปแล้ว ถ้าไม่เช่นนั้น…เขาก็ต้องมีวิธีการพิเศษในการซ่อนรัศมีของตนเอง ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของตระกูลไม่รู้สิ้นทอดถอนใจก่อนจะขมวดคิ้วที่อยู่บนศีรษะทั้งสามพร้อมๆ กัน เขาจ้องมองไปยังผืนดิน อ้าปากคล้ายจะพูด ก่อนจะหยุดตนเองไว้แล้วโคลงศีรษะเบาๆ แทน
หากข้าไปรบกวนท่านผู้บัญชาการกองทัพ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการฝึกปราณเพราะเรื่องนี้…เขาจะต้องไม่พอใจมากเป็นแน่ และหากพูดกันตามจริง บรรดาผู้บุกรุกที่ปรมาจารย์แห่งไฟส่งมาก็จะอยู่โจมตีเราเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น… ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะเงียบงันไป คนอื่นๆ ต่างก็คิดว่าผู้บัญชาการกองทัพ ผู้ซึ่งมีพลังระดับดาวพระเคราะห์ได้จากไปแล้ว แต่อันที่จริง ผู้อาวุโสรู้แน่แก่ใจว่าผู้บัญชาการกองทัพไม่ได้จากไปไหน เขากำลังทำธุระที่สำคัญยิ่งบางประการอยู่ต่างหาก
หลังจากคิดอย่างถ้วนถี่ ผู้อาวุโสก็ละสายตาออกมา พลางตัดสินใจว่าจะไม่ไปรบกวนผู้บัญชาการกองทหาร เพราะอย่างไรเสียเวลา 24 ชั่วโมง…ก็ย่อมผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ผู้อาวุโสก็พลิกกายพุ่งตัวออกจากค่ายทหารเพื่อไปร่วมการค้นหาด้วย
แม้จะรู้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงภายใน 24 ชั่วโมงเป็นอย่างช้า แต่ผู้อาวุโสก็ยังเกลียดขี้หน้าบรรดาผู้บุกรุกที่มาหยามตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่นั่นเอง หากพวกเขาไม่มาท้าทายด้วยการลอบสังหาร ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามปกติ และผู้อาวุโสก็ไม่ต้องใส่ใจอะไร แต่เมื่อบรรดาผู้มาจุติเข้ามาสังหารสมาชิกถึงในค่าย การค้นหาและสังหารผู้มาจุติเหล่านี้ไม่เพียงจะช่วยระงับโทสะในใจผู้อาวุโสเท่านั้น แต่ยังถือเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อตระกูลไม่รู้สิ้นอีกด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผู้อาวุโสก็เร่งฝีเท้าขึ้นอีก ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้มาจุติที่ไม่รู้ว่ามีคนมาแหย่รังแตนเอาไว้ก่อนหน้า ต่างก็กระจายตัวกันออกตามหาเป้าหมาย แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
ประหลาดนัก ประชากรดาวเคราะห์ดวงนี้ตายไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ หากคิดตามหลักความเป็นจริง ก็ไม่ควรมีสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นออกมาเพ่นพ่านมากนัก
หรือว่า ที่นี่จะมีฝ่ายต่อต้านที่เข้มแข็งอยู่กันแน่
มีผู้บุกรุกบางคนที่ซ่อนตัวอยู่กำลังออกไล่ล่าสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ตัวคนเดียว เมื่อพวกเขามองขึ้นไปบนฟ้า ก็เห็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนมากพุ่งผ่านไป ทำเอาขนหัวลุกซู่และตกใจจนตัวชา
ขณะที่บรรดาผู้มาจุติกำลังเป็นกังวล หวังเป่าเล่อก็ติดตามหน่วยย่อยหนึ่งของกองทหารที่สามไป ชายหนุ่มพูดคุยซุบซิบอยู่กับสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ข้างกาย
เขาพูดภาษาของสำนักแห่งความมืดได้อย่างคล่องแคล่ว บรรดาสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ ต่างก็ไม่ได้ติดใจสงสัยเมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อพูด ชายหนุ่มสัมผัสถึงระบบอาวุโสในตระกูลไม่รู้สิ้นผ่านการพูดคุยนี้ แม้ว่าจะพูดคุยกับหวังเป่าเล่อผู้ซึ่งมีระดับปราณต่ำที่สุดในกลุ่มอยู่ไม่ขาด แต่ประกายเย็นเยียบในแววตาของพวกเขาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
คล้ายกับเป็นสัญชาติญาณก็ว่าได้ หากระดับปราณไม่เพียงพอ สถานะก็ย่อมไม่ถึงด้วยเช่นกัน สิ่งนี้ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนจากการกระทำของผู้นำหน่วยย่อย เขาไม่ใส่ใจลูกน้องแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้คิดใส่ใจเช่นกัน พวกเขาเดินทางมาพักหนึ่งแล้ว และชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเวลานี้เหมาะสมดี หลังจากที่หันรีหันขวางอยู่ชั่วขณะ กายของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดขึ้นอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง!
เขากลายเป็นหมอกหนาที่เข้าปกคลุมทุกคนไว้อย่างรวดเร็วจนเหลือเชื่อ ไม่ให้เวลาสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นรอบข้างได้ตั้งตัวทัน ไม่มีเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดหรือการดิ้นรน ทั้งหมดจบลงในเวลาไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ในชั่ววินาทีต่อมา…เมื่อหมอกกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก็ไม่มีใครเห็นศพของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นเหล่านี้อีกต่อไป แต่หลังจากที่หมอกรวมตัวกันเป็นรูปร่างแล้ว หวังเป่าเล่อก็แปรสภาพไปเป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนหนึ่ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจที่เริ่มแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งภายในกาย และกำลังจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง ร่างกายพลันแปรเปลี่ยนไป หัวของเขาหายไปหัวหนึ่ง แขนอีกข้างก็หัก ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนกำลังบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเขาก็ออกตัวพุ่งไปข้างหน้า โดยหันกลับมามองข้างหลังด้วยสีหน้าท่าทางโกรธเกรี้ยวและตื่นกลัว ราวกับว่ามีใครสักคนไล่กวดมาหมายจะเอาชีวิตเขากระนั้น
เขาแสดงบทบาทเช่นนี้มาเนิ่นนาน ทำให้ชินชาจนเล่นได้สมจริงยิ่ง ชายหนุ่มไม่สนใจว่าเบื้องหลังตนจะมีใครตามมาหรือไม่ เขาบ้วนเลือดออกจากปากเป็นครั้งคราว จนแล้วจนรอด ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่าการแสดงนี้ไม่สมจริง จึงแบ่งส่วนหนึ่งของพลังสารัตถะออกมาสร้างเป็นร่างเงาด้านหลังตนเอง
ร่างเงานั้นสวมหน้ากากกระทิงคนผู้นี้ก็คือบุรุษผู้หยิ่งยโสก่อนหน้านี้นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้…หวังเป่าเล่อก็เริ่มวิ่งไล่ตนเอง 20 นาทีผ่านไป เขาก็พบหน่วยย่อยอีกหน่วยหนึ่งในที่สุด
“ทุกคน โปรดระวังตัวด้วย พวกเราถูกผู้มาจุติซุ่มโจมตี หัวหน้าหน่วยเสียชีวิตระหว่างการต่อสู้ ส่วนที่เหลือถ้าไม่ตายก็หนีกระจัดกระจาย ผู้บุกรุกที่ใส่หน้ากากกระทิงด้านหลังข้าไล่กวดข้ามาเป็นนานสองนานแล้ว!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสารแล้วกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ขณะที่กำลังมุ่งหน้าเข้าไปหาหน่วยย่อย
ตอนนั้นเองเมื่อสมาชิกของหน่วยย่อยมองมาด้วยสายตาเยือกเย็น บุรุษในหน้ากากกระทิงที่หวังเป่าเล่อเสกออกมาก็เปลี่ยนท่าที ก่อนจะหยุดการวิ่งไล่ แล้วหันหลังวิ่งหนีแทน
ถึงจะไม่วิ่งหนีก็คงไม่เป็นไร กลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอาจจะสงสัยบ้าง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายวิ่งหนี ประกายแสงก็สะท้อนขึ้นในตาของหมู่ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้น หัวหน้าหน่วยไม่ได้มองหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำขณะที่นำลูกน้องวิ่งตามไป
เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อ ร่างของชายหนุ่มก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสลายกลายเป็นหมอกและแพร่ไปทั่วอย่างรวดเร็ว เข้าครอบคลุมทุกคนในพริบตาราวกับว่าจะดูดกลืนเข้าไปกระนั้น
วินาทีถัดมา หวังเป่าเล่อกับร่างใหม่ก็เลียริมฝีปาก ก่อนจะส่งเสียงร้องโหยหวน กระอักเลือก แล้ววิ่งหนีต่อไป
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย…”
ด้านหลังเขา บุรุษหน้ากากกระทิงส่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายและวิ่งไล่กวดมาตามการควบคุมของหวังเป่าเล่อนั่นเอง…
……………………….