หลี่จวิ้นโส่วเดินกุมขมับเข้ามา ภรรยาและบุตรสาวที่กำลังปักผ้าเงยหน้าขึ้น
“ท่านพ่อ เหตุใดจึงปวดหัวอีกแล้ว” หลี่เหลียนถามด้วยรอยยิ้ม ลุกขึ้นรินชาให้หลี่จวิ้นโส่ว “ระยะนี้คุณหนูตันจูไม่ได้มีเรื่องมาฟ้องร้อง”
เมื่อได้ยินคำหยอกล้อของนาง หลี่จวิ้นโส่วหัวเราะออกมา รับชาจากบุตรสาว ก่อนจะส่ายหัวอย่างระอา “นางช่างอยู่ได้ทุกที่เสียจริง”
เพราะว่าเฉินตันจูจริงด้วย หลี่เหลียนรีบถาม “เหตุใดหรือ นางเกิดเรื่องใดขึ้น”
หลี่จวิ้นโส่วดื่มชา “หยางจิ้งนั้น พวกเจ้ายังจำได้หรือไม่”
หยางจิ้ง…หลี่เหลียนครุ่นคิด ก่อนจะระลึกขึ้นได้ จากนั้นรู้สึกขบขัน หากจะกล่าวถึงชายหนุ่มผู้สง่างามอันมีความสามารถมากในเมืองอู๋เวลานั้น คุณชายรองตระกูลหยางย่อมอยู่อันดับต้น เขาและคุณชายใหญ่ตระกูลหยางครบเครื่องทั้งบุ๋นทั้งบู๋ เวลานั้นเหล่าหญิงสาวในเมืองอู๋ ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าหยางจิ้งคือผู้ใด ทั้งๆ ที่ไม่ได้ผ่านไปเป็นเวลานานนัก แต่เมื่อนางได้ยินชื่อนี้ก็ยังต้องครุ่นคิดเล็กน้อย
“คุณชายรองผู้น่าสงสารของตระกูลหยางไต้ฟู” ภรรยาของใต้เท้าหลี่จับจ้องเหล่าชายหนุ่มผู้มีความสามารถมากกว่า ย่อมมีความทรงจำอันลึกซึ้ง “เจ้ายังไม่ปล่อยเขาออกมาหรือ ถึงแม้กินดีอยู่ดี ไม่เข้มงวด แต่อย่างไรก็อยู่ในคุก คนในตระกูลของหยางไต้ฟูใจขลาด ไม่กล้าถาม ไม่กล้าเร่ง ไม่ต้องรอให้พวกเขามาขอรับคนกลับไป”
หลี่จวิ้นโส่วยิ้ม “ปล่อยออกไปแล้ว” ก่อนจะยิ้มขมขื่น “คุณชายรองตระกูลหยางนี้ ถูกขังเป็นเวลานานก็ยังไม่เข็ดหลาบ เพิ่งออกไปก็ก่อเรื่องอีกแล้ว เวลานี้ถูกสวีลั่วจือมัดตัวส่งมา ต้องการร้องขอให้ผู้ควบคุมยึดทะเบียนเหลืองของเขา”
ฮูหยินตระกูลหลี่ส่งเสียงตกใจ การถูกที่ว่าการยึดทะเบียนเหลือง เท่ากับถูกตระกูลขับไล่ การถูกตระกูลขับไล่ คนผู้นั้นย่อมหมดสิ้นทุกอย่าง ชนชั้นสูงมีความทะนงตนเสมอมา น้อยครั้งมากที่จะถูกฟ้องร้อง ถึงแม้จะทำเรื่องร้าย อย่างมากก็แค่ลงโทษตามกฎ เขาไปทำเรื่องเลวร้ายใหญ่หลวงอันใดมา ถึงขั้นต้องมาหาผู้ควบคุมแห่งที่ว่าการลงโทษ
“เขาตะโกนในกั๋วจื่อเจี้ยน ด่าทอสวีลั่วจือ” หลี่จวิ้นโส่วพูดอย่างระอา
ในฐานะบัณฑิตหยูก่นด่าอาจารย์หยู ย่อมถือเป็นการไม่เคารพต่อนักปราชญ์ หลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ ร้ายแรงเสียยิ่งกว่าการก่นด่าบิดาของตนเอง ฮูหยินตระกูลหลี่ไม่มีสิ่งใดจะพูด “เหตุใดคุณชายรองตระกูลหยางจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว ครานี้หยางไต้ฟูคงจะเกรงกลัวจนไม่กล้าออกจากจวนแล้ว”
หลี่เหลียนถามอย่างรวดเร็ว “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณหนูตันจูด้วยหรือ”
มิฉะนั้นหยางจิ้งก่นด่านักปราญช์หยูก็ดี ก่นด่าฮ่องเต้ก็ดี สำหรับท่านพ่อแล้วล้วนเป็นเรื่องเล็ก ไม่มีทางเป็นเรื่องน่าปวดหัวได้…ใช่บุตรชายของเขาเสียที่ไหน
หลี่จวิ้นโส่วถอนหายใจ ก่อนจะมองภรรยาและบุตรสาว พูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “หยางจิ้งก่นด่าสวีลั่วจือเพราะว่าเฉินตันจู”
ฮูหยินตระกูลหลี่ไม่เข้าใจ “เหตุใดสวีซินแสจึงมีส่วนเกี่ยวพันกับเฉินตันจูได้”
สองคนนี้ คนหนึ่งอยู่บนฟ้า อีกคนอยู่บนดิน
หลี่จวิ้นโส่วไม่อยากจะพูดออกมาจากปาก “หยางจิ้งก่นด่าสวีลั่วจือประจบเฉินตันจู”
ฮูหยินตระกูลหลี่ไม่สงสารหยางจิ้งแม้แต่น้อยแล้ว “ข้าว่าเด็กคนนี้เสียสติไปแล้ว ใต้เท้าสวีนั้นเป็นผู้ใด จะไปประจบเฉินตันจูได้อย่างไร เฉินตันจูประจบเขายังพอว่า”
หลี่จวิ้นโส่วกุมขมับ “อันที่จริงก็ไม่รู้ว่าผู้ใดประจบผู้ใด อย่างไรก็ตาม เฉินตันจูส่งบัณฑิตผู้หนึ่งเข้ากั๋วจื่อเจี้ยน คนผู้นั้นมีชาติกำเนิดยากจน ถูกใต้เท้าสวีรับเข้าไปอยู่ภายใต้ตนเอง”
ฮูหยินตระกูลหลี่รู้กฎระเบียบของกั๋วจื่อเจี้ยน เมื่อได้ยินจึงผงะไป หากจะพูดเช่นนี้ ช่าง…
หลี่จวิ้นโส่วกระแอมไอเสียงเบาอีกครั้ง “บัณฑิตผู้นี้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเฉินตันจู บัณฑิตผู้นั้นยอมรับ จึงถูกสวีลั่วจือขับไล่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยน”
ดังนั้น หยางจิ้งไม่ได้กล่าวหาสวีลั่วจือลอยๆ ? มีความสัมพันธ์กับเฉินตันจูจริง? ฮูหยินตระกูลหลี่และ
หลี่เหลียนสบตากัน นี่เรื่องอันใดกัน
บัณฑิต…หลี่เหลียนนึกถึงคนหนึ่งขึ้นมา รีบถามหลี่จวิ้นโส่ว “บัณฑิตผู้นั้นนามว่าจางเหยาใช่หรือไม่”
หลี่จวิ้นโส่วขมวดคิ้วส่ายหัว “ไม่รู้ คนของกั๋วจื่อเจี้ยนไม่ได้พูด เรื่องไม่สำคัญนัก จึงทำเพียงแค่ขับไล่ออกไป” เขามองบุตรสาว “เจ้ารู้? คนผู้นี้กับเฉินตันจู…ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา?”
หลี่จวิ้นโส่วกังวลเล็กน้อย เขารู้ว่าบุตรสาวสนิทกับเฉินตันจู อีกทั้งไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังเข้าร่วมงานเลี้ยงของเฉินตันจู…เฉินตันจูจัดงานเลี้ยงอันใด หรือเป็นงานเลี้ยงประเภทบ่อสุราป่าเนื้อ?
ถึงแม้คนของกั๋วจื่อเจี้ยนไม่ได้บอกว่าบัณฑิตผู้นั้นนามว่าอันใด แต่เหล่านายทหารและขุนนางชั้นสูงผู้นั้นต่างพูดถึงบัณฑิตผู้นี้ในยามว่าง กล่าวว่าเป็นผู้ที่เฉินตันจูลักพาตัวจากท้องถนนเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ รูปลักษณ์งดงาม อีกทั้งยังมีนายทหารเห็นกับตาว่าบัณฑิตผู้นี้ถูกเฉินตันจูส่งมา อาลัยอาวรณ์อยู่ด้านหน้าประตูของกั๋วจื่อเจี้ยน
เฉินตันจูนับวันยิ่งเหิมเกริม อายุน้อยอีกทั้งไม่มีผู้สั่งสอน นับวันจะยิ่งเหลวไหลมากขึ้น?
หลี่เหลียนรู้ความคิดของบิดา ทั้งโกรธทั้งขบขัน อีกทั้งรู้สึกเศร้าแทนเฉินตันจู หญิงสาวตัวคนเดียว ยืนหยัดอยู่ในสังคมยากลำบากยิ่งนัก
“เฉินตันจูเพิ่งรู้จักกับบัณฑิตผู้หนึ่ง เพียงบัณฑิตผู้นี้ไม่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับนาง หากแต่กับหลิวเวย เขาเป็นบุตรชายของสหายของหลิวจั่งกุ้ย หลิวเวยเคารพรักพี่ชายผู้นี้ เฉินตันจูสนิทกับหลิวเวย จึงปฏิบัติต่อเขาดุจดั่งพี่ชาย” หลี่เหลียนพูด ถอนหายใจเสียงเบาออกมา
เวลานี้คุณหนูตันจูปฏิบัติดีต่อผู้อื่นล้วนเป็นเรื่องร้ายแล้วหรือ
หลังจากอธิบายกับบิดา หลี่เหลียนไม่ได้ทอดทิ้งเรื่องนี้ไม่สนใจ นางเดินทางไปตระกูลหลิวด้วยตนเอง
หลิวเวยได้ยินว่านางมาเยือน จึงรีบออกมาต้อนรับ
“คุณหนูหลี่” นางถามด้วยความกังวล “ท่านมาได้อย่างไร”
บิดาของคุณหนูหลี่เป็นจวิ้นโส่ว หรือกั๋วจื่อเจี้ยนขับไล่จางเหยาออกมายังไม่พอ ยังต้องไปรับโทษอีก
หลี่เหลียนจับมือของนางเอาไว้ “อย่ากังวล ข้าแค่ได้ยินท่านพ่อข้าพูดเรื่องนี้ จึงเดินทางมาดู เรื่องเป็นอย่างไรกัน”
หลิวเวยดวงตาแดงก่ำ กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ พูดตามตรงนางไม่สนิทกับหลี่เหลียนมากนัก เพียงแค่เคยพบผ่านเฉินตันจู จึงรู้จักกัน ไม่คิดว่าคุณหนูชนชั้นสูงเช่นนี้จะห่วงใยนาง
นางเชิญหลี่เหลียนเข้าไป ก่อนจะเรียกจางเหยาออกมา จางเหยาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เมื่อหลี่เหลียนฟังจบจึงถอนหายใจ “ช่างเป็นเคราะห์กรรมเสียจริง” ก่อนจะบอกกับหลิวเวยและจางเหยา “หยางจิ้งนั้นมีความแค้นกับคุณหนูตันจู ตอนที่ท่านอ๋องอู๋ยังอยู่ เขาเคยมีความขัดแย้งกับคุณหนูตันจู ถูกฝ่าบาทและท่านอ๋องออกพระราชโองการส่งเข้าคุก เวลานี้เพิ่งปลดปล่อยออกมา เขาตั้งใจแก้แค้น”
เรื่องในตอนนั้นจางเหยาเป็นคนต่างถิ่นไม่รู้ หลิวเวยฐานะห่างไกลจึงไม่ได้สนใจ เวลานี้ได้ยินจึงถอนหายใจออกมา
“แต่ว่า เคราะห์นี้ไม่ใช่ของข้า” จางเหยาพูด “คุณหนูตันจูเป็นผู้บริสุทธิ์ นางต่างหากที่เป็นผู้รับเคราะห์”
หลี่เหลียนมองเขาพลางย่อเข่าคำนับ “คุณชายจางเป็นบุรุษที่แท้จริง”
หลิวเวยทำท่าทางภาคภูมิใจ นางจับมือของหลี่เหลียนพลางพูด “ท่านพี่กับข้าตกลงกัน เรื่องนี้พวกเราไม่บอกคุณหนูตันจู เมื่อนางรู้ ก็แค่บอกว่าท่านพี่ไม่ต้องการศึกษาต่อเอง”
หลี่เหลียนจับมือของนางพยักหน้า ก่อนจะมองไปยังจางเหยา “การศึกษาของท่านจะทำอย่างไร ข้ากลับไปให้ท่านพ่อข้าหาให้ บริเวณนี้มีสถานศึกษาที่ดีอยู่ไม่น้อย”
จางเหยากล่าวขอบคุณ “ข้าไม่อยากศึกษาแล้วจริงๆ ต่อจากนี้ค่อยว่ากันเถิด”
หลิวเวยบอกหลี่เหลียน “ท่านพ่อของข้าบอกให้ท่านพี่ไปเป็นขุนนาง สหายแต่ก่อนของเขามีบางคนรับตำแหน่งอยู่ต่างถิ่น รอเขาเขียนจดหมายแนะนำให้”
ออกจากเมืองหลวง ย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องชื่อเสียงที่ถูกกั๋วจื่อเจี้ยนขับไล่
“เช่นนี้ก็ดี” หลี่เหลียนพูดอย่างตรงไปตรงมา “เป็นขุนนางที่ทำงานจริงย่อมเป็นบุรุษที่แท้จริง”
จางเหยายิ้ม มองหญิงสาวทั้งสองอย่างผ่าเผย “รอดูข้าเป็นบุรุษที่แท้จริงเถิด”
หลิวเวยสบตากับหลี่เหลียนด้วยรอยยิ้ม
ถึงแม้หลิวเวยและหลี่เหลียนต่างไม่ได้บอกเฉินตันจูเรื่องนี้ นอกจากนี้ทั้งสองคนยังส่งของขวัญไปมาระหว่างกันตามปกติ เพื่อไม่ให้เฉินตันจูเกิดความสงสัย เฉินตันจูส่งของขวัญกลับให้พวกนาง ไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด
ระยะเวลานี้ เฉินตันจูไม่ได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนจางเหยาที่กั๋วจื่อเจี้ยนอีก เพราะไม่ต้องการรบกวนการศึกษาของเขา
แต่ก็เป็นไปอย่างที่หลิวเวยกล่าว เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้
วันนี้ เฉินตันจูนั่งเฝ้าอยู่หน้าเตาอั้งโล่ หั่นยาเสียงดังอยู่ภายในห้อง อาเถียนวิ่งจากเชิงเขาขึ้นมา
“คุณหนู” นางตะโกนตั้งแต่ยังไม่เข้าประตู ”คุณชายจางถูกกั๋วจื่อเจี้ยนขับไล่ออกมาเจ้าค่ะ”
เสียงหั่นยาในห้องเงียบลงทันที
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตันจูหายไป เอ่ยถาม “เขาถูกกั๋วจื่อเจี้ยนขับไล่ออกมา?”
อาเถียนที่ยืนอยู่หน้าประตูหอบหายใจพลางพยักหน้า “เจ้าค่ะ จริงแท้แน่นอน ข้าได้ยินจากคนที่เชิงเขา”
เฉินตันจูถือมีดยืนขึ้น
อาการไอของจางเหยาหายดีแล้ว อีกทั้งจัดการเรื่องหมั้นหมายอย่างราบรื่น ตระกูลหลิวและตระกูลฉางปฏิบัติต่อเขาดีมาก จดหมายแนะนำที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาเมื่ออดีตชาติก็ถูกส่งไปถึงมือของจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนอย่างปลอดภัย ชีวิตของจางเหยาเปลี่ยนไปแล้ว เขาได้เข้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน หัวใจของเฉินตันจูก็ปล่อยวางลงมา
แต่ไม่คิดว่า อุปสรรคที่เผชิญเมื่ออดีตชาติล้วนถูกจัดการจนหมดสิ้น แต่เขายังคงถูกกั๋วจื่อเจี้ยนขับไล่ออกมา!
เกิดเรื่องใดขึ้นกัน
อาเถียนมองเฉินตันจูที่ถือมีดเอาไว้ “คุณหนู ท่านนั่งลงก่อน ข้าค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง” พูดพลางเดินเข้าไปกดเฉินตันจูให้นั่งลง รับมีดในมือของนางมา
เฉินตันจูเร่งเร้า “รีบพูดเถิด เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
“คุณหนู ท่านก็รู้ คนในโรงน้ำชาเหล่านั้นมักพูดเรื่องที่เกินจริง ข่าวส่วนใหญ่ล้วนเป็นเท็จ” อาเถียนพูดอย่างระมัดระวัง “เชื่อไม่ได้…”
เมื่อเห็นท่าทางของอาเถียน เฉินตันจูก็พอเดาได้ เอ่ยถาม “เกี่ยวกับข้าหรือ”
อาเถียนอดที่จะแสดงความขุ่นเคืองออกมาไม่ได้ “ล้วนเป็นเพราะหยางจิ้งผู้นั้น เพราะเขาต้องการแก้แค้นคุณหนู วิ่งไปพูดจาเหลวไหลที่กั๋วจื่อเจี้ยน บอกว่าคุณชายจางถูกคุณหนูท่านส่งเข้าไปในกั๋วจื่อเจี้ยน สุดท้ายทำให้คุณชายจางถูกขับไล่ออกมา”
หยางจิ้งหรือ เฉินตันจูเกือบลืมคนผู้นี้ไปเสียแล้ว นางยังคิดว่าเขาติดตามท่านอ๋องอู๋ไปแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะยังคงอยู่ อีกทั้งยังเป็นปรปักษ์กับนาง นางมองอาเถียน รู้ว่าสิ่งที่อาเถียนพูดอ้อมค้อมมากแล้ว
ย่อมไม่ใช่คุณชายจางถูกนางส่งเข้ากั๋วจื่อเจี้ยนแค่นี้ ย่อมต้องเป็นคำพูดหยาบคาย อาทิจางเหยาเป็นแขกเข้าม่าน ขุนนางใต้กระโปรงของนางทำนองนี้
อาเถียนเห็นว่าเฉินตันจูไม่มีปฏิกิริยาอันใดหลังจากที่ฟังจบ นางรีบเกลี้ยกล่อม “คุณหนู ท่านใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ”
เฉินตันจูลุกขึ้นยืน “ข้าใจเย็นมาก พวกเราไปถามถึงสาเหตุให้กระจ่างก่อน”
การถามนี้ย่อมไม่ใช่การถามคนผ่านไปมาในโรงน้ำชา หากแต่ไปหาจางเหยาที่ตระกูลหลิว
เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ จางเหยาและหลิวเวยต่างไม่มาบอกนาง…
“ถามให้กระจ่าง หากเป็นเพราะข้า ข้าจะไปอธิบายกับกั๋วจื่อเจี้ยน”
อาเถียนตอบรับ ไม่ได้วางมีดหั่นยาที่หยิบมาจากมือของเฉินตันจูลง หากแต่ถือวิ่งออกไป
เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อต่างได้ยิน พวกนางรอคอยอยู่ในลานอย่างกังวล เมื่อเห็นอาเถียนถือมีดออกมา ต่างตกใจ รีบกอดนางเอาไว้คนละข้าง
“พี่อาเถียน ไม่ต้องถึงขั้นใช้มีดกระมัง”
“พวกเราสามคนตีคนในโรงน้ำชาสักครั้งก็พอแล้วกระมัง”
อาเถียนร้อนใจอย่างมาก แต่ถูกท่าทางของพวกนางทำให้หลุดหัวเราะออกมา นางยัดมีดใส่มือของ
เยี่ยนเอ๋อ พูดเสียงเบา “พูดเหลวไหลอันใดกัน ข้าแค่กลัวว่าคุณหนู…พวกเจ้าถือมีดเอาไว้ ข้าจะเข้าเมืองกับคุณหนู”
ใช่ๆ คุณหนูต้องโกรธมากอย่างแน่นอน จะเดินทางเข้าเมือง ไม่อาจให้นางถือมีดเอาไว้ได้ นางอาจฆ่าคนขึ้นมาจริง ถึงแม้คนเหล่านั้นสมควรฆ่า แต่หากฆ่าจริง คุณหนูต้องได้รับความเดือดร้อน ถึงแม้พวกนางจะเป็นสาวรับใช้ แต่ก็รู้ไม่ว่าหยางจิ้งก็ดี หรือคุณหนูนายท่านของตระกูลชนชั้นสูงก็ดี ล้วนแล้วแต่ด่าได้ แต่นักปราชญ์แห่งลัทธิหยูไม่อาจละเมิดได้ เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อต่างรับมีดเอาไว้
รถม้าของเฉินตันจูเคลื่อนตัวเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว ดุดันเหมือนเคย
“ไปบอกคุณหนูสี่” ชายผู้หนึ่งที่จับตามองรถม้าเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วภายในเมืองพูดกับอีกคนเสียงเบา “เฉินตันจูเข้าเมืองแล้ว คงจะได้ข่าวแล้ว”
คนผู้นั้นวิ่งไปทางพระราชวังอย่างรวดเร็ว
เฉินตันจูเดินทางไปถึงตระกูลหลิวอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินว่านางเดินทางมาถึง ก่อนจะเห็นสีหน้าของนางตอนเดินเข้ามา หลิวเวยและจางเหยาสบตากัน รู้ว่านางรู้เรื่องแล้ว
“เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ” หลิวเวยจับมือของเฉินตันจู “ฟังพวกข้าพูดก่อน”
จางเหยาพยักหน้าอยู่ด้านข้าง “ใช่ ฟังพวกข้าพูดก่อน”
มารดาของหลิวเวยอยู่พูดเสียงอ่อนโยนอยู่ด้านข้าง “คุณหนูตันจูนั่งก่อน ข้าไปเตรียมขนมให้พวกเจ้า”
นางในฐานะผู้ใหญ่ หลังจากพบแขกแล้วจึงจากไป ให้คนหนุ่มสาวพูดคุยกันเอง
เมื่อเฉินตันจูเห็นเหตุการณ์นี้ อย่างน้อยมีสิ่งหนึ่งที่นางวางใจได้ ท่าทีของหลิวเวยรวมทั้งมารดาของนางที่มีต่อจางเหยาไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ไม่มีความรังเกียจ สงสัยหรือหลบหลีก หากแต่ท่าทีเมตตายิ่งขึ้น เหมือนคนในตระกูลเดียวกันอย่างแท้จริง
นางนั่งลงพร้อมกับเสื้อคลุม “พูดมาเถิด ข้าฟังอยู่”
จางเหยาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในกั๋วจื่อเจี้ยนออกมา จากนั้นหลิวเวยจึงบอกสาเหตุที่ไม่บอกนาง
“ตันจู” นางนั่งลงข้างเฉินตันจู “ท่านพี่พูดถูก เรื่องนี้เป็นเคราะห์กรรมของเจ้า ส่วนท่านพี่ไม่ต้องการอธิบายเพราะพวกข้า อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายแล้ว สวีซินแสก็มีอคติต่อเจ้าอยู่ดี”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของนางทั้งโกรธทั้งแน่วแน่
“เขาในฐานะอาจารย์หยู หากแต่ไม่แยกแยะถูกผิด ถกเถียงกับเขาเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย ท่านพี่ไม่ต้องการซินแสเช่นนี้ พวกเราไม่ต้องการศึกษากับเขา”
จางเหยาพยักหน้า กดเสียงต่ำ “พูดถึงผู้อื่นลับหลังไม่ดีนัก แต่อันที่จริงแล้ว ข้าศึกษากับสวีซินแสในสิบกว่าวันนี้ เขาไม่เหมาะสมสำหรับข้า สิ่งที่ข้าต้องการศึกษาคือการจัดการน้ำ คุณหนูตันจู ท่านเคยเห็นสิ่งที่ข้าเขียนไม่ใช่หรือ” พูดพลางยืดอกขึ้น “ซินแสของบิดาข้า หรือผู้ที่เขียนจดหมายแนะนำให้ข้าผู้นั้นสอนข้าเรื่องนี้เสมอมา ซินแสจากไปแล้ว เขาต้องการให้ข้าศึกษาต่อ จึงแนะนำสวีซินแส แต่สวีซินแสไม่เชี่ยวชาญการจัดการน้ำ ข้าคงไม่เสียเวลาศึกษาคัมภีร์หยูเหล่านั้น”
หลิวเวยพยักหน้าอยู่ด้านข้าง “ใช่ๆ ท่านพี่ไม่ได้โกหก เขาให้ข้ากับท่านพ่อดูสิ่งที่เขาเขียนเหล่านั้น” พูดพลางยิ้มเขินอาย “ข้าอ่านไม่เข้าใจ แต่ท่านพ่อบอกว่า ท่านพี่เก่งเสียยิ่งกว่าบิดาของเขาเสียอีก”
จางเหยาพูด “ดังนั้นข้าวางแผน พลางศึกษาตามบันทึกของท่านพ่อข้าและซินแส พลางเดินทางไปสำรวจด้วยตนเอง ทดลองกับสถานที่จริง”
หลิวเวยพยักหน้า “ท่านพ่อข้ากำลังเขียนจดหมายให้กับเหล่าสหายของเขา ดูว่าผู้ใดเชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำ สหายเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางในแต่ละพื้นที่”
ทั้งสองคนมองเฉินตันจู “ดังนั้น คุณหนูตันจู ท่านโกรธได้ แต่ไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”
เฉินตันจูฟังพวกเขาพูดกันจนจบ ก่อนจะมองสีหน้าท่าทางผ่อนคลายของจางเหยา ดวงตาของนางรื้นไปด้วยน้ำตา รีบลุกขึ้นยืน
“ได้” นางพูด “ฟังพวกเจ้าพูดมากมายเพียงนี้ ข้าก็วางใจแล้ว แต่ว่า ข้ายังคงโกรธมาก หยางจิ้งนั้น…”
หลิวเวยรีบพูด “หยางจิ้งนั้น คุณหนูหลี่เหลียนบอกพวกเราแล้ว เขาถูกลงโทษอย่างหนักแล้ว”
เฉินตันจูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง “ข้าไม่มีทางปล่อยเขาไป”
มีเรื่องกับหยางจิ้งอย่างน้อยก็ดีกว่ามีเรื่องกับกั๋วจื่อเจี้ยน จางเหยาพยักหน้าตามคำพูดของนาง “เขาถูกขังเอาไว้แล้ว รอเขาถูกปล่อยออกมา พวกเราค่อยจัดการเขา”
เฉินตันจูมองเขา หัวเราะออกมา
เมื่อเห็นนางหัวเราะ หลิวเวยจึงวางใจ จูงเฉินตันจูไปหาขนมกิน แต่เฉินตันจูปฏิเสธ
“เวลานี้ข้าโกรธมาก” นางพูด “รอข้าหายโกรธค่อยมากิน”
หลิวเวยและจางเหยารู้ว่าสามารถปลอบประโลมถึงเพียงนี้ก็พอแล้ว เฉินตันจูเด็ดขาดเพียงนี้ ไม่อาจให้นางไม่แม้แต่จะโกรธได้ ดังนั้นจึงไม่ได้เกลี้ยกล่อมอีก ทั้งสองคนส่งนางออกจากประตูไป เมื่อเห็นเฉินตันจูนั่งรถจากไปแล้ว สีหน้าทั้งดีใจทั้งกังวล คงจะถูกปลอบประโลมบ้างแล้วกระมัง
เฉินตันจูนั่งบนรถ น้ำตาหลั่งไหลดุจฝนตก
อาเถียนรีบกอดนางเอาไว้ หลั่งน้ำตาตาม “คุณหนู ท่านอย่าโกรธ”
เฉินตันจูส่ายหัว “ข้าไม่ได้โกรธ ข้าเสียใจ ข้าเสียใจมาก”
จางเหยาพูดมากมายเช่นนี้ เขาชื่นชอบการจัดการน้ำ เขาไม่อาจศึกษาเรื่องการจัดการน้ำได้ในกั๋วจื่อเจี้ยน ดังนั้นจึงไม่ศึกษาแล้ว แต่ว่าเขากำลังพูดโกหก
เขาไม่รู้ว่านางรู้ การที่เขาเข้ากั๋วจื่อเจี้ยนไม่ได้ต้องการศึกษาการจัดการน้ำ หากแต่เพื่อเป็นนักเรียนที่มีคุณสมบัติเป็นขุนนางของพื้นที่หนึ่งได้ จากนั้นแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่
เวลานี้เขาถูกขับไล่ออกมา ความฝันของเขายังคงดับสลาย เหมือนดั่งเมื่ออดีตชาติ
เมื่ออดีตชาติ จดหมายแนะนำทำลายความฝันของเขา ในชาตินี้เป็นนาง…
“จู๋หลิน” นางพูด “ไปกั๋วจื่อเจี้ยน”
…
สายลมพัดผ่านจากทางเหนือมา หิมะตกลงมาโปรยปราย ผู้เฝ้าประตูของกั๋วจื่อเจี้ยนยืนอยู่ภายในโถง เหล่านักเรียนที่เดินเข้าออกต่างสวมใส่เสื้อคลุมขนสัตว์ชั้นดีที่มีสีแตกต่างกัน
รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็ว ม้าส่งเสียงคำรามออกมา ก่อนจะหยุดลงอยู่หน้าประตู
ผู้เฝ้าประตูมองไปยังทิศทางนั้น เห็นสาวรับใช้คนหนึ่งเดินลงมาก่อน จากนั้นวางเก้าอี้รองเท้า ก่อนจะพยุงหญิงสาวร่างเล็กที่สวมใส่ชุดคลุมขนสัตว์ลงมา คุณหนูตระกูลใด มาหาคนในกั๋วจื่อเจี้ยนหรือ
ผู้เฝ้าประตูมีความคิดนี้ปรากฏขึ้น ทันใดนั้นเขาก็เห็นหญิงสาวร่างเล็กถือเก้าอี้รองเท้าพุ่งตัวเขามา ยกมือขึ้นเขวี้ยงใส่
ผู้เฝ้าประตูกอดหัวร้องออกมาอย่างตกตะลึง เก้าอี้รองเท้าลอยข้ามผ่านหัวของเขาไป กระแทกเข้ากับประตูใหญ่บานหนา ส่งเสียงดังขึ้นมา
“สวีลั่วจือ...” เสียงหญิงสาวดังขึ้น “ท่านออกมา…”